webnovel

0456 ปลดพันธนาการ

ตอนที่ 456 ปลดพันธนาการ

“ค้นพบวิชานักดาบนิรันดร์ของโลกใบนี้”

“ค่ายกลดาบ : ไท่หยี”

“เงื่อนไขที่จำเป็นก่อนการเรียนรู้หนึ่ง: ต้องอยู่ในขอบเขตที่เทียบเท่าหรือสูงกว่าประทับเทพ”

“เงื่อนไขที่จำเป็นก่อนการเรียนรู้สอง: ต้องเป็นนักดาบนิรันดร์”

“คำอธิบาย : หากต้องการเข้าใจถึงค่ายกลดาบนี้ จำเป็นต้องจ่ายออกด้วยสองพันแต้มพลังวิญญาณ”

สองพันแต้มพลังวิญญาณ!

กู่ฉิงซานจ้องมองดูคำแนะนำบนหน้าต่างระบบ และอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาอย่างขมขื่น

ณ ขณะนี้ เขามีแต้มพลังวิญญาณไม่พอที่จะเรียนรู้สกิลค่ายกลดาบ

“เอาล่ะ ขอบใจมาก เอาไว้ถ้าฉันมีโอกาส ก็จะกลับมาเรียนรู้มันอีกครั้ง”

แล้วเขาก็เก็บใบหยกลง

ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม การที่ตนสามารถได้รับสกิลค่ายกลดาบ มันก็นับว่าเป็นการเก็บเกี่ยวที่ได้รับผลประโยชน์มหาศาล ชนิดที่ไม่เคยมีมาก่อนแล้ว

สกิลค่ายกลดาบ กล่าวได้ว่ามันคือกระบวนท่าสังหารสำหรับนักดาบนิรันดร์อย่างแท้จริง

ในชีวิตก่อนหน้า กู่ฉิงซานก็บังเอิญเคยมีโอกาสได้รับสกิลค่ายกลดาบมาก่อนเช่นกัน ในยามที่เทพวิญญาณจุติลงมา

กล่าวได้ว่าในอดีตที่ผ่านมา นอกเหนือไปจากเขา มีน้อยคนนักที่จะมีโอกาสได้รับสกิลค่ายกลดาบเช่นนี้

เมื่อเขาขบคิดมาถึงจุดนี้ ฉินรั่วก็เอ่ยถามออกมา “หากใบหยกมีปัญหา เช่นนั้นเราก็สมควรที่จะกำจัดมันก่อนดีไหม?”

“ไม่เป็นไรหรอก หากมันอยู่กับฉานนู่แล้ว ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร”

กู่ฉิงซานกล่าว

มองไปยังท่าทีที่ยังคงสงบ ไร้กังวลของเขา ฉินรั่วก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา

“ทำไมหรือ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

“เปล่าหรอก ข้าก็แค่รู้สึกว่าหากยังต้องเก็บใบหยกแผ่นนั้นติดตัวเอาไว้ ในหัวใจของข้าก็คงกระวนกระวาย มิอาจทำให้มันสงบลงได้แบบเจ้าเป็นแน่”

“นี่เจ้าหวาดกลัวเฉียนซานเย่กระนั้นหรือ?”

“เปล่าหรอก สิ่งที่ข้าหวาดกลัวน่ะ มันคือโลกใบนี้ต่างหาก จิตใจของผู้คนในโลกใบนี้มันน่ารังเกียจมากเกินไป”

“อารยธรรมของโลกใบนี้มันไม่ลงรอยหรือสอดคล้องกับแนวคิดหลักของโลกของพวกเราเลย หากเป็นเช่นนี้ การจะอยู่ร่วมกันได้มันคงจะเป็นการยาก”

“ดังนั้น หากโลกใบนี้มันกำลังจะพังทลายลง ก็ปล่อยให้มันพังไปเถอะ” ฉินรั่วกล่าว

เธอเรียนรู้ที่จะใช้น้ำเสียงโทนเดียวกันกับกู่ฉิงซาน

ประโยคเมื่อครู่ คือคำพูดที่คล้ายคลึงกันกับในตอนที่กู่ฉิงซานได้กล่าวเอาไว้ในตอนช่วงแรกๆ ที่เขาได้เข้ามายังโลกใบนี้

เมื่อเอ่ยมัน หลายคนในที่นี้ก็เผยยิ้มจางๆ ออกมา

ในที่สุด ความเศร้าสลดบนใบหน้าของฉินรั่วที่เคยคิดว่าอีกฝ่ายไม่ไว้วางใจตนก็สลายหายไปไม่มีหลงเหลือ

“เอาล่ะ ไม่ว่าโลกใบนี้มันจะเป็นอย่างไร แต่พวกเราก็จะต้องหนีไปจากมันให้จงได้” กู่ฉิงซานกล่าว

“แต่เจ้าได้สาบานต่อฟ้าดินแล้วว่า … ”

ฉินรั่วมองเขา ปากเอ่ยกล่าวอย่างเป็นกังวล

“อ่า ใช่สิ ต้องจัดการหวังหงษ์เต๋าซะก่อนนี่นา … ” กู่ฉิงซานตอบรับ สมองเริ่มเต้นตุบๆ ด้วยอาการปวดหัว

ขณะที่ฉินรั่วกับว่านเอ๋อลอบสบตากันด้วยความกังวล

หวังหงษ์เต๋าเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตลมปราณจิต ยิ่งไปกว่านั้นยังมีนิสัยระแวดระวัง โหดร้าย และมีจิตใจที่ชั่วช้าเป็นอย่างยิ่ง

เขาเสแสร้งปิดบังนิสัยที่แท้จริงเอาไว้อย่างใจเย็นได้กว่าสามร้อยปี จนสามารถฉวยโอกาสลอบสังหารเฉียนซานเย่ที่เป็นอาจารย์ตนได้ในที่สุด

ตัวตนเช่นนี้ ต่อให้กำลังได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่ก็ไม่ง่ายเลยที่จะจัดการ

ทว่าตัวกู่ฉิงซานเองก็ยังมิได้คิดหาวิธีรับมือกับหวังหงษ์เต๋าอย่างจริงจังเลย

เพราะในเวลานี้ เขากำลังขบคิดถึงเรื่องอื่นอยู่

แต้มพลังวิญญาณของเขาทั้งหมดมีอยู่หนึ่งพันหกร้อยสามแต้มแต้ม แต่เมื่อครู่ก็ใช้ไปแล้วกว่า ห้าร้อยแต้มในการเรียนรู้ ตอนนี้จึงเหลืออยู่แค่เพียงหนึ่งพันหนึ่งร้อยสามแต้ม

เขาลองพิจารณาดูแล้ว และคาดว่าแม้วิชาต้องห้ามอย่างการพันธนาการวิญญาณจะมีความซับซ้อน แต่ความต้องการในด้านการใช้พลังวิญญาณในการเรียนรู้มันคงจะไม่มากมายเท่าใดนักหรอก หากเทียบเปรียบกับของค่ายกล

จริงสิพอได้กล่าวถึงเรื่องค่ายกลแล้ว ก็ต้องบอกว่าแม้ระดับในการจัดวางค่ายกลของตัวกู่ฉิงซานในตอนนี้ ณ โลกใบนี้จะขึ้นมาสู่ในขั้นกลาง (เรียนรู้ขั้นพื้นฐานกับขั้นต้นมาแล้ว) แล้วก็ตามที

แต่ระดับมันก็ไม่เพียงพอที่จะสามารถค้นหาพิกัดของโลกเทวะจากในดิสก์ค่ายกลเคลื่อนย้ายระหว่างสองโลกได้อยู่ดี

ซึ่งอันที่จริงแล้ว ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของค่ายกล หรือว่าค่ายกลดาบไท่หยี กู่ฉิงซานไม่จำเป็นต้องใช้แต้มพลังวิญญาณในการเรียนรู้มัน เขาก็สามารถคว้าทั้งสองสิ่งที่ว่ามาไว้ในครอบครองได้-

ด้วยพรสวรรค์โดยธรรมชาติและมาตรฐานในตัวเขา เขาสามารถใช้เวลาสักพักหนึ่ง เพื่อทำการฝึกฝน เรียนรู้และเข้าใจมันอย่างช้าๆ ก็ไม่น่าจะมีปัญหา

อย่างไรก็ตาม ภายในช่วงเวลาเจ็ดวันนี้ โลกล่องเวหาอาจจะล่มสลายลงเมื่อใดก็ได้ตลอดเวลา

ซึ่งนั่นหมายความว่ามันไม่มีเวลาเหลือมากพอที่จะมามัวทำเช่นนั้นแล้ว

เขาจะต้องเปลี่ยนแปลงความคิด และมองหาวิธีใหม่!

กู่ฉิงซานมองไปยังสองสาวใช้

อันดับแรก เขาจะต้องแก้พันธนาการ ปลดโซ่ตรวนให้พวกเธอเสียก่อน …

พวกเธอเป็นผู้ฝึกยุทธที่แข็งแกร่งกว่าตัวเขาเอง และมีบทบาทสำคัญเป็นอย่างมากในสถานการณ์ปัจจุบันนี้

กู่ฉิงซานพิจารณาอีกรอบ และทำการตัดสินใจในที่สุด

“ตอนนี้พวกเรามีบางเรื่องที่ต้องทำ”

สามสาวหันมามองหน้าเขา

“พวกเราจะต้องช่วยกันหาวิชาต้องห้ามที่ใช้ปลดปล่อยพันธนาการวิญญาณ”

ดวงตาของฉินรั่วและว่านเอ๋อเปล่งประกายขึ้นทันใด

ขณะที่ฉานนู่ทะยานตัวออกไปเบาๆ ตรงไปยังชั้นวางวิชาต้องห้าม และเริ่มทำการค้นหาใบหยกที่ว่าทันที

กู่ฉิงซานก็เดินเข้าไปด้วยเช่นกัน

แต่หลังจากลองค้นหาดูไปหลายใบหยก กู่ฉิงซานก็รับรู้ถึงความผิดปกติเล็กๆ น้อยๆ ที่เกิดขึ้น

เขามองย้อนกลับไป และเห็นแค่เพียงฉินรั่วกับว่านเอ๋อยังคงยืนนิ่งงันอยู่กับที่

กู่ฉิงซานตะโกนกระตุ้นเตือน “เร่งมือหน่อย! พวกเรามีเวลาไม่มากนักหรอกนะ”

แล้วสองสาวใช้ก็พลันได้สติกลับคืน

ฉินรั่วบีบมือของว่านเอ๋อ ขณะที่ว่านเอ๋อก็หันมามองเธอและพยักหน้าให้เล็กน้อย

แล้วพวกเธอก็เข้ามาร่วมด้วยช่วยกันค้นหา

ไม่นานนัก

ว่านเอ๋อก็กรีดร้องออกมา “ข้าเจอมันแล้ว!”

เธอถือใบหยกในมือ ราวกับว่ามันเป็นสมบัติล้ำค่า

ฉินรั่วเอื้อมมือไปหยิบใบหยก แล้วปล่อยจิตสัมผัสเทวะลงไป

“แบบนี้ชักจะไม่ดีซะแล้วสิ วิชานี้มันรัดกุมมากเกินไป และไม่อนุญาตให้ผู้ที่ถูกพันธนาการวิญญาณสามารถใช้งานมันได้” เธอกล่าว

พอได้ฟัง ว่านเอ๋อก็ยื่นมือไปจับใบหยกเช่นกัน จากนั้นก็เริ่มทำการอ่านเนื้อหาของมันอย่างเป็นจริงเป็นจัง

“กระบวนการของมันค่อนข้างลึกซึ้งและซับซ้อนมากเกินไป และการจะปลดมัน จะต้องทำให้สำเร็จภายในครั้งเดียว มิฉะนั้นแล้ววิชาพันธนาการวิญญาณจะเข้าสู่สภาวะแช่แข็ง และจะไม่ยอมละลายลงให้ปลดมันได้ จนกว่าจะผ่านพ้นไปอีกสามปี” ว่านเอ๋อส่ายหัวและกล่าว

ฉินรั่วถอนหายใจ “วิชานี้จำเป็นต้องใช้เวลาสักพักในการเรียนรู้ และหากจักเรียนรู้มันในถึงขั้นที่ชำนาญ ข้าเกรงว่ามันจะใช้เวลามากเกินไป”

กู่ฉิงซานรับใบหยกแผ่นนั้นมา และมองมัน

หืม? นี่มันไม่เลวเลย เนื่องจากก่อนหน้านี้เขาได้ทำการเรียนรู้ จนเข้าใจถึงการจัดวางได้ค่ายกลได้ระดับหนึ่งแล้ว ตนจึงสามารถข้ามขั้นตอนการในการเรียนรู้ส่วนใหญ่ของวิชาลับนี้ไปได้เลย ส่งผลให้จ่ายออกไปเพียงหนึ่งร้อยแต้มพลังวิญญาณก็สามารถเข้าใจมันได้แล้ว

กู่ฉิงซานหลับตาลงครู่หนึ่ง

แล้วจู่ๆ เขาก็ยัดใบหยกกลับคืนในชั้นวางทันใด

“เจ้าอย่าเพิ่งหมดหวังง่ายๆ สิ ใบหยกชิ้นนี้ อย่างน้อยพวกเราก็คัดลอกมันไว้-” ว่านเอ๋อยังไม่ทันกล่าวจนจบประโยค

มือของกู่ฉิงซานก็จีบออกด้วยวิชาลับ และประทับมันลงบนโซ่ตรวนของเธอด้วยมือเดียว และกระชากมันออกมาอย่างแรง!

แล้วโซ่ตรวนที่คอยพันธนาการวิญญาณของว่านเอ๋อก็ถูกปลดออกทันที มันร่วงตกลงบนพื้นโดยตรง

ในสมองของว่านเอ่อกลายเป็นว่างเปล่า

เธอลดศีรษะลง และเห็นแค่เพียงคราบเลือดที่เกิดจากรอยรัดพันอันหนักหน่วงของโซ่ตรวน ทว่าบัดนี้กลับไม่มีพวกมันคอยพันธนาการอยู่อีกต่อไปแล้ว

ในที่สุด … เธอก็ได้เป็นอิสระ!

ว่านเอ๋อค่อยๆ ยกสองมือขึ้นมาอย่างช้าๆ ปากรำพึงเสียงกระซิบ “วิถีพันธนาการ , แสวงหาโชคชะตา”

ปัง!

พลังวิญญาณอันใหญ่ยิ่งปะทุขึ้นมาจากฝ่ามือของเธอ ก่อร่างเป็นเปลวไฟสีเขียวพวยพุ่งขึ้นสู่หลังคาห้องลับ

ภายในเปลวไฟสีเขียว จักสามารถมองเห็นประตูที่ปิดแน่นได้อย่างเลือนราง

นี่คือเทคนิคมนตราของว่านเอ๋อที่เธอเป็นผู้ครอบครองมันแต่เพียงผู้เดียว และในโลกเดิมของเธอ มีเพียงผู้ฝึกยุทธที่สามารถปลดปล่อยพลังวิญญาณได้ในระดับขอบเขตพันวิบัติเท่านั้นจึงจะมีคุณสมบัติที่จะใช้งานมันได้

พื้นฐานวรยุทธของเธอ บัดนี้ได้ฟื้นฟูกลับคืนมาดังเดิมแล้ว!

ว่านเอ๋อสัมผัสได้ถึงพลังวิญญาณที่เดือดพล่านไปทั่วร่างกาย และทันใดนั้นเธอก็กรีดร้องลั่นออกมา

“อ๊าาาาาาาาาาาาาา!”

เสียงกรีดร้องนี้ปนเปื้อนออกมาพร้อมกันกับน้ำตาที่ราวกับเขื่อนแตก เพียงมองก็รับรู้ได้ว่าหากคิดจะหยุดมันคงมิใช่การง่าย

ฉานนู่ที่กำลังมองฉากนี้ ก็ได้หันไปเอ่ยกับกู่ฉิงซานด้วยความกังวล “นายน้อย ท่านต้องการที่จะ … ”

“ไม่ต้องหรอก นางทนแบกรับความเจ็บปวดมามากเกินไป เวลานี้ก็ปล่อยให้นางได้ระบายมันออกมาเถอะ” กู่ฉิงซานกล่าว

ว่าแล้ว เขาก็หันมาทางฉินรั่ว

ฉินรั่วกัดริมฝีปากแน่น ทั้งคนทั้งร่างสั่นสะท้านด้วยความกระวนกระวาย

“การปลดพันธนาการเมื่อครู่นี้ เจ้าคงจักเสียพลังวิญญาณไปไม่น้อยเลยทีเดียว เจ้าต้องการจะพักฟื้นก่อนหรือไม่?” เธอเอ่ยถาม

“เหตุใดจึงต้องพักฟื้น?”

“เพราะมันจักต้องปลดพันธนาการให้สำเร็จในคราเดียว มิฉะนั้นแล้วโซ่ตรวนจะเข้าสู่สภาวะแช่แข็ง

ข้าเกรงว่า … ”

“เข้าใจแล้ว เช่นนั้นข้าจะขอพักก่อนสักครึ่งชั่วยามก็แล้วกัน” กู่ฉิงซานมองเธอและกล่าว

แต่พอได้ฟัง ร่องรอยความว้าวุ่นก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของฉินรั่วทันที เธอเอ่ยน้ำเสียงแหบแห้ง “นั่นสินะ มันสมควรที่จะเป็นเช่นนั้น งั้นข้าจะรอ-”

แต่เสียงของเธอยังไม่ทันตกลง กู่ฉิงซานก็คว้าจับโซ่ตรวนที่พันธนาการกายเธอ แล้วกระชาก! มันออกอย่างแรงในทันที

เคร้ง!

โซ่ตรวนพันธนาการวิญญาณหล่นกระจายลงกับพื้น

ฉินรั่วตะลึงงัน

เธอลดศีรษะลง จ้องมองรอยรอยเลือด และบาดแผลตามเนื้อตัวของตนเอง

ตามต่อด้วยหยาดน้ำตาที่ไหลลงอาบแก้ม มารวมกันตรงปลายคางกลายเป็นหยดน้ำใสๆ ร่วงลงสู่พื้น

“ปลดโซ่ตรวนได้สำเร็จจริงๆ ด้วย”

เธอเอ่ยปากด้วยความโล่งใจ ขณะที่เสียงของเธอฟังดูคล้ายกับการผ่อนลมหายใจยาว

พลังวิญญาณอันทรงพลังของเธอเกิดความผันผวนไปมา เฉกเช่นเดียวกันกับความรู้สึกของตัวเธอในขณะนี้

ในฐานะที่เป็นถึงผู้ฝึกยุทธชั้นนำของโลก แต่จำต้องทนแบกรับความอัปยศอดสูมาเป็นระยะเวลายาวนาน จนห้วงอารมณ์ของเธอได้จมลงสู่ความสิ้นหวังไปตั้งเนิ่นนานแล้ว

และไม่เคยคิดเคยฝันเลย … ว่าท่ามกลางความสิ้นหวังอันมืดมิด ตนจักได้เห็นแสงจากรุ่งอรุณแห่งวันใหม่อีกครั้ง

“พี่สาว!”

ว่านเอ๋อวิ่งเข้ามา กระโจนเข้าโอบกอดเธอ

“ว่านเอ๋อ พวกเราเป็นอิสระแล้ว!”

ฉินรั่วกล่าวตะกุกตะกักราวกับคนติดอ่าง แต่เธอก็โอบกอดว่านเอ๋อแน่น

ทั้งสองซบไหล่กันและกัน ร่ำไห้ออกมา

“อืม … เราก็ปล่อยให้พวกเธอมีความสุขกันไปก่อน ระหว่างนี้ก็ไปเลือกใบหยกค่ายกลกันต่อเถอะ” กู่ฉิงซานกล่าว

“เจ้าค่ะ นายน้อย” ฉานนู่ตอบรับเขาด้วยรอยยิ้ม

แล้วเธอก็เดินปลีกตัวออกไปพร้อมกับกู่ฉิงซาน

เมื่อมาถึงชั้นวางใบหยกที่บันทึกค่ายกล ทั้งสองก็เริ่มทำการหยิบเลือกใบหยกชิ้นอื่นๆ ต่อทันที

ต้องไม่ลืมนะว่าพื้นที่แห่งนี้คือเขตหวงห้ามของหวังหงษ์เต๋า ดังนั้นทุกสิ่งแทบจะไม่มีอันใดที่เลวร้ายเลย

อย่างเดียวที่น่าเสียดายก็คือ เทคนิคดาบที่หวังหงษ์เต๋ามีไว้ในครอบครองน่ะ มันน้อยเกินไป

ขณะที่กู่ฉิงซานทำการเลือก ในเวลาเดียวกัน เขาก็กำลังขบคิดเกี่ยวกับการแก้ปัญหาใหญ่อย่างการที่ตนกำลังขาดแคลนแต้มพลังวิญญาณไปพลางๆ ….

…………………………………..........