webnovel

0445 แทนที่

ตอนที่ 445 แทนที่

สีหน้าของเย่หยิงเหมยเผยให้เห็นถึงร่องรอยของความทรงจำในครั้งอดีต เธอเอ่ยปากออกมาว่า “ในช่วงเวลานานนับปีที่ผ่านพ้น แม้พวกเราถูกควบคุมโดยเขาตลอดมา แต่ในระหว่างนั้นก็มิได้ทิ้งเวลาไปอย่างเสียเปล่า สายตาของพวกเราคอยสอดส่องทุกการกระทำของเขาอยู่ตลอดเวลา และขณะเดียวกันก็ค่อยๆ แอบทุ่มทั้งเวลาและทรัพยากรจำนวนมาก เพื่อตระเตรียมกำจัดเขาอย่างลับๆ”

กู่ฉิงซานพยักหน้า และส่งสัญญาณให้ฝ่ายตรงข้ามพูดต่อ

เย่หยิงเหมย “ข้าลอบสังเกตจนกระจ่างแจ้งถึงกระบวนท่าของหวังหงส์เต๋า จึงได้ลอบหลอมสมบัติมนตราที่สามารถต้านทานการโจมตีของเขาได้อยู่หลายครั้งขึ้น”

เซ่าหวูชุ่ย “ข้าลอบสังเกตจนกระจ่างแจ้งถึงจุดที่บาดเจ็บร้ายแรงมากที่สุดในร่างกายของหวังหงส์เต๋า และได้ลอบหลอมสมบัติมนตราไว้ชิ้นหนึ่ง และแม้ว่าสมบัติชิ้นนี้จะใช้ได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น แต่มันย่อมต้องสร้างผลลัพธ์ร้ายแรงต่อเขาได้อย่างแน่นอน”

เย่หยิงเหมยถอนหายใจ “นี่คือสิ่งที่พวกเราเตรียมการเอาไว้เพื่อที่จะต่อสู้เป็นตายกับเขา”

“พวกเจ้าคงลำบากมาไม่น้อยเลยสินะ”

กู่ฉิงซานกำลังย้อนคิด ไตร่ตรองอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับสถานการณ์ในปัจจุบัน

สตรีแห่งรากษสคือปรมาจารย์เฟิงแห่งลั่วชาเฟิง แม้ว่าพื้นฐานวรยุทธจะไม่นับว่าเป็นที่สุด แต่เพราะเธอสามารถรับสืบทอดมรดกของลั่วชาเฟิงได้ ดังนั้นจึงนับว่ามีอำนาจสูงสุดในลั่วชาเฟิง และสี่ผู้ฝึกยุทธขอบเขตลมปราณจิตในนิกายจักต้องเชื่อฟังเธอ

จวบจนกระทั่งถึงตอนนี้ เธอก็ยังคงแฝงกายเป็นหน้ากากและไม่คิดลงมือเคลื่อนไหวใดๆ

ซึ่งกู่ฉิงซานคาดว่าคงจะมีเพียงเหตุผลข้อเดียวเท่านั้น ที่เธอยังคงเลือกที่จะทำเช่นนี้

เฉกเช่นเดียวกันกับเย่หยิงเหมยและเซ่าหวูชุ่ยนั่นแหละ! มันเป็นเพราะแม้แต่ตัวเธอเองก็ยังไม่อาจล่วงรู้พิกัดของสองโลกที่ฉีหยานปกปิดเอาไว้ได้!

หากไม่มีพิกัด มันก็เป็นไปไม่ได้ที่จะค้นหา และนั่นหมายถึงไม่สามารถไปยังสองโลกได้!

หากไม่มีพิกัดทั้งสองโลกก็เปรียบดั่งดวงจันทร์ที่สะท้อนอยู่ในแอ่งน้ำ แม้จะมองเห็นด้วยตาเปล่า ทว่ามิอาจเอื้อมมือไปสัมผัสต้องได้

ดังนั้น ถึงแม้ว่าหวูซานจะเปิดเผยถึงการดำรงอยู่ของโลกใหม่แล้วก็ตามที แต่ตัวมันเองก็หาได้รู้พิกัดไม่ ซึ่งสำหรับสองปรมาจารย์ตำหนักและสตรีแห่งรากษสแล้ว ในทางปฏิบัติมันแทบจะไม่มีความหมายใดๆ เลย

สองปรมาจารย์ตำหนักจึงไม่มีทางเลือก นอกจากต้องร่วมมือกับฉีหยาน

ส่วนสตรีแห่งรากษสก็เท่าได้แค่อำพรางตัวต่อไป โดยมีจุดประสงค์เป็นการเฝ้ารอคอยที่จะล้วงความลับของโลกใหม่ให้เพิ่มมากขึ้น

กู่ฉิงซานขบคิดถึงเรื่องราวเหล่านี้ และได้ทำการพิจารณาเล็กน้อยในจิตใจ

เขายื่นมือออกไปและกล่าว “จงมอบสมบัติมนตราของเจ้ามา แล้วหวังหงส์เต๋าจะถูกสังหารลงภายใต้เงื้อมมือของข้าเอง”

“เจ้าแน่ใจหรือ? แต่เจ้าเป็นแค่ระดับขีดสุดความว่างเปล่าขั้นต้นเท่านั้นเองนะ” เย่หยิงเหมยมองเขาและกล่าว

“ขั้นต้นแล้วอย่างไร? ข้าก็ไม่เหมือนกับเจ้าที่จะต้องมาคอยกังวลเรื่องไร้สาระมากมายอยู่ดี”

“ย้ำอีกครั้ง บนกายเจ้าน่ะมีผนึกต้องห้ามของหวังหงส์เต๋าอยู่ จึงไม่สามารถลงมืออย่างเต็มกำลังได้ และหากเจ้าไม่สามารถสังหารเขาได้ ก็ย่อมต้องเป็นข้าที่ตกตายลงด้วยน้ำมือของเขา

“ดังนั้น มันจะเป็นการดีกว่าสำหรับข้า หากให้ข้าหาหนทางออกด้วยตัวเอง แบบนี้ข้าจึงค่อยสบายใจหน่อย”

หลังจากที่สองปรมาจารย์ตำหนักรับฟังอย่างใจเย็น พวกเขาก็ได้โอนเอนไปตามความคิดของฉีหยาน

เซ่าหวูชุ่ยกล่าวเสียงหนักอึ้ง “เพื่อป้องกันไม่ให้หวังหงส์เต๋าล่วงรู้ความลับ พวกเราจึงมิกล้าพกพาสมบัติเหล่านั้นเอาไว้กับตัว แต่ได้ซ่อนมันไว้ที่เกาะลอยฟ้าธรรมดาๆ แห่งหนึ่งในอากาศ และประทับตราบนสมบัติมนตราเหล่านั้นเอาไว้ ทำให้นอกเหนือไปจากพวกเรา จะไม่มีใครสามารถแตะต้องมันได้”

เย่หยิงเหมยกล่าวอย่างซื่อตรง “ฉีหยาน ขอพูดแบบเปิดอกคุยกันเลยนะ กระทั่งตอนนี้ ตัวข้าเองก็ยังไม่ไว้วางใจเจ้าอยู่ดี”

เซ่าหวูชุ่ยพยักหน้าเห็นด้วย

“นี่มันเป็นเรื่องง่ายที่จะจัดการ”

กู่ฉิงซานยกมือขึ้นและกล่าวคำมั่นสาบานว่า “หากเจ้ามอบสมบัติมนตราให้แด่ข้า ข้าจะพยายามอย่างสุดความสามารถ เพื่อที่จะนำตัวหวังหงส์เต๋าไปสู่ความตาย หากละเมิดคำมั่นนี้ ขอให้ตนถูกลงทัณฑ์โดยฟ้าดิน”

บังเกิดลมวนที่มองไม่เห็นขึ้นรอบตัวกู่ฉิงซาน ตามด้วยเสียงกระหึ่มจากท้องฟ้าเบื้องบน

คำมั่นสาบานได้ถูกรับรู้แล้ว

เย่หยิงเหมยเมื่อเห็นว่าฟ้าดินเป็นพยานแล้ว รอยยิ้มก็ผุดขึ้นมาบนใบหน้าเธอ

ขณะที่เซ่าหวูชุ่ยจ้องมองมาทางกู่ฉิงซานอยู่เนิ่นนาน แต่สุดท้ายก็มิได้เอ่ยคำใด แต่ภายในแววตาของเขาดูเหมือนจะกะพริบไหวไปด้วยอารมณ์อันซับซ้อน

ฉีหยานถึงขั้นบีบบังคับให้ชีวิตของตนเองมาถึงทางตัน มิหลงเหลือตัวเลือกใดๆ ให้ตนเองเลย เพียงเพื่อที่จะให้หวังหงส์เต๋าตาย

กระทั่งฟ้าดินก็ยังเป็นพยานต่อคำมั่นอันร้ายแรงนี้แล้ว เช่นนั้นยังจะมีผู้ใดที่ไม่อาจทำใจเชื่อฉีหยานได้อยู่อีก?

“หากเจ้าแสดงความจริงใจออกมาถึงเพียงนี้ เช่นนั้นก็ตกลง” เย่หยิงเหมยกล่าว

ณ จุดนี้ บอกตรงๆ ว่ากระทั่งตัวเธอเองก็อดไม่ได้ที่จะชื่นชมฉีหยานเล็กน้อย

ช่างเด็ดเดี่ยวและไร้หัวใจ

กล้าเปล่งคำสาปคำสาบานดั่งพิษร้ายเช่นนี้ แล้วยังจะมีผู้ใดอีกเล่าที่มิยินยอมเชื่อใจเขา?

ถึงขั้นยอมโยนตนเองให้ตกที่นั่งลำบาก ดีกว่าปล่อยให้ผู้อื่นไปรับหน้ากับขอบเขตลมปราณจิตโดยที่ตนไม่สบายใจ

เขานี่มันงูพิษที่ไม่สมควรจะยั่วยุโดยแท้!

เย่หยิงเหมยรู้สึกว่าตนโชคดีเล็กน้อย

โชคดีที่เธอมิได้ลงมือทำอะไรกับฉีหยานตั้งแต่ตอนแรก

“การนำสมบัติมนตราทั้งสองชิ้นกลับมา และปลดตราประทับ มันค่อนข้างที่จะใช้เวลาเล็กน้อย”

“จากข่าวกรองของเรา ภายในครึ่งวันท่านอาจารย์จะยังคงไม่กลับมาที่นี่” เซ่าหวูชุ่ยกล่าวเสียงหม่น

“เช่นนั้นก็ดี พวกเจ้าคนหนึ่งแยกไปเอาสมบัติมนตรามาก็แล้วกัน”

กู่ฉิงซานลุกขึ้นและกล่าว

“แล้วเจ้าจะไปไหน?” เซ่าหวูชุ่นเลื่อนสายตามองตามการเคลื่อนไหวของเขา ปากเอ่ยถาม

กู่ฉิงซานไม่ตอบ แต่กลับเดินไปยังขอบเวทีและกวักมือเรียกฉินรั่ว

“นายน้อย?” ฉินรั่วเอ่ยปาก

“พวกเรากลับกันเถอะ”

“เจ้าค่ะ”

ฉินรั่วประคองมือของเขา และเบนกายมายืนเคียงข้าง

กู่ฉิงซานหันหน้ากลับมา แล้วพูดว่า “ข้าจะไปเตือนสติกู่ฉิงซาน เกี่ยวกับเรื่องที่เขาจะตัดผ่าน แล้วจะกลับมาเร็วๆ นี้”

สองปรมาจารย์ตำหนักพยักหน้าทันใด

นั่นสินะ ก็ลูกศิษย์ของฉีหยานกำลังจะตัดผ่านเข้าสู่ขอบเขตประทับเทพนี่นา

“เจ้าก็รออยู่ที่นี่ก็แล้วกัน ประเดี๋ยวข้าจะกลับมา”

ว่าแล้ว กู่ฉิงซานก็เดินจากไป

แต่ทันใดนั้นเขาก็หยุดฝีเท้า และหันมาเอ่ยปากอีกครั้งว่า “ศิษย์น้องหยิงเหมยเจ้าไปเอาของที่ว่ามา ส่วนสหายเซ่า เวลานี้เจ้าเป็นผู้ฝึกยุทธที่แข็งแกร่งที่สุดเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ในนิกาย ดังนั้นเจ้าจะต้องคอยอยู่ที่นี่เพื่อปกป้องนิกายเอาไว้”

เย่หยิงเหมยพยักหน้าเห็นด้วย

เวลานี้สองผู้ฝึกยุทธของเขตลมปราณจิตมิได้อยู่ในนิกาย ส่วนตนเองก็กำลังจะออกไป ฉะนั้นแล้วหากบังเอิญถูกลอบโจมตีโดยนิกายอื่นในช่วงเวลานี้ มันคงกลายเป็นเรื่องขบขันอย่างแท้จริง

ในช่วงเวลาที่สำคัญยิ่งเช่นนี้ ฉีหยานยังสามารถตระหนักได้ถึงเรื่องนี้ นับว่าสมควรแล้วที่เขาได้รับตำแหน่งเป็นปรมาจารย์ตำหนัก

เธอหันไปมองทางเซ่าหวูชุ่ย

เซ่าหวูชุ่ยเอ่ยปาก “ที่นี่ปล่อยให้เป็นหน้าที่ข้าเอง เจ้าวางใจเถอะ”

“เช่นนั้นข้าขอตัวไปนำสมบัติมนตรา” เย่หยิงเหมยกล่าว

กู่ฉิงซานหันไปส่งสัญญาณตาให้ฉินรั่ว และเดินกลับไปยังทิศทางลานบ้านของตนเอง

ขณะที่เย่หยิงเหมยก็ออกจากค่ายกลที่ปกคลุมอยู่รอบเวที และหายลับไปในท้องฟ้า

มีเพียงเซ่าหวูชุ่ยเท่านั้นที่ยังคงอยู่ในเวที เฝ้ารอคอยทั้งสองอย่างใจเย็น

เวลาค่อยๆ ไหลผ่านไปเรื่อยๆ

แต่แล้วสักพักหนึ่ง เซ่าหวูชุ่ยก็พลันจดจำได้ถึงบางสิ่ง

“บ้าจริง! ดันถูกเจ้าฉีหยานมันหว่านล้อมเอาซะได้”

เซ่าหวูชุ่ยบ่นพึมพำด้วยความหงุดหงิด

“เจ้าบ้านั่นยังไม่ยอมบอกเกี่ยวกับเรื่องที่มันตามตื๊อสตรีแห่งรากษสเลย…หรือว่าเขายังมีแผนการอื่นอยู่อีกกันแน่นะ?”

เซ่าหวูชุ่ยหันไปมองบริเวณที่นั่งของฉีหยาน

บนโต๊ะน้ำชา บัดนี้หน้ากากของสตรีแห่งรากษสได้ถูกนำออกไปแล้วโดยฉีหยาน

สีหน้าท่าทีของเซ่าหวูชุ่ยค่อยๆ หม่นทะมึนลง

เจ้าฉีหยานผู้นี้ เป็นคนที่รับมือได้ยากเย็นยิ่งจริงๆ

เกรงว่าบางที ต่อให้ตนเองเอ่ยถามเรื่องนี้ออกไปอีกรอบ อีกฝ่ายก็คงไม่คิดจะเผยเรื่องนี้ออกมาอยู่ดี

แต่อย่างไรก็ถือว่าโชคดีจริงๆ ที่เจ้างูพิษนั่นกำลังจะไปสู้เป็นตายกับหวังหงส์เต๋า

เซ่าหวูชุ่ยพึมพำ

ฉีหยานกำลังทุ่มสมาธิทั้งหมดไปกับหวังหงส์เต๋า...

สถานการณ์เช่นนี้ ไม่ว่าจะเป็นไปในทิศทางใด มันก็ล้วนแล้วแต่เป็นตัวเขาที่ได้รับผลประโยชน์มิใช่หรือ

พอคิดมาถึงจุดนี้ จ้าวหวูชุ่ยก็พยักหน้าเล็กน้อย

ไม่ต้องรีรอให้เซ่าหวูชุ่ยรอนานนัก

ฉีหยานก็กลับมายังเวทีอีกครั้ง แล้วนั่งประจำตำแหน่งตนเอง

ขณะที่ฉินรั่วค่อยๆ ยกชาวิญญาณขึ้น และประกบขอบถ้วยลงบนริมฝีปากของฉีหยาน

“ช่างรวดเร็วยิ่งนัก” เซ่าหวูชุ่ยกล่าว

“ศิษย์ข้าเป็นต้นกล้าชั้นยอด ประสาทสัมผัสของเขาสอดคล้องกับเจตจำนงแห่งดาบเป็นอย่างยิ่ง เขาจึงกระจ่างแจ้งในทุกๆ คำแนะนำได้อย่างรวดเร็ว ดูทีแล้วในอนาคต เขาอาจจะเหนือล้ำยิ่งกว่าเจ้าและข้าก็เป็นได้”

เซ่าหวูชุ่ยเค้นถาม “แต่การก้าวข้ามผ่านโทษทัณฑ์จำเป็นต้องใช้ศิลาวิญญาณนะ เจ้าได้ตระเตรียมมันไว้ให้ศิษย์เจ้า พร้อมแล้วใช่หรือไม่?”

“ข้าจดจำไม่ได้ว่าค่ายกลก้าวข้ามผ่านโทษทัณฑ์ของประทับเทพมันจำต้องใช้ศิลาวิญญาณจำนวนเท่าใด ก็เลยหยิบยื่นให้เขาไปแบบส่งๆ เรียบร้อยแล้ว” ฉีหยานกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย

“เหอะ! ข้าขอเดาว่าเจ้าคงไม่คิดจะจดจำเรื่องพวกนี้เสียมากกว่า ข้าจะบอกเจ้าก็แล้วกัน มันจำเป็นต้องใช้ทั้งหมดเจ็ดค่ายกล ค่ายกลละเจ็ดโดยรวมแล้วทั้งสิ้นสี่สิบเก้าศิลาวิญญาณ ไม่มากไม่น้อยไปกว่านั้น” เซ่าหวูชุ่ยกล่าวอย่างจริงจัง

สี่สิบเก้าศิลาวิญญาณ?

พอได้ยิน ‘ฉานนู่’ ก็ชะงักงันไป และขบคิดเล็กน้อย

มีอยู่ครั้งหนึ่งที่กู่ฉิงซานเอ่ยถามเธอว่า ต้องการศิลาวิญญาณหรือไม่ และเธอก็ได้ให้คำตอบแก่เขาไปว่าไม่ต้องการ

ขณะที่ในถุงสัมภาระของกู่ฉิงซาน บางทีอาจจะมีศิลาวิญญาณนับไม่ถ้วนบรรจุอยู่ในกล่อง แล้วกล่องที่ว่านั้นก็มีอยู่มากมายนับร้อยๆ!

แต่นี่กลับต้องการแค่สี่สิบเก้าศิลาวิญญาณ...

เมื่อจินตนาการไปถึงความขาดแคลนของทรัพยากรบนโลกใบนี้และได้ยินถึงสิ่งที่เซ่าหวูชุ่ยกล่าว สีหน้าของ ‘ฉานนู่’ ก็เปลี่ยนเป็นน่าเกลียดยิ่ง

ฉีหยานขมวดคิ้ว “เหตุใดจึงต้องใช้ศิลาวิญญาณมากมายถึงเพียงนั้น?”

เซ่าหวูชุ่ยกล่าว “ขอบเขตประทับเทพมิใช่เล็กจ้อย เจ้าจะต้องเติมศิลาวิญญาณเข้าไปในค่ายกลให้ครบ เพื่อที่จะป้องกันไม่ให้ค่ายกลเกิดความล้มเหลวขึ้นขณะที่ศิษย์เจ้ากำลังอยู่ในระหว่างการข้ามผ่านโทษทัณฑ์”

“เช่นนั้นก็วางใจได้ เพราะข้าได้มอบศิลาวิญญาณให้แก่กู่ฉิงซานไปมากกว่าหนึ่งร้อยชิ้น แม้ว่าเขาจะใช้มันกับค่ายกลข้ามผ่านโทษทัณฑ์ในระดับที่สูงยิ่งกว่า ศิลาวิญญาณเหล่านั้นก็นับว่ายังมากพออยู่ดี เจ้าไม่จำเป็นต้องกล่าวถึงเรื่องนี้อีก”

เซ่าหวูชุ่ยพอได้ฟัง ก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย

‘นี่ฉีหยานมีศิลาวิญญาณมากมายขนาดนี้เลยหรือ?’

พอได้ฟังได้เห็นถึงคำพูดและท่าทีของฉีหยาน มันดูราวกับว่าเจ้าตัวมีศิลาวิญญาณเก็บสำรอง ไว้มากมายอย่างนั้นแหละ

นี่มันไม่ถูกต้อง...

จริงอยู่ที่ฉีหยานเป็นคนมือเติบและมักจะใช้สอยศิลาวิญญาณที่ตนมีต่อหน้าสาธารณชน

แต่เขาไม่สมควรที่จะมีศิลาวิญญาณเอาไว้ในครอบครองมากมายขนาดนี้นี่นา?

แล้วเซ่าหวูชุ่ยก็ได้สติกลับคืน

ใช่แล้ว ต้องเป็นโลกใหม่แน่!

เซ่าหวูชุ่ยกำหมัดของเขา ในหัวใจบังเกิดความกระจ่างชัด

ฉีหยานมันมีสองโลกใหม่อยู่ในมือนี่นา!

ไม่รีรอให้เซ่าหวูชุ่ยได้ขบคิดต่อ ฉานนู่มิได้เอ่ยตอบอะไรแก่เขา ตนตบลงในถุงสัมภาระ และหยิบเม็ดยารักษาออกมากินจนเกลี้ยง

“ครั้งก่อนในโลกใหม่ ข้าได้ต่อกรกับผู้ฝึกดาบจนได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย เลยจำเป็นต้องนั่งสมาธิเพื่อทำการพักฟื้น”

“เช่นนั้นก็เอาไว้รอศิษย์น้องหยิงเหมยกลับมาก่อนเถอะ แล้วเราค่อยพูดคุยถึงเรื่องนี้กันอีกที”

ฉานนู่นั่งขวาทับซ้าย ทำสมาธิ และเริ่มเข้าสู่สถานะควบคุมลมหายใจรักษาอาการบาดเจ็บ

การรักษา นับว่าเป็นข้ออ้างที่ดีที่สุดแล้ว

แม้ว่าเธอจะมีประสบการณ์และทักษะของกู่ฉิงซาน แต่ฉานนู่ก็มิได้มีภูมิปัญญาละเอียดอ่อนเท่ากับกู่ฉิงซาน

เพราะนั่นเป็นคุณลักษณะอันเป็นเอกลักษณ์ของแต่ละบุคคล มันย่อมไม่สามารถลอกเลียนด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์ได้

หากต้องเผชิญหน้ากับเหตุการณ์ที่ซับซ้อน กู่ฉิงซานจะต้องเป็นผู้ดำเนินการด้วยตนเองเท่านั้น!

ดังนั้น ภารกิจหลักของฉานนู่ในตอนนี้ก็คือถ่วงเวลาเอาไว้ให้ได้นานที่สุด!

ถ่วงเวลาไปจนกระทั่งถึงกู่ฉิงซานสามารถข้ามผ่านโทษทัณฑ์ได้สำเร็จ ก้าวขึ้นสู่ขอบเขตประทับเทพ

ทัณฑ์สายฟ้าของก้าวสู่เทพจะเป็นการใช้เวลาตลอดทั้งวันคืน ซึ่งนั่นนับว่าเป็นการทดสอบความแข็งแกร่ง ของผู้ฝึกยุทธเป็นอย่างมาก

ขณะที่ทัณฑ์สายฟ้าของประทับเทพน่ะกินเวลาไม่นานเท่าใดนัก ทว่าความรุนแรงของสายฟ้าจะถูกยกระดับไป จนถึงขั้นน่าหวาดผวา! ผู้ฝึกยุทธอาจถูกสังหารได้ตลอดเวลาหากเขาประมาท

ขณะที่เมื่อคุณตัดผ่านเข้าไปยังขอบเขตร่างเทวะ คุณก็จะตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกันกับนางเซียนไป่ฮั่ว นั่นคือจักต้องทำลายสายฟ้าให้ได้โดยสมบูรณ์ จากนั้นก็พยายามข้ามผ่านทัณฑ์สายลมให้สำเร็จ

กู่ฉิงซานกำลังจะเผชิญหน้ากับทัณฑ์สายฟ้าของขอบเขตประทับเทพ และเขาจะต้องทำลายมันให้ได้โดยสมบูรณ์ จึงจะข้ามผ่านโทษทัณฑ์ได้สำเร็จ!

และหากเป็นไปได้ เขาคงต้องเร่งมือทำเวลาให้ดีที่สุด

เพราะฉานนู่คงถ่วงเวลาได้ไม่นานนัก

เมื่อไหร่ที่เย่หยิงเหมยกลับมา สามปรมาจารย์ตำหนักก็จะเริ่มวางแผนกันอย่างเป็นทางการ และจะเริ่มทำการกำหนดกลยุทธ์ที่จะใช้กำจัดหวังหงส์เต๋า

หากในเวลานั้น กู่ฉิงซานยังไม่กลับมา นั่นหมายความว่าฉานนู่ต้องดำเนินการแทนที่เขาด้วยตัวเธอเอง

เธอมีความสามารถและประสบการณ์ของกู่ฉิงซาน และแน่นอนว่ารวมไปถึงทักษะการแสดงด้วยก็จริง แต่เธอไม่สามารถบรรลุทุกการกระทำเฉกเช่นเดียวกันกับกู่ฉิงซานได้

สองปรมาจารย์ตำหนักเป็นตัวตนเช่นใดกัน? หากฉีหยานแสดงท่าทีผิดปกติเล็กน้อยออกมา ทุกอย่างก็ย่อมจะถูกเปิดโปงทันที

ในขณะนั้นเอง บนเวทีสูง

ฉานนู่จึงได้ตัดสินใจเข้าสู่ภวังค์สมาธิอย่างรวดเร็ว

เซ่าหวูชุ่ยเมื่อเห็นเช่นนั้น ก็รับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายกำลังพยายามฟื้นฟูอาการบาดเจ็บของตนเองจริงๆ

เขาถอนหายใจออกมาเล็กน้อย แม้จะหนักใจ แต่ก็ไม่คิดมุ่งความสนใจไปยังอีกฝ่ายอีกต่อไป

เดิมทีตนตั้งใจจะวางแผนที่จะยกหัวข้อเรื่องลูกศิษย์ขึ้นมาพูดก่อนเป็นเรื่องแรก แล้วค่อยๆ โยงไปเรื่องของโลกใหม่ และจบที่เรื่องของสตรีแห่งรากษส แต่ใครจะรู้ว่าฉีหยานกลับตอบโต้ด้วยการกระทำเช่นนี้ออกมา

นี่มันช่างน่ารำคาญจริงๆ แต่หากอีกฝ่ายอยู่ในสถานะเช่นนี้ ตนก็ไม่สมควรที่จะรบกวนเขา

เพราะท้ายที่สุดนี้ จักต้องเป็นฉีหยานที่จะรับมืออย่างเต็มรูปแบบกับหวังหงส์เต๋า

เซ่าหวูชุ่ยหุบปากลง และทิ้งตัวลงบนเก้าอี้

เขาจ้องมองการรักษาตัวของฉีหยาน และขบคิดทุกเรื่องราวที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อไป แต่ผ่านไปสักพักหนึ่ง ความรู้สึกกังวลในจิตใจของตนก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะลดลง...เขาไม่อาจทำใจให้สงบได้เลย!

…………………………………..........