webnovel

0427 การต่อสู้ครั้งสุดท้าย

ตอนที่ 427 การต่อสู้ครั้งสุดท้าย 

บนท้องฟ้า 

แสงอันไพศาลได้กวาดข้ามโลกทั้งใบ ราวกับสายน้ำที่ตกลงสู่พื้นโลก 

รังสีแสงอันงดงามนี้คือกฎเกณฑ์จากโลกปรภพ 

มันคือแสงที่จะเป็นตัวนำพาคนตายนับล้านๆ คนไปเกิดใหม่ 

ตามแรงกรรมจากในอดีตชาติของคนตาย คนตายทั้งหมดจะถูกส่งไปเกิดใหม่ในหกวิถีแห่งสังสารวัฏอื่นๆ อีกห้าโลก 

สิ่งมีชีวิตทั้งหมดที่ได้ไปเกิดใหม่ จะปรากฏขึ้นในโลกที่เกินกว่าขอบเขตของมนุษย์จะจินตนาการได้ 

หากไปเกิดใหม่อีกครั้งในอาณาจักรสวรรค์ ก็อาจจะเป็นการถือกำเนิดขึ้นจากดอกบัว บ้างก็ก่อร่างสร้างกายขึ้นจากสายลมสีทอง ขณะที่บ้างก็ถือกำเนิดขึ้นจากผลที่ร่วงหล่นลงมาจากต้นไม้ดึกดำบรรพ์ 

หากไปเกิดใหม่อีกครั้งในอาณาจักรของอาชูร่าทั้งสี่เผ่าพันธ์ ก็อาจจะเป็นการถือกำเนิดขึ้นจากพวกน้ำ บ้างก็ไฟ บ้างก็ทอง บ้างก็จากดอกไม้ 

กล่าวได้ว่าโลกสวรรค์กับโลกอาชูร่าน่ะ เป็นโลกชั้นสูงหากนับจากในบรรดาหกวิถี 

ในขณะที่หากคนตายถูกส่งไปเกิดใหม่อีกครั้งในโลกจ้าวอสูรหรือผีร้าย มันก็จะคล้ายคลึงกับการไปถือกำเนิดใหม่ในโลกมนุษย์ ซึ่งแน่นอนว่าจะมีลักษณะแตกต่างกันออกไป ไม่ว่าจะเป็น สรีระ สีผิว ความนึกคิด สถานะ ฯลฯ 

แถมขณะนี้ โลกปรภพและโลกมนุษย์ก็ยังเกิดการผสานรวมกันอย่างรุนแรง 

กฎแห่งการถือกำเนิดใหม่จึงปรากฏออกมาในรูปแบบของประกายเจิดจรัส มันแขวนอยู่บนฟากฟ้าราวกับม่านแสง โอบอุ้มทุกคนตายเอาไว้ 

แต่ภายใต้ท้องฟ้าที่กำลังสาดรังสีแสงนี้ คนตายกลับยังมิได้จากไป 

พวกเขายังคงเฝ้ารอให้กำแพงอุปสรรคที่ใช้ป้องกันโลกถือกำเนิดขึ้น 

โลกใหม่กำลังจะมาถึงในไม่ช้า 

เหนือท้องฟ้าเบื้องบน เผ่ามารนับไม่ถ้วนเปล่งเสียงร้องด้วยความกระวนกระวาย แม้กระทั่งอสุรกายก็ยังเฝ้ารอคอยอย่างใจจดใจจ่อ  

ขณะที่ท้องฟ้าเบื้องล่าง มีเพียงแค่ความเงียบ 

คนตายนับล้านล้านกำลังจดจ้องแหงนมองขึ้นไปบนท้องฟ้าด้วยความระแวดระวัง เพื่อป้องกันไม่ให้เผ่ามารตนใดย่างกรายเข้ามา 

กู่ฉิงซานเชื่อมต่อกับเทพธิดากงเจิ้ง เขาขอให้เธอเปิดม่านแสงนับสิบๆ เรียงติดต่อกันเพื่อบันทึกทุกรูปแบบของเผ่ามารที่ปรากฏขึ้นทั้งหมดโดยเร็วที่สุด 

นี่นับว่าเป็นครั้งแรกเลยที่มนุษย์ได้เผชิญกับเผ่ามารในระยะประชิด 

รูปร่าง ลักษณะ ประเภท และแม้กระทั่งนิสัยหรือพฤติกรรมของพวกมาร ก็ล้วนแล้วแต่เป็นข้อมูลอันทรงคุณค่าในอนาคต! 

กู่ฉิงซานจ้องจอม่านแสงตาไม่กะพริบเป็นเวลามานานกว่าสิบนาที

ในที่สุด เขาก็ถอนหายใจบรรเทาความตึงเครียดออกมา 

โชคดีจริงๆ ที่ไม่มี ‘อสุรกายที่แท้จริง’ อยู่ที่นี่ 

บางทีมันอาจจะเป็นเพราะโลกมนุษย์อ่อนแอเกินไป ดังนั้นอสุรกายที่มาเยือน ทั้งหมดจึงเป็นอสุรกายดัดแปลง 

อสุรกายงูดำสามหัวตัวแรกก็เหมือนกัน ดูจากพลังของมัน ก็เห็นได้ชัดว่าเป็นอสุรกายดัดแปลง

จากบทเรียนที่ได้เรียนรู้มาจากความผิดพลาดของอสุรกายสามหัว ส่งผลให้อสุรกายดัดแปลงตนอื่นๆ มิกล้าที่จะย่างกรายเข้ามาในโลกมนุษย์ 

กระทั่งอสุรกายที่อยู่ระดับปฐมบทแห่งความโกลาหลที่มีเพียงสองตนในที่นี้ ก็ยังมิกล้าที่จะลงมา 

พวกมันกำลังเฝ้ารออย่างใจจดใจจ่ออยู่บนท้องฟ้า โดยคาดหวังว่าเหล่าคนตายจะจากไปโดยเร็วไว 

ทว่าบรรดาคนตาย กลับไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ เลย 

ทั้งสองจึงต่างจ้องสบตากันโดยปล่อยให้เวลาไหลผ่านไปเรื่อยๆ 

จนกระทั่งนาทีสุดท้ายได้ผ่านไป 

พลันบังเกิดเสียงดังกึกก้องขึ้นบนผืนฟ้า ราวกับมีสายฟ้าที่มองไม่เห็นนับไม่ถ้วนกำลังปะทะเปรี๊ยะๆ ซึ่งกันและกัน 

คลื่นความผันผวนที่มองไม่เห็นกระเพื่อมไหว คล้ายดั่งระลอกคลื่นของฝูงม้าที่ย่ำลงควบวิ่ง สั่นสะเทือนไปทั้งโลกหล้า 

ในเสี้ยววินาทีต่อจากนั้นเอง เผ่ามารที่ยังไม่จากไปต่างก็กรีดร้องโหยหวนออกมา 

ขณะที่อสุรกายตนแล้วตนเล่าสบถคำรามและค่อยๆ ถอยกลับไป 

กำแพงอุปสรรคของโลกใหม่กำลังค่อยๆ ก่อตัว แพร่กระจายปกคลุมไปตลอดทั้งโลกอย่างช้าๆ 

เผ่ามารทั้งหมดที่สัมผัสโดนกำแพงอุปสรรคของโลกพลันติดไฟลุกพรึบ! และสลายกลายเป็นขี้เถ้าลอยฟุ้งทันที 

แม้กระทั่งอสุรกายก็ยังไม่สามารถที่จะต้านทานพลังอำนาจอันยิ่งใหญ่ของโลกได้ 

ในเมื่อกำแพงอุปสรรคของโลกค่อยๆ ขยายตัวขึ้น พวกมันจึงร้องตะโกนออกมาอย่างไม่ยินยอม และจากโลกมนุษย์ไปด้วยจิตใจหดหู่ในที่สุด 

ดวงตะวันค่อยๆ ปรากฏขึ้น 

ทุกสิ่งอย่างล้วนถูกปกคลุมไปด้วยแสงแดดสว่างไสว 

ท้องฟ้าสีครามสดใส ไร้ซึ่งเมฆหมอกใดๆ และแน่นอนว่าไร้ซึ่งเผ่ามารใดๆ ให้พบเห็นด้วยเช่นกัน 

“จบแล้วสินะ?” 

กู่ฉิงซานบ่นงึมงำ 

เขาหันไปมองดูหน้าต่างระบบเทพสงคราม 

เห็นแค่เพียงสองบรรทัดเส้นแสงหิ่งห้อยที่ลอยเด่นอยู่บนนั้น 

“โลกใหม่ยังคงอยู่ในกระบวนการผสานรวมอย่างต่อเนื่อง” 

“กำแพงอุปสรรคใหม่ที่คอยคุ้มครองโลกได้ก่อร่างขึ้นแล้วโดยสมบูรณ์” 

สำเร็จแล้ว! 

เจ็ดชั่วโมงได้ผ่านพ้นไป และเผ่ามารก็ล้มเหลวในการบุกเข้ามาในโลก! 

กู่ฉิงซานหันไปมองดูคนตายอีกครั้ง 

เห็นแค่เพียงเลขบุญของคนตายทั้งหมดกลับกลายเป็นลบ 

ถึงแม้ว่าทางเลือกนี้ เหล่าคนตายจะเป็นคนเลือกมันด้วยตนเอง แต่ผลลัพธ์ที่ได้ พวกเขากลับค่อนข้างที่จะมีความสุขมากกว่ารู้สึกหดหู่ 

“ทุกคน ข้าขอโทษ...” 

กู่ฉิงซานกำลังจะเอ่ยต่อ แต่ก็ถูกขัดจังหวะเสียก่อน 

เสียงของเครื่องจักรคำนวณบุญกังวานขึ้นในหูของทุกผู้คน 

“คนตายทั้งหมดโปรดทราบ” 

“คนตายทั้งหมดโปรดทราบ” 

“คนตายทั้งหมดโปรดทราบ” 

“คนตายทั้งหมดโปรดทราบ” 

“นับจากนี้ไป เลขบุญของพวกเจ้าจะถูกปรับเปลี่ยน” 

เหล่าคนตายเงยหน้าขึ้น และแสดงท่าทางตั้งใจฟัง 

เครื่องจักรคำนวณบุญยังคงกล่าวต่อ “ตลอดทั้งหกอาณาจักรกำลังจะกลับคืนสู่เสถียรภาพอีกครั้ง ดังนั้น มันจึงถึงเวลาอันเหมาสมแล้วที่พวกเจ้าจะได้รับบุญอย่างเต็มที่...ตอนนี้ก็มาทำการแจกจ่ายแต้มบุญครั้งสุดท้ายกันเถิด” 

“ในสงครามปรภพครั้งแรก พวกเจ้าไม่ได้ประสบความสำเร็จในการป้องกันไม่ให้เผ่ามารบุกเข้ามาทำลายโลกมนุษย์ มิสามารถหยุดการสมคบคิดของอาณาจักรสวรรค์ นั่นจึงหมายความว่าในช่วงเวลานั้น ชีวิตและความตายของตลอดทั้งโลกหกวิถีจึงยังมิได้รับการช่วยเหลือ” 

“นอกเหนือไปจากนี้ ยังมีเรื่องที่ราชาภูติได้ทำการผสานรวมโลกมนุษย์กับโลกปรภพเข้าด้วยกันอีกด้วย” 

“ดังนั้นเราจึงสรุปได้ว่า คราวก่อน คนตายทุกคนไม่ได้ช่วยโลกทั้งหกวิถีเอาไว้ได้ บุญใหญ่ที่ได้รับจึงถูกยกเลิก และจะได้รับเพียงบุญเล็กๆ น้อยๆ จากการร่วมมือกันไปช่วยเก็บรวบรวมแหล่งกำเนิดธาตุดินและธาตุไม้ ที่จะแบ่งกันอย่างเป็นธรรมเท่านั้น” 

“หากจะให้อธิบายอย่างเฉพาะเจาะจง ก็จะเป็นดังนี้” 

“คนตายที่ได้ทำการเลือกกลับไปเกิดใหม่แล้วในช่วงเวลาสุดท้าย พวกเขาได้เผยให้เห็นถึงธาตุแท้ ปลดปล่อยความคิดชั่วร้ายที่มีต่อโลกและมีพฤติกรรมยุยงปลุกปั่นอย่างไม่ต้องสงสัย ซึ่งการกระทำดังกล่าวเกือบจะนำไปสู่การล่มสลายของโลกมนุษย์” 

“ข้อสรุป พฤติกรรมเช่นนี้เปรียบเสมือนกับการชมชอบมองเห็นผู้อื่นถูกสังหาร มีอำนาจแต่ไม่คิดช่วยเหลือหรือขัดขวางสิ่งเลวร้ายที่กำลังจะเกิดขึ้น ดังนั้นแต้มบุญที่พวกเขาสมควรจะได้รับก็จะลดลง” 

“การคำนวณขั้นสุดท้าย สรุปได้ดังนี้ เหล่าคนตายที่เลือกจะไปกำเนิดใหม่ ที่เดิมทีสมควรจะได้รับแต้มบุญมหาศาล สุดท้ายแล้วจะได้รับแค่บุญจากการช่วยช่วงชิงแหล่งกำเนิดธาตุเพียงเล็กน้อยเท่านั้น นอกจากนี้แต้มบุญที่ได้มา ยังจะต้องถูกหักออกจากการกระทำความผิดอันได้แก่ การประพฤติชั่ว ยุยงปลุกปั่นให้เกิดความแตกแยก ความดีชั่วที่กระทำมาหักลบกลบกัน ผลลัพธ์คือ ‘สมดุล’” 

“การพิพากษา ตัดสินว่าคนตายที่เลือกไปถือกำเนิดใหม่แล้ว ร่างกายใหม่ที่พวกเขาถือกำเนิดจะได้รับแต้มบุญเป็น ศูนย์” 

เมื่อกล่าวถึงจุดนี้ เครื่องจักรคำนวณบุญก็หยุดลงชั่วคราว 

ขณะที่การแสดงออกทางสีหน้าของคนตายที่ยังไม่จากไปดูปีติยินดีเป็นอย่างยิ่ง 

สิบตัวตนสุดแกร่งเลือกที่จะไปเกิดใหม่ทันที พร้อมด้วยความคิดชั่วร้ายของพวกเขาครั้งสุดท้ายที่มีต่อโลก ดูเหมือนจะตีกลับตาลปัตร มันกลับกลายเป็นการขุดหลุมฝังตัวเอง และถูกตอบโต้โดยการมาถึงของเครื่องจักรคำนวณบุญส่วนบุคคล 

เมื่อคิดถึงจุดนี้ เครื่องจักรคำนวณบุญก็เริ่มเอ่ยต่อ 

“ขณะที่คนตายทั้งหมดที่ไม่ได้เลือกไปเกิดใหม่ ได้ทำการช่วยเหลือให้ทั้งสองโลกผสานรวมกันได้จนสำเร็จ” 

“พวกเขาสามารถปกป้องโลกใบใหม่จนกระทั่งกำแพงอุปสรรคปรากฏขึ้นได้” 

“และกำแพงอุปสรรคในโลกใหม่นี้ ก็จะนำไปสู่การเสริมสร้างความแข็งแกร่งในการป้องกันของกำแพงอุปสรรคในโลกอื่นๆ ทั้งหก” 

“กล่าวได้ว่าคราวนี้ ‘โลกทั้งหกได้ถูกช่วยเหลือไว้อย่างแท้จริงแล้ว’” 

“สรุป คนตายที่เลือกว่ายังไม่ได้ไปเกิดใหม่ได้ช่วยเหลือโลกทั้งหกวิถีเอาไว้” 

“เริ่มทำการคำนวณบุญที่ได้ทำการช่วยเหลือโลกทั้งหก และส่งไปไปยังเหล่าคนตายที่ยังไม่ได้ไปเกิดใหม่” 

ขณะนั้นเอง แถบตัวเลขเหนือศีรษะของคนตายทั้งหมดก็ปรากฏขึ้น 

พวกเขาต่างพากันเงยหน้าขึ้นมอง 

เห็นแค่เพียงตัวเลขที่เปลี่ยนจากลบเป็นศูนย์ และต่อมาก็ขยับขึ้นเป็นบวก  

และตัวเลขบวกก็ยังคงขยับขึ้นอย่างต่อเนื่อง 

บุญกำลังเพิ่มพูนขึ้นอย่างบ้าคลั่ง 

เหล่าคนตายอดไม่ได้ที่จะโห่ร้องออกมา 

เห็นได้ชัดว่าการเลือกที่จะอยู่ในโลกใบนี้ส่งผลให้แต้มบุญลดหลั่นลง แต่ในตอนท้ายที่สุด ตนกลับได้รับผลประโยชน์อย่างมหาศาลยิ่งกว่าเดิม! 

ผ่านไปสักพัก ตัวเลขเหนือศีรษะของคนตายก็ไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงอีกต่อไป แต่พวกเขาทุกคนที่แหงนมองต่างก็ล้วนแสดงสีหน้าพึงพอใจออกมาเพราะเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว 

เครื่องจักรคำนวณบุญส่วนบุคคลประกาศอีกครั้ง 

“การกลับไปเกิดใหม่ของคนตายทั้งหมด กำลังจะเริ่มขึ้นในไม่ช้า ตามลำดับแต้มบุญที่ได้รับ” 

“คนตายจะลืมเรื่องราวในอดีตชาติและปัจจุบันทั้งหมด เพื่อต้อนรับกับชีวิตใหม่ของพวกเขา” 

“โปรดจัดการสิ่งที่ค้างคาอยู่อย่างรอบคอบด้วย” 

ว่าจบ เครื่องจักรคำนวณบุญก็หายไป และความเงียบก็กลับคืนมา 

เบื้องบนท้องฟ้า รังสีแสงอันไพศาลสาดกระทบลงมาราวกับธารน้ำตกอีกครั้ง 

คนตายหลายแสนล้านต่างโห่ร้องด้วยความดีใจ 

“ขอบพระคุณท่านราชาภูติ!” คนตายคนหนึ่งตะโกนขึ้น 

กู่ฉิงซานยิ้มและตะโกนกลับไปว่า “ไม่จำเป็นต้องขอบคุณข้าหรอก! เป็นเจ้าต่างหากที่ช่วยเหลือโลกใบนี้ไว้ เป็นเจ้าต่างหากที่สมควรได้รับความคำขอบคุณจากข้า!” 

เหล่าคนตายเริ่มโห่ร้องอย่างดุเดือด 

“พวกเราได้ช่วยโลกมนุษย์เอาไว้!” 

“ราชาภูติทรงพระเจริญ!” 

“เจ้าพวกขยะที่รีบไปเกิดใหม่ ฮ่าๆๆ ตอนนี้พวกมันคงตกตะลึงกลายเป็นโง่งมกันไปหมดแล้ว!” 

“ข้าล่ะอยากจะเห็นสีหน้าของพวกมันจริงๆ!” 

ณ โรงพยาบาลของรัฐบาลกลาง 

“ข้าคงต้องไปแล้วล่ะ” ชูร่าหญิงหันไปมองแม่ที่กำลังโอบอุ้มทารกที่กำลังหลับใหล 

“ฉันต้องขอบคุณเธอจริงๆ ถ้าอย่างไรช่วยทิ้งข้อมูลติดต่อเอาไว้จะได้รึเปล่า พอดีว่าฉันอยากจะชวนเธอไปกินอาหารด้วยกันที่บ้าน” แม่ลูกอ่อนกล่าวด้วยความรู้สึกรู้คุณ 

“คงไม่จำเป็นหรอก เพราะพวกเราคงไม่ได้พบกันอีกแล้ว” ชูร่าหญิงยิ้มตอบและกล่าวออกมา 

เธอทะยานตัวสูงขึ้น บินขึ้นไปบนท้องฟ้า และมุ่งหน้าตรงไปยังทิศทางของวิลล่าบนภูเขา 

ณ บริเวณพื้นที่เปิดโล่งเบื้องหน้าของวิลล่า 

ผู้คุมนรกทั้งเจ็ดต่างทยอยกันเข้ามาโอบกอดกู่ฉิงซานทีละคน ทีละคน 

พวกเขายังคงยึดติดกับฉากนี้ และไม่เต็มใจที่จะเข้าไปในม่านแสง แต่สุดท้ายก็จำต้องจากโลกนี้ไป 

จนกระทั่งเหลือเพียงชูร่าหญิงเป็นคนสุดท้าย 

เฝ้ารอจนกระทั่งหกผู้คุมนรกหายไปในม่านแสง เธอจึงเดินเข้ามาหากู่ฉิงซาน 

“ข้ายังไม่สามารถจากไปในตอนนี้ได้” เธอกล่าว 

“ทำไมกัน?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม 

“เพราะเจ้ายังติดค้างสัญญาว่าจะดวลกับข้าอยู่” ชูร่าหญิงกล่าว 

เธออธิบายว่า “ตัวข้าน่ะคืออาชูร่า และในช่วงชีวิตของข้า หากจากไปดื้อๆ โดยยังมิได้ต่อสู้กับตัวตนที่แข็งแกร่งเช่นเจ้า คงมิแคล้วมีสิ่งติดค้างหลงเหลือทิ้งเอาไว้ในจิตใจเป็นแน่” 

กู่ฉิงซานพยักหน้าอย่างเงียบๆ 

นั่นก็จริง เพราะอาชูร่าน่ะเป็นเผ่าพันธุ์แห่งสงคราม และการต่อสู้ก็เป็นความสุขสำหรับพวกเขา 

ทั้งสองได้ก้าวผ่านประสบการณ์มากมายมาด้วยกัน และท้ายที่สุดนี้ อาชูร่าหญิงก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเธอมีคุณสมบัติครบถ้วนที่จะเห็นสหายเคียงบ่าเคียงไหล่กับเขา! 

กู่ฉิงซานชักดาบเช่าหยินออกมา และกล่าวอย่างจริงจังว่า “เข้าใจแล้ว เช่นนั้นพวกเราก็เร่งมือเถอะ ข้าไม่ต้องการให้แต้มบุญของเจ้าถูกหักมากจนเกินไปหรอกนะ” 

ชูร่าหญิงชักกระบี่ยาวออกจากเบื้องหลังเธอ น้ำเสียงยกสูงขึ้น “และในครั้งนี้ ข้าก็จะไม่แสดงความเมตตาออกมาแล้วเช่นกัน!” 

ว่าจบร่างของเธอก็กะพริบไหว ใบกระบี่สาดแสงระยับ ร่ายระบำออกมาเป็นคมมีดนับไม่ถ้วน ทั้งทิ่มทั้งแทงเข้าใส่กู่ฉิงซานโดยตรง 

และกู่ฉิงซานก็วาดดาบออกไปต้อนรับเธอ 

ทั้งสองฝ่ายวูบไหวและแปรเปลี่ยนกระบวนท่าสาดใส่กันไปเรื่อยๆ ในพริบตาก็บังเกิดการปะทะกันอยู่หลายตลบ 

กระบี่ของอาชูร่าหญิงช่างดุร้ายรุนแรง ทุกการจ้วงแทงล้วนเป็นการลงมือที่หมายจะทำให้ทุกอย่างจบลงในกระบวนท่าเดียว 

ขณะที่กู่ฉิงซานตอบโต้กลับไปอย่างไม่ยี่หระ 

ไม่นานนัก กู่ฉิงซานก็มองเห็นช่องว่างของอีกฝ่าย ตนจึงจ้วงดาบยาว ทิ่มแทงออกไปเบื้องหน้าทันที 

ดาบยาวพุ่งเข้าใส่ตำแหน่งหัวใจของชูร่าหญิง และฝ่ายตรงข้ามดูเหมือนจะไม่ทันวาดคมกระบี่เข้ามาต่อต้าน! 

ทว่าช่างน่าฉงน แม้จะผ่านไปชั่วขณะแล้ว แต่ชูร่าหญิงยังคงนิ่งงัน ราวกับว่าเธอไม่ทันตระหนักได้ถึงคมดาบของกู่ฉิงซานเลย 

และทันใดนั้น ปลายดาบยาวก็เจาะเข้าไปทะลุหน้าอกเธอ 

“นี่เจ้า...” 

กู่ฉิงซานพยายามอย่างเต็มกำลังที่จะเบี่ยงวิถีดาบยาวในวินาทีสุดท้าย 

แท้จริงแล้ว เป็นชูร่าหญิงเองที่ลวงเขา และยินยอมเสียสละกายเพื่อรับกระบวนท่านี้! 

อย่างไรก็ตาม คมกระบี่ที่สาดประกายสะท้อนแสงกลับมิได้จ้วงแทงสวนใส่กู่ฉิงซาน มันกลับถูกทิ้งลงบนพื้น 

และมีเพียงร่างของชูร่าหญิงเท่านั้นที่โผเข้าสู่อ้อมกอดของเขา 

เธอเอนศีรษะเบาๆ ลงบนไหล่ของกู่ฉิงซาน 

“เอาจริงๆ นะ…ข้าไม่อยากที่จะลืมเจ้าเลย...” 

ปากเอ่ยเสียงกระซิบ 

และทันใดนั้นเอง ม่านแสงจากท้องฟ้าก็เข้าปกคลุมร่างกายของเธอ 

น้ำตาที่ไหลอาบหน้าถูกปาดออก ชูร่าหญิงยิ้มให้กู่ฉิงซานอย่างอ่อนโยน 

ก่อนที่จะบังเกิดกระแสลมพัดผ่าน 

เธอได้จากไปแล้ว...

........................................