webnovel

0453 ดาบคู่เอกลักษณ์

ตอนที่ 453 ดาบคู่เอกลักษณ์

เห็นแค่เพียงผู้ฝึกยุทธเครายาวที่ผุดออกมาจากใบหยกและทิ้งตัวลงบนพื้นอย่างแผ่วเบา

สายตาของเขากวาดผ่านฉินรั่วและว่านเอ๋อ สุดท้ายจึงมาตกลงบนร่างของกู่ฉิงซาน

กู่ฉิงซานเพ่งพิจารณาเขา แน่นอนว่าอีกฝ่ายก็เช่นกัน แล้วทั้งสองก็บังเกิดความคิดหนึ่งวาบผ่านเข้ามาในจิตใจ

‘ดูเหมือนว่าฝ่ายตรงข้ามจะเป็นผู้ฝึกดาบ’

นี่คือการรับรู้ได้โดยจิตสำนึก ที่แม้ว่าจะอยู่ในช่วงที่มีชีวิตหรือผ่านพ้นตกลงสู่ความตายไปแล้วก็ตามที แต่หากผู้ฝึกดาบมองกันและกัน ก็จะเข้าใจถึงสถานะของอีกฝ่ายได้โดยปริยาย

ผู้ฝึกดาบเครายาวที่ลอยอยู่ตรงกันข้ามพยักหน้ายืนยันในการตัดสินใจของตนเอง

ขณะที่ความอยากรู้อยากเห็นของกู่ฉิงซานเริ่มเพิ่มพูนขึ้น

“ข้าใคร่ขอเรียนถามถึงนามของท่านผู้ทรงเกียรติจะได้หรือไม่?” กู่ฉิงซานประสานสองกำปั้น เอ่ยถามไปยังอีกฝ่าย

“เฉียนซานเย่” ผู้ฝึกยุทธเครายาวกล่าว

‘ชื่อนี้ช่างคุ้นหูนัก ดูเหมือนว่าข้าจะเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน … ’

กู่ฉิงซานค่อยๆ ย้อนระลึกความทรงจำไปอย่างช้าๆ แล้วก็สามารถจดจำถึงที่มาของชื่อๆ นี้ได้ในที่สุด

นี่คือชื่อของบุคคลที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของนิกายกวงหยาง!

หรือกระทั่งในโลกใบนี้ นาม ‘เฉียนซานเย่’ ก็ยังเปรียบดั่งตัวแทนของตำนาน!

ดาบคู่เอกลักษณ์ เฉียนซานเย่

เมื่อหลายพันปีที่ผ่านมา ก่อนหน้าที่มารโลกายังมิได้ปรากฏตัวขึ้นบนโลกใบนี้

ในช่วงเวลานั้น ดวงอาทิตย์ จันทรา และผืนโลก ทุกสิ่งอย่างยังคงมีอยู่

ทุกชนิดของตัวตนอัจฉริยะที่โดดเด่นในศาสตร์แขนงต่างๆ ปรากฏขึ้นออกมาอย่างไม่รู้จบ

ในครั้งเมื่อช่วงเวลาที่ทุกนิกายเข้าร่วมประลองการต่อสู้ เฉียนซานเย่แห่งนิกายกวงหยางที่ถือดาบในมือ เผยยิ้มอย่างภาคภูมิต่อหน้าเหล่าฝูงชนที่กำลังรับชม และไม่มีเลยแม้แต่คนเดียวที่จะต่อกรกับเขาได้

ในยุคสมัยนั้น ด้วยการดำรงอยู่ของเฉียนซานเย่ ส่งผลให้นิกายกวงหยางได้ทะยานขึ้นมามีสถานะสูงสุดหากเทียบเปรียบกับนิกายอื่นๆ ทั้งหมด!

มันเป็นปีที่รุ่งโรจน์มากที่สุดในประวัติศาสตร์ของนิกายกวงหยาง

“ท่านเป็นผู้นำรุ่นที่เก้าของนิกาย เฉียนซานเย่ กระนั้นหรือ?” กู่ฉิงซานอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม

เฉียนซานเย่เหลือบมองเขาวูบหนึ่ง ปากเอ่ยรับ “เป็นข้า”

“ผู้น้อยฉีหยาน เป็นปรมาจารย์ตำหนักในรุ่นนี้ ว่าแต่เพราะเหตุใดท่านผู้นำเฉียนจึงได้มาอยู่ที่นี่กัน?”

กู่ฉิงซานแสดงท่าทีนอบน้อม ขณะเดียวกันก็เอ่ยถามด้วยความสงสัย

เฉียนซานเย่ส่ายหัวโดยไม่รู้ตัว คล้ายกับว่ากำลังรู้สึกเจ็บปวดที่จะต้องมองย้อนกลับไปในช่วงอดีตที่ผ่านพ้นมา

เขาถอนหายใจและเอ่ยออกมาในที่สุด “เมื่อหนึ่งพันห้าร้อยปีก่อน หวังหงษ์เต๋าคารวะข้าเป็นอาจารย์ และฝึกยุทธอยู่กับข้าเป็นระยะเวลายาวนานกว่าสามร้อยปี”

หวังหงษ์เต๋าอีกแล้ว!

กู่ฉิงซานกลับกลายเป็นจริงจังขึ้นมาทันที

ที่แท้ เฉียนซานเย่ก็เป็นอาจารย์ของหวังหงษ์เต๋านี่เอง

ว่าแต่ทำไมจิตวิญญาณของเฉียนซานเย่ ถึงได้มาหลบซ่อนอยู่ที่นี่กัน? จริงๆ แล้วมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?

แต่ยังไม่ทันจะได้คิด เฉียนซานเย่ก็พูดต่อเสียก่อน “ในการประลอง ข้าเผลอสังหารสหายไปอย่างไม่ตั้งใจ ขณะเดียวกันตนเองก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสเช่นกัน”

“ในช่วงเวลานั้น ตัวข้ารู้สึกเสียใจอย่างสุดซึ้ง สภาวะจิตใจช่างว้าวุ่น ขณะที่หวังหงษ์เต๋าเป็นลูกศิษย์คนสำคัญของข้า มันจึงรับหน้าที่รักษาบาดแผลให้แก่ข้า แต่ใครจะรู้ ว่ามันกลับฉวยโอกาสนั้นลอบจู่โจมข้าอย่างไม่ทันตั้งตัวซะนี่”

“ข้าเลยตกตายลงอย่างไม่ยินยอม ดังนั้นจึงอาศัยเทคนิคลับ แล้วมาสถิตอยู่ในใบหยกชิ้นนี้ ที่บันทึกเทคนิคดาบเอาไว้”

กู่ฉิงซานพอได้ฟังก็บังเกิดข้อสงสัย จึงเอ่ยถามไปว่า “แต่ท่านเป็นอาจารย์ของเขามิใช่หรือ เขาย่อมต้องรู้ดีสิว่าท่านแข็งแกร่งเพียงใด และหากอยู่กับท่านต่อไปจะได้ผลประโยชน์มากมายขนาดไหน แล้วทำไมจู่ๆ เขาถึงได้เลือกที่จะลอบสังหารท่านขณะกำลังรักษาตัวกันล่ะ?”

“เพราะข้าแค่ส่งผ่านทักษะกระบี่ให้แก่เขาเท่านั้นน่ะสิ แต่ยังมิได้ส่งผ่านทักษะดาบไปให้เลย” เฉียนซานเย่กล่าว

“ข้าจดจำได้ว่า” ฉินรั่วบีบมือของกู่ฉิงซานอย่างเงียบๆ และเอ่ยอย่างแผ่วเบา “ในอดีตที่ผ่านมา ผู้นำเฉียนถูกเรียกว่า ดาบคู่เอกลักษณ์ และเป็นผู้ฝึกยุทธที่แกร่งสุดในโลกในยุคสมัยนั้น”

“เล่าลือกันว่า ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกยุทธคนใด หากมีวาสนาได้เรียนรู้ทักษะกระบี่ของเขาได้เพียงหนึ่งหรือสองกระบวนท่า ก็ถือว่าประสบความสำเร็จในชีวิตแล้ว”

“แต่หากใครก็ตามที่ได้เรียนทักษะดาบของผู้นำเฉียน มันก็มีโอกาสเป็นไปได้มากทีเดียว ที่คนผู้นั้นจะกลายเป็นผู้ฝึกยุทธชั้นยอดที่แข็งแกร่งชนิดหาตัวจับได้ยาก”

“แต่จากในบันทึกของนิกาย บ่งบอกว่าหลังจากที่เขาได้มอบบทเรียนให้แก่สหายฝึกยุทธของตน ผู้นำเฉียนก็ได้หายตัวไปจากโลกใบนี้ และไม่เคยปรากฏกายขึ้นมาอีกเลย”

“ผู้ฝึกยุทธในโลกต่างก็เลื่องลือกันไปว่าผู้นำเฉียนบังเกิดความอัปยศในจิตใจที่สังหารสหาย ดังนั้นเขาจึงออกเดินทางสู่มิติที่ว่างเปล่า เพื่อออกไปท่องสำรวจโลกใบใหม่”

สมองของกู่ฉิงซานหมุนเร็วจี๋ ปากเอ่ยกล่าว “เพราะหวังหงษ์เต๋ายังไม่ได้รับการส่งผ่านทักษะดาบ ดังนั้นเขาจึงบังเกิดความเกลียดชังขึ้นในหัวใจ เลยพยายามจะสังหารท่าน เพื่อที่จะขโมยทักษะดาบของท่านใช่หรือไม่?”

เฉียนซานเย่พยักหน้า และเผยให้เห็นถึงความเสียใจที่ฝังลึกอยู่ในจิตวิญญาณของเขา

“ในความเป็นจริง หากอ้างอิงจากห้วงสภาวะจิตใจและสติอารมณ์ของหวังหงษ์เต๋าแล้ว ข้าไม่สมควรที่จะสอนสั่งทักษะกระบี่ให้แก่เขาเลย” เฉียนซานเย่กล่าว

“จิตใจและสติอารมณ์ของเขาอย่างงั้นหรือ? เพราะเหตุใดกันถึงไม่ควรสอนสั่งทักษะกระบี่แก่เขา?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

ปัจจุบันนี้ นับว่าเป็นโอกาสดีทีเดียวที่จะได้เข้าใจถึงตัวตนของหวังหงษ์เต๋าได้มากขึ้น

ใครจะรู้ ว่าแท้จริงแล้วผู้อาวุโสสูงสุดแห่งนิกายกวงหยาง ในครั้งอดีตจะเคยลอบสังหารอาจารย์ของตนเองอย่างกะทันหัน!

การได้รับรู้ถึงเรื่องราวนี้ มันจะช่วยให้ตัวกู่ฉิงซานสามารถเข้าใจตัวตนและรูปแบบการกระทำของหวังหงษ์เต๋าได้มากยิ่งขึ้น

มันไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไรที่จะได้ทราบข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับศัตรู

เฉียนซานเย่กล่าว “คมกระบี่จะแข็งกล้าหาที่ใดเปรียบ ในยามที่จิตใจของผู้ใช้มันเที่ยงตรงเท่านั้น”

กู่ฉิงซานพยักหน้ารับ

เพราะในบรรดาผู้ใช้กระบี่ เขาก็เคยจดจำได้ว่าหนิงเยว่ฉานก็ได้เอ่ยสิ่งที่คล้ายคลึงกันกับคำกล่าวนี้ออกมาเช่นกัน

“ใบกระบี่นั้นเที่ยงแท้และเที่ยงธรรม มันเรียบเนียนเป็นเส้นตรง มุ่งออกไปเพียงเบื้องหน้าเท่านั้น มิโค้งงอไปเบื้องหลัง”

หนิงเยว่ฉานน่ะเป็นผู้เชี่ยวชาญในเชิงกระบี่ เธอมีความคิดและจิตใจที่บริสุทธิ์ แถมเจตกระบี่ก็ยังเที่ยงแท้ และมีความก้าวหน้าที่รวดเร็วยิ่งนัก

ตัวกู่ฉิงซานเองก็ชมชอบที่จะคบหากับผู้ใช้กระบี่เป็นอย่างยิ่ง

เพราะผู้ที่ใช้กระบี่ส่วนใหญ่ล้วนเป็นคนซื่อตรง จริงใจ จะรักจะเกลียดก็แสดงออกมาชัดเจน

บุคคลที่เรียบง่าย และบริสุทธิ์เช่นนี้แหละ ที่เหมาะสมจะคบหาเป็นสหายอย่างแท้จริง

แน่นอน ว่าไม่ใช่แค่เพียงผู้ฝึกยุทธถือกระบี่ แล้วจะมีคุณสมบัติถูกเรียกว่าผู้ใช้กระบี่ได้

ขณะเดียวกัน ผู้ฝึกยุทธที่เพียงมีดาบอยู่ในมือ ก็จะไม่สามารถถูกนับได้ว่าเป็นผู้ฝึกดาบเช่นกัน

เฉียนซานเย่ถอนหายใจ “จิตใจของหวังหงษ์เต๋านั้นละโมบและหวาดกลัวในความตายมากเกินไป เขาจึงไม่เหมาะสมที่จะใช้กระบี่ แต่เนื่องด้วยเขาเป็นศิษย์ที่ดีของข้า คอยทุ่มเทและภักดีต่อข้ามานับร้อยๆ ปี ข้าจึงยังคงเก็บเขาไว้ข้างกาย แต่ใครจะไปคิดว่านั่นเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดครั้งใหญ่ ”

กู่ฉิงซานถอนหายใจ “ท่านผู้ทรงเกียรติ ในยุคสมัยของท่าน ท่านนับว่าเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์อย่างแท้จริง ดังนั้นข้าเชื่อว่าวิสัยทัศน์ในการมองคนของท่านย่อมไม่มีทางผิดพลาดโดยง่ายเป็นแน่ มันต้องมีอะไรมากกว่านั้นอย่างแน่นอน”

“เป็นดั่งที่เจ้าว่ามา มันเป็นเรื่องง่ายดายที่จะจับผิดใครสักคนหนึ่งที่เสแสร้งปิดบังความคิดและตัวตนที่แท้จริงของตัวเอง ในยามที่ใช้เวลาอยู่ด้วยกันมา หนึ่งปี สองปี หรือเป็นสิบๆ ปี ทว่าสำหรับหวังหงษ์เต๋า มันติดตามข้าด้วยความมุ่งมั่นและภักดี แถมการแสดงออกก็ดูซื่อตรงและจริงใจ ..ไม่มีข้อบกพร่องใดๆ เลยในตลอดช่วงเวลากว่าสามร้อยปี ที่ผ่านพ้นมา”

ว่านเอ๋อกับฉินรั่วมองหน้ากับวูบหนึ่ง ในหัวใจบังเกิดความเย็นเยียบ

ชายคนหนึ่ง … เพียงเพื่อบรรลุเป้าหมายของตนเอง ถึงขั้นยินยอมที่จะเสแสร้งปิดบังทุกการกระทำและแสดงออกที่แท้จริงของตนเองเป็นเวลากว่าสามร้อยปีเชียวหรือ!?

ตั้งสามร้อยปี … สามร้อยปีที่พฤติกรรมของเขามิเคยถูกสงสัยเลย

จักต้องมีจิตใจและอุปนิสัยแบบใดกันจึงจะสามารถกระทำเช่นนั้นได้ ..

“ผู้นำเฉียน เราควรจะพาท่านออกจากที่นี่ และบอกเรื่องราวนี้ให้แก่โลกภายนอกรู้” ว่านเอ๋ออดไม่ได้ที่จะพูดออกมา

“มันไม่มีประโยชน์หรอก” เฉียนซานเย่ส่ายหัว

“ท่านพูดถูกแล้วล่ะ เพราะตอนนี้ตลอดทั้งนิกาย หวังหงษ์เต๋าคือผู้ฝึกยุทธที่แข็งแกร่งที่สุด ต่อให้จะมีบางคนทราบถึงความจริงที่ว่านี้ก็ตามที แต่มันคงส่งผลตรงกันข้าม ผู้คนจะยิ่งรู้สึกหวาดกลัวเขามากยิ่งขึ้นเสียมากกว่า” ฉินรั่วกล่าว

“อีกอย่าง โลกใบนี้ก็ใกล้จะล่มสลายแล้ว ทุกคนต่างก็ตกอยู่ในอันตราย คงไม่มีเวลาว่างไปมัวสนใจเรื่องของคนอื่นๆ หรอก” กู่ฉิงซานถอนหายใจ

เขาประสานสองกำปั้นไปทางอีกฝ่าย ปากเอ่ยกล่าว “ท่านผู้นำเฉียน มีสิ่งใดที่ข้าสามารถกระทำเพื่อท่านได้หรือไม่?”

“ข้ารู้สึกได้ถึงเจตแห่งดาบในกายเจ้า และเจ้ายังมิได้เรียนรู้เทคนิคมนตราใดๆ ของนิกายกวงหยางเลย ข้ากล่าวถูกต้องหรือไม่?”

“เป็นดังที่ท่านว่า” กู่ฉิงซานยอมรับ

“หวังหงษ์เต๋ามิได้เป็นนักดาบที่ดี เขาเป็นผู้ใช้กระบี่และวิชาควบคุมซากศพ ดังนั้นเขาย่อมต้องไม่คิดจะรับผู้ที่เชี่ยวชาญในทักษะดาบเช่นเจ้ามาเป็นลูกศิษย์เป็นแน่”

“ถูกต้อง ข้ามิใช่ลูกศิษย์ของเขา”

“แต่สถานที่แห่งนี้คือพื้นที่ต้องห้ามของหวังหงษ์เต๋า แม้กระทั่งผู้นำของรุ่นนี้ก็ยังมิอาจเข้ามายังที่นี่ได้ ชัดเจนว่าภายนอกคงเกิดเหตุการณ์อะไรบางอย่างที่ข้ายังมิได้ล่วงรู้ขึ้นสินะ”

“ท่านกล่าวได้ถูกต้องแล้ว” กู่ฉิงซานยอมรับ

“หากเป็นเช่นนั้น ข้าก็มีข้อตกลงบางอย่างที่อยากจะเจรจากับเจ้า”

ขณะกล่าว เฉียนซานเย่ก็เผยสีหน้าเด็ดขาดออกมา

“เชิญท่านชี้แนะ”

“ใบหยกที่ข้าสถิตอยู่นี้ ได้บันทึกเทคนิคดาบที่ทรงประสิทธิภาพเอาไว้ ในอดีตที่ผ่านมา ทุกคราในยามที่ฝึกซ้อมกระบี่เขามักร้องขอที่จะเรียนรู้มัน แต่ด้วยความคิดของข้าที่ว่าเขาไม่เหมาะสมที่จะศึกษาทักษะดาบ ข้าจึงตอบปฏิเสธไป เพราะคิดว่าการที่สอนสั่งทักษะกระบี่ให้ มันก็เพียงพอแล้วต่อความภักดีของเขา”

“เช่นนั้น กล่าวได้ว่าท่านไม่เคยสอนสั่งทักษะดาบแก่เขาเลยสินะ”

“ใช่ แม้กระทั่งทักษะกระบี่ก็ยังมิได้สอนสั่งเขาจนครบจบโดยสมบูรณ์”

“แล้วจากนั้นเล่า?”

“ยามที่ข้าถูกลอบสังหารโดยเขา และล่วงรู้อย่างแน่นอนว่าตนจักต้องตกตาย ข้าจึงเริ่มที่จะทำลายใบหยกที่บันทึกเทคนิคดาบเอาไว้ทั้งหมด”

เฉียนซานเย่ชี้ไปยังใบหยกในมือของฉานนู่และกล่าว “หลงเหลือเพียงใบหยกชิ้นนี้ ที่บันทึกเทคนิคดาบสุดท้ายเอาไว้ หลงเหลือเพียงมันเท่านั้นที่ข้าเลือกใช้เป็นกับดัก”

“กับดัก?”

“ใช่ จิตวิญญาณของข้าได้สถิตอยู่ในใบหยกชิ้นนี้ และถ้าหากใครก็ตามที่ยื่นมือไปคว้าจับมัน ข้าก็จะเข้ายึดครองกายเขาทันที”

กู่ฉิงซานลอบรำพึงอย่างลับๆ ‘เป็นอย่างที่คิดจริงๆ ’

…………………………………..........