webnovel

0504 ความไม่สบายใจ

ตอนที่ 504 ความไม่สบายใจ

ท่ามกลางกระแสมิติอันเชี่ยวกราก เรือใหญ่ลำหนึ่งกำลังแล่นไปยังเบื้องหน้า

อัตราเร็วของเรือว่องไวเกินไป จนบรรดาสิ่งมีชีวิตเกือบทั้งหมดที่ซ่อนอยู่ในมิติที่ว่างเปล่าทำได้เพียงจ้องมองมันผ่านไปด้วยความสงสัยเท่านั้น

บางครั้งก็มีมอนสเตอร์ตัวใหญ่ ที่จู่ๆ ก็ผุดออกมาจากกระแสมิติอันเชี่ยวกราก แล้วโฉบเข้าหาเรือใหญ่อยู่เหมือนกัน

ทว่าเมื่อใดก็ตามที่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ เรือใหญ่ก็จะระเบิดแสงจรัสออกมาห่อหุ้มตลอดทั้งลำ

และเรือก็จะยิ่งเร่งความเร็วขึ้น พุ่งเข้ากระแทกใส่มอนสเตอร์ตัวนั้นๆ โดยตรง!

โดยไม่ทันจะได้เอ่ยอะไรออกมาแม้เพียงครึ่งคำ เรือใหญ่ก็พุ่งข้ามผ่านร่างของมอนสเตอร์อย่างง่ายดาย และยังคงมุ่งหน้าต่อไป

ขณะที่บนร่างของมอนสเตอร์ที่โฉบเข้ามา เหลือทิ้งไว้เพียงหลุมขนาดใหญ่ที่ปรากฏขึ้น

นี่คือเรือของสมาคมผู้พิทักษ์หอสูง

หลังจากผ่านการสำรวจค้นคว้ามานานปี พวกเขาจึงสามารถคิดค้นถึงวิธีจัดการกับปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นในมิติที่ว่างเปล่าได้

บนเรือบิน

ภายในห้องพัก

กู่ฉิงซานอยู่ในห้อง และคราวนี้ สถานที่ที่เขาเลือกก็คือวังหลานเฉาของตนในนิกายร้อยบุปผา

เขานั่งลงบนมุมห้องโถงที่ว่างเปล่า และมองไปยังอาหารวิญญาณและเม็ดยารักษาบนถาด

เมื่อยามที่เขาเข้ามาภายในห้อง สิ่งเหล่านี้ก็ปรากฏขึ้นมารอเขาอยู่แล้วโดยอัตโนมัติ

เม็ดยาและอาหารวิญญาณเหล่านี้ ชัดเจนว่าเป็นแบบฉบับของนิกายร้อยบุปผา มันไม่แตกต่างไปจากสิ่งที่นางเซียนไป่ฮั่วกับฉินเซี่ยวโหลวเป็นคนปรุงหรือกลั่นเลย

นอกจากนี้ภายในห้องยังมีกลิ่นของธูปหอมฟุ้งกระจายไปทั่ว ซึ่งมันเป็นสิ่งที่กู่ฉิงซานมักจะใช้เป็นประจำ

ตามความทรงจำของผู้โดยสารเรือ นี่ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลยที่จะผลิตสิ่งที่เหมือนจริงและทรงประสิทธิภาพเช่นนี้ขึ้นมาจากอากาศที่ว่างเปล่าได้

เป็นอีกครั้งที่กู่ฉิงซานรู้สึกชื่นชมในพลังของสมาคมผู้พิทักษ์หอสูง

สภาพแวดล้อมอย่างวังหลานเฉาเช่นนี้ เหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับการทะลวงด่านของเขา

อย่างไรก็ตาม กู่ฉิงซานก็ไม่เคยคิดเสียใจเลยที่ในครั้งก่อนเขาเลือกสลัมเป็นที่ซุกหัวนอน

เพราะนั่นก็นับว่าเป็นการผ่อนคลายรูปแบบหนึ่งเหมือนกัน

กู่ฉิงซานหยิบเม็ดยา โยนใส่เข้าไปในปาก

ทันใดนั้นกระแสอันอบอุ่นจากเม็ดยาก็ไหลบ่าเข้าสู่ร่างกายของเขาทันที

พลังวิญญาณขนาดใหญ่เริ่มที่จะก่อตัวขึ้น

กู่ฉิงซานจ้องมองดูบรรทัดตัวอักษรบนหน้าต่างระบบเทพสงคราม

“แต้มพลังวิญญาณปัจจุบัน : 300000/400”

กู่ฉิงซานนิ่งค้างไปสักพัก ก่อนจะพยายามสูดหายใจลึก

นี่ใช่ไหม…ที่เรียกว่าความรู้สึกพึงพอใจอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน?

เขาหยิบเอาถุงเครื่องหอมหลากสีขึ้นมา

จากนั้นก็ค้นจิตสัมผัสเทวะลงไป ก่อนจะเจอใบหยกที่ต้องการ แล้วหยิบมันออกมา

บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม เส้นแสงตัวอักษรขนาดเล็กแจ้งเตือนขึ้น

“บันทึกการฝึกยุทธของเซี่ยเต๋าหลิง”

“ใบหยกนี้ได้บันทึกถึงรายละเอียดเกี่ยวกับการฝึกฝนประทับเทพของนางเซียนเซี่ยเต๋าหลิง ในขั้นต้น กลาง และสุดท้าย และความพยายามต่างๆ ที่หมายจะตัดผ่านขอบเขตประทับเทพของเธอ”

กู่ฉิงซานกวาดสายตาอ่านตัวอักษรเล็กๆ เหล่านี้ แล้วถอนหายใจออกมา

ด้วยพรสวรรค์และสติปัญญาของเซี่ยเต๋าหลิง ความจริงแล้วเธอสมควรสามารถตัดผ่านขอบเขตประทับเทพ ยกระดับขึ้นสู่ร่างเทวะ แม้กระทั่งพันวิบัติ หรือขอบเขตที่เหนือยิ่งกว่านั้นไปได้แล้วแท้ๆ

แต่น่าเสียดาย ที่เธอดันไปเกิดในโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ

ขีดจำกัดของโลกกระจัดกระจาย…อยู่ในระดับประทับเทพ

ตอนนี้พอได้ลองมาคิดเกี่ยวกับมันอย่างรอบคอบ แท้จริงแล้วจะพบว่าโลกแห่งผู้ฝึกยุทธนับว่าแปลกประหลาดเป็นอย่างมาก

ในช่วงการทดสอบประจำปี ครั้งหนึ่งกู่ฉิงซานเคยได้มีโอกาสก้าวขึ้นบันไดที่ถูกตัดขาด ซึ่งเป็นเส้นทางสู่สวรรค์

ในเมื่อโลกแห่งผู้ฝึกยุทธเคยมีเทพวิญญาณ ฉะนั้น มันก็สมควรที่จะเป็นโลกหกวิถีที่สมบูรณ์เช่นกัน

ว่าแต่ทำไมนะ? ทำไมเทพวิญญาณถึงได้จากไป?

เซี่ยเต๋าหลิงเคยสูญเสียนิกายไปแล้ว และตั้งแต่รอดชีวิตในครั้งนั้นมาได้ เธอก็อยู่เพียงลำพังมาโดยตลอด

แต่ก็มีเพียงเธอคนเดียวเช่นกัน ที่ครอบครองสกิลเทวะอย่างสวรรค์ล่มสลาย ย่นระยะเหลือเพียงหนึ่งนิ้ว และ ตัดแบ่งขุนเขาไร้ตัวตน

เซี่ยเต๋าหลิงยังครอบครองแม้กระทั่งสกิลเทวะหกวิถี อย่างเช่น สกิลเทวะแห่งปรภพสายธารแห่งการหลงเลือน นอกจากนี้ยังมีสกิลเทวะแห่งอาชูร่ายักษาวิปัสสนาอีก

ในเวลานั้น ฉีหยานเป็นถึงผู้ฝึกยุทธขีดสุดความว่างเปล่า ซึ่งอยู่เหนือล้ำกว่าเซี่ยเต๋าหลิงถึงสามขอบเขต แต่เมื่อต้องเผชิญกับสกิลเทวะหกวิถีของเซี่ยเต๋าหลิง กระทั่งตัวเขาก็ยังต้องเร่งหยุดเธอด้วยความหวาดกลัว

แล้วสกิลเทวะหกวิถีเหล่านี้ เซี่ยเต๋าหลิงไปได้รับมันมาจากที่ใดกัน?

ในเมื่อเธอครอบครองทั้งสกิลเทวะจากปรภพและอาชูร่า ฉะนั้นแล้ว อาจกล่าวได้ว่าทั้งสองโลกนี้มันเชื่อมต่อกัน ใช่หรือไม่?

ครั้งหนึ่ง กู่ฉิงซานเคยได้เห็นคนแจวเรือข้ามฟากของสายธารแห่งการหลงเลือนด้วยตาตนเองมาแล้ว ดังนั้นการดำรงอยู่ของเธอไม่มีทางเป็นเท็จอย่างแน่นอน

ตัวเซี่ยเต๋าหลิงนี่เต็มไปด้วยปริศนาเสียจริงๆ

ไหนจะยังมีเรื่องประวัติศาสตร์ของโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ ที่ช่วงเวลาหนึ่งได้ถูกตัดขาดหายไปกว่าหลายร้อยปีอีก

วันเดือนปีที่ผ่านพ้นมา แท้จริงแล้วมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่นะ?

ยังจำได้ไหมว่าเมื่อครู่พอบอกออกไปว่าในบรรดาโลกกระจัดกระจาย มีโลกหกวิถึอยู่ แบรี่กับเสี่ยวเหมียว ชัดเจนว่าดูตกใจ

จากในมุมมองของพวกเขา โลกหกวิถีปกติแล้วมักจะอยู่ในดินแดนอัศจรรย์

ถ้างั้นแล้วโลกแห่งผู้ฝึกยุทธเล่า?

หรือว่ามันจะเป็นโลกหกวิถีที่ยังไม่เคยถูกค้นพบ?

กู่ฉิงซานลองขบคิดอยู่สักพักหนึ่ง แต่ก็ตระหนักได้ว่าเขามิอาจค้นหาร่องรอยของเบาะแสใดๆได้เลย

ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้ เขาก็ยังไม่สามารถกลับไปยังโลกแห่งผู้ฝึกยุทธได้อีกด้วย

ทันทีที่คิดถึงเรื่องนี้ กู่ฉิงซานก็ถอนหายใจอย่างไร้หนทาง

ฉินรั่ว ว่านเอ๋อได้เดินทางไปยังโลกแห่งผู้ฝึกยุทธแล้ว

ตอนนี้เขาได้แต่หวังว่าทุกอย่างมันจะยังเป็นไปได้ด้วยดี

เมื่อขบคิดเรื่องราวทั้งหมดนี้อย่างลึกซึ้ง ในหัวใจของกู่ฉิงซานก็บังเกิดความไม่สบายใจบางอย่างอันยากจะอธิบายออกมา

กู่ฉิงซานสะบัดหัวเพื่อขจัดความคิดทั้งหมดนี้ออกไป

ตอนนี้ ยังไม่ใช่เวลามามัวคิดเกี่ยวกับมัน

เพราะถึงเวลาที่จะต้องทำการตัดผ่านแล้ว!

ด้วยการนึกคิดในจิตใจของเขา บรรทัดเส้นแสงหิ่งห้อยก็ปรากฏขึ้นมาบนหน้าต่างระบบเทพสงครามทันที

“เรียนรู้การฝึกฝนของเซี่ยเต๋าหลิงในขอบเขตประทับเทพขั้นกลาง จากในบันทึก จำเป็นต้องจ่ายหกร้อยแต้มพลังวิญญาณ คุณต้องการจะเรียนรู้หรือไม่?”

“ต้องการเรียนรู้ ฉันยินดีจ่ายหกร้อยแต้มพลังวิญญาณ”

ทันทีที่เสียงของเขาตกลง กระแสอันอบอุ่นก็ไหลออกมาจากใบหยก ถ่ายเทผ่านแขน ขา และกระดูกของกู่ฉิงซาน ในที่สุดก็ไปบรรจบกันในทะเลแห่งห้วงสติ

ไม่กี่ลมหายใจ ความรู้ทั้งหมดในการฝึกฝนขอบเขตประทับเทพของนางเซียนเซี่ยเต๋าหลิงก็ถูกเรียนรู้ และเข้าใจโดยกู่ฉิงซานอย่างสมบูรณ์

ณ จุดนี้ กู่ฉิงซานไม่เพียงครอบครองประสบการณ์การต่อสู้ทั้งหมดของกษัตริย์อาชูร่าเท่านั้น แต่เขายังได้รับประสบการณ์ การฝึกฝนขอบเขตประทับเทพขั้นกลางของเซี่ยเต๋าหลิงอีกด้วย

เดิมทีเขาก็เป็นอัจฉริยะในด้านการฝึกดาบอยู่แล้ว ดังนั้น เมื่อได้รับการสนับสนุนจากทั้งสองอย่างที่พึ่งกล่าวมา ประสิทธิภาพในการต่อสู้ของเขาจึงย่อมพุ่งสูงขึ้นเป็นธรรมดา

เห็นแค่เพียงกู่ฉิงซานที่กำลังทำสมาธิ ลมหายใจกลายเป็นอ่อนโยน ทั้งคนทั้งร่างเข้าสู่สถานะยกระดับ

หลังจากที่ได้มีประสบการณ์ต่อสู้ในโลกล่องเวหา ตัดหัวหวังหงษ์เต๋าที่มีขอบเขตเหนือยิ่งกว่าสามถึงสี่ระดับได้ ช่วงนั้นเขายังแทบไม่เชื่อตัวเองอยู่เลย

แต่มันก็ไม่เชื่อแค่ไม่นานเท่านั้น เพราะต่อมาเขาก็ได้พบเจอกับ

จิ้งจอกขาว

ต่อสู้กับสตรีแห่งรากษส

แลกเปลี่ยนกับเสี่ยวถาย

ได้รู้จักกับสมาคมผู้พิทักษ์หอสูง

ปรุงอาหารปีศาจให้แบรี่กับเสี่ยวเหมียว และสุดท้าย ก็สามารถดิ้นรนขอเป็นสมาชิกในโลกของทั้งสองได้ในที่สุด

ดังนั้นตอนนี้ กู่ฉิงซานจึงด้านชา ไม่ตกใจกับอะไรอีกแล้ว

วิสัยทัศน์ของเขาเหนือล้ำไปไกลเกินกว่าเดิมมากมายนัก ไม่ว่าจะเป็นมุมมอง หรือความเข้าใจเกี่ยวกับขอบเขต ตัวเขาในตอนนี้ นับว่าทิ้งห่างจากผู้คนในโลกแห่งผู้ฝึกยุทธไปมากโขแล้ว

พลังวิญญาณในร่างกายเขาเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง ขณะที่การรับรู้ทางจิตวิญญาณยิ่งมากยิ่งชัดเจนมากขึ้น ขอบเขตในทะเลแห่งห้วงสติก็ขยายมากกว่าเดิม

และไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน

ในที่สุดกู่ฉิงซานก็ลืมตาขึ้น

เขาได้ก้าวขึ้นมาถึงขอบเขตประทับเทพขั้นกลางแล้ว!

กู่ฉิงซานสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงเล็กๆน้อยๆในร่างกาย ก่อนจะดีดตัวขึ้นมาจากฟูก

“ตอนนี้เป็นเวลาใด?” เขาเอ่ยถาม

“ผ่านไปหกชั่วยาม เวลานี้เป็นตอนเย็นแล้ว” ฉานนู่ตอบเขา

เธอหันไปมองรอบๆ ด้วยความสงสัย “นายน้อย ช่วงก่อนหน้าสถานที่พำนักของท่านมีขนาดเล็กมาก แล้วเหตุใดครานี้ สถานที่พำนักของท่านจึงใหญ่โตเช่นนี้?”

กู่ฉิงซานยิ้มและกล่าว “พอดีว่าท่านอาจารย์ข้าค่อนข้างให้ความสำคัญกับหน้าตาน่ะ ดังนั้นจึงมักจะทำสถานที่พักอาศัยให้กว้างขวาง และดูมีบารมีอยู่เสมอ”

เขาหยุดความคิดที่จะทำการตัดผ่านไปขั้นต่อไปสักพัก และเดินวนไปวนมาทั่ววังหลานเฉา

เงามืดในหัวใจค่อยๆ ขยายตัวออกไปอย่างเงียบๆ กู่ฉิงซานเริ่มรู้สึกกังวลอย่างอดไม่ได้

“ไม่ดีเลยแฮะ ทำไมฉันถึงรู้สึกกระวนกระวายใจแบบนี้ หรือว่ามันจะมีเรื่องไม่ดีบางอย่างเกิดขึ้น?” กู่ฉิงซานพึมพำกับตัวเอง

มันคล้ายกับมีใครบางคนกำลังถืออาวุธสังหารจี้หลังเขา ไม่ต่างไปจากเงาที่ตามติดตัว

“ฉานนู่ เจ้ารู้สึกอะไรบ้างไหม?” กู่ฉิงซานเอ่ยถามขึ้นทันใด

ฉานนู่เป็นจิตวิญญาณของภูเขาศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้น บางทีเธออาจจะมีความรู้สึกที่ชัดเจนยิ่งกว่าเขาก็ได้

เมื่อถูกถาม ดาบขุนเขาเทวะหกโลกาก็ผลุบออกมา และเปลี่ยนตนเป็นหญิงในชุดคลุมฟ้าที่ดูเย็นชาทันที

เธอน่ะสามารถเชื่อมต่อกับกู่ฉิงซานได้ด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นจึงย่อมสามารถรับรู้ถึงความคิดบางส่วน ของกู่ฉิงซานได้

ฉานนู่มองเขาและกล่าว “ข้าคิดว่าเจ้าแข็งแกร่งขึ้น”

“ไม่ใช่แบบนั้น ข้าหมายถึงความรู้สึกอย่างอื่นน่ะ เช่นพวกลางสังหรณ์ อะไรประมาณนั้น”

ฉานนู่นิ่งคิดไปครู่ แต่แล้วก็ส่ายหัว

อย่างไรก็ตาม เธอฉุกคิดบางอย่างได้ในฉับพลัน เริ่มใช้ออกด้วยวิชาลี้ลับ และแปลงตนจากวิญญาณดาบ เป็นผู้ฝึกยุทธหญิง

“อ่า...แม้จะแปลงกายมาในร่างนี้แล้วก็ตามที แต่ข้าก็รู้สึกว่าทุกอย่างยังปลอดภัย เหมือนว่าจะไม่มีอะไรผิดปกติอยู่ดี” ฉานนู่ลองเพ่งสมาธิอย่างรอบคอบและกล่าวออกมา

“งั้นหรือสงสัยการรับรู้ทางจิตวิญญาณของข้าจะผิดพลาดไปเองล่ะมั้ง”

กู่ฉิงซานยกมือขึ้นมานวดๆ หน้าผากของเขา

ฉานนู่เอ่ยถามอย่างอยากรู้อยากเห็น “นายน้อย นี่ท่านมีการรับรู้ทางจิตวิญญาณด้วยอย่างงั้นหรือ?”

“ใช่ข้ามี อืม…ถ้าจะให้อธิบาย คงต้องบอกว่ามันเป็นแค่ลางสังหรณ์อันคลุมเครือน่ะ ซึ่งอาจจะไม่ใช่ความจริงก็ได้” กู่ฉิงซานกล่าว

อย่างไรก็ตาม ถึงจะกล่าวเช่นนั้น แต่การรับรู้ทางจิตวิญญาณเช่นนี้ คือสัญชาตญาณที่กู่ฉิงซานคุ้นเคยเป็นอย่างดี และมันมักจะไม่เคยผิดพลาดเลย

การรับรู้ทางจิตวิญญาณกับไพ่พยากรณ์โชคชะตานั้นแตกต่างกัน

การรับรู้ทางจิตวิญญาณจะสร้างสถานการณ์จริงบางอย่างที่กำลังจะเกิดขึ้น หากผู้ฝึกยุทธลอบมองเห็นภาพจริงเหล่านี้ได้ พวกเขาก็จะสามารถเตรียมตัว เพื่อพร้อมรับมือกับมัน

แต่น่าเสียดาย ที่กู่ฉิงซานรับรู้เป็นเพียงความไม่สบายใจ มิได้ถึงขั้นมองเห็นภาพในอนาคต

กู่ฉิงซานส่ายหัวอย่างหมดหนทาง

ลืมมันเถอะ อย่างน้อยระหว่างเดินทางก็น่าจะยังคงปลอดภัย ดังนั้นไม่จำเป็นต้องเก็บมันมาคิดชั่วคราว

ในกรณีที่ยังคงไม่สบายใจแบบนี้ มันคงจะไม่เหมาะนักหากจะยังคงคิดยกระดับต่อไป

เมื่อคิดได้ กู่ฉิงซานก็ตรงไปที่ประตู เปิดมัน และเดินออกไป

ย่ำไปตามทางเดินห้องโดยสาร ในที่สุดเขาก็มาถึงดาดฟ้าเรือ

เรือทั้งลำไม่มีผู้โดยสารคนอื่นอยู่เลย

ดูเหมือนว่านี่จะเป็นเรือที่ถูกส่งมารับเขาเป็นพิเศษโดยสมาคมผู้พิทักษ์หอสูง

กู่ฉิงซานหันไปมองรอบๆ

กระแสลมปั่นป่วนวุ่นวาย คล้ายดั่งสายน้ำ

เสื้อผ้าของกู่ฉิงซานพัดกระพือว่อน เต้นไปตามแรงลม

เรือลำนี้มีความเร็วเป็นอย่างมาก ภาพฉากต่างๆในมิติที่ว่างเปล่าโผล่มาให้กู่ฉิงซานเห็นเพียงพริบตาเท่านั้น เขาไม่มีเวลาดูเลยว่าพวกมันคือภาพอะไร

แต่ในตอนนั้นเอง มอนสเตอร์ยักษ์ที่ส่งกลิ่นอายลางไม่ดีอย่างรุนแรงก็ปรากฏขึ้นทันใด

มันดูคล้ายกับงู ขณะเดียวกันก็มีร่างที่ยาวเกินกว่าจะเรียกว่าสัตว์ทะเลทั่วๆ ไปได้

มอนสเตอร์อ้าปากยักษ์ของมัน เลื้อยเข้ามาทางเรือใหญ่

ปากของมันกว้างพอที่จะกลืนกินเรือขนาดใหญ่ของกู่ฉิงซานนับสิบลำได้ในคราวเดียว

อย่างไรก็ตาม ตัวเรือกลับไม่มีการตอบสนองใดๆเลย

“ชิบหายแล้วไง เฮ้...มีใครอยู่ไหม?” กู่ฉิงซานตะโกน

ทว่ากลับไม่มีเสียงใดตอบกลับมา

เห็นแค่เพียงเรือใหญ่ที่แล่นด้วยความเร็วมากขึ้น มากขึ้นเรื่อยๆ พุ่งเข้าปะทะกับร่างของมอนสเตอร์โดยตรง

มอนสเตอร์หวีดร้องอย่างน่าสมเพช ร่างของมันบิดเป็นเกลียวอย่างบ้าคลั่ง และร่วงตกลงไปในความว่างเปล่า

ขณะนั้นเอง มอนสเตอร์ตนอื่นๆ มากมาย จู่ๆ ก็ผุดตามออกมาจากมิติที่ว่างเปล่า และพากันไล่ตามมอนสเตอร์ที่บาดเจ็บตนแรกไป

มอนสเตอร์ตัวที่คิดจะกินเรือ…เกรงว่าหลังจากนี้ไปมันคงจะมีชีวิตอยู่ต่อได้อีกไม่นาน

กู่ฉิงซานที่ได้เป็นสักขีพยานในฉากดังกล่าวนี้ ทั้งตกตะลึงและประหลาดใจในเวลาเดียวกัน

เขาอดไม่ได้ที่จะเงยหน้ามองไปที่ใบเรือ

ซึ่งเรือลำนี้จะแตกต่างจากเรือก่อนหน้า มันมีขนาดใหญ่ และเสากระโดงมากกว่าลำก่อนถึงสองกระโดง ขณะที่ห้องโดยสารหลายชั้นก็ถูกจัดวางเอาไว้เข้าด้วยกันอย่างเป็นระเบียบ ขณะที่ส่วนท้ายของเรือโค้งมนดูสวยงาม

หากเทียบเปรียบกับในสมัยโบราณ เรือลำนี้ก็คล้ายกับเรือใบที่มีสี่เสากระโดง เหมาะสำหรับการท่องสมุทร ในระยะยาว

เรือขนาดใหญ่แล่นผ่านท่ามกลางกระแสมิติอันเชี่ยวกรากไปอย่างรวดเร็ว และไม่มีมอนสเตอร์ตนใดปรากฏขึ้น มาขวางทางอีกเลย…

…………………………………..........