webnovel

0420 แผนการของอาณาจักรสวรรค์

ตอนที่ 420 แผนการของอาณาจักรสวรรค์ 

“ทำไมกัน? ทำไมจู่ๆ ข้าถึงไม่สามารถติดต่อกับราชาภูตได้!” 

ภายในวิหารแห่งวัฏจักร 

เสียงของชูร่าหญิงกังวานขึ้น 

เธอรีบวิ่งออกจากวิหาร บินกลับไปยังทิศทางของปากทางเข้าสู่นรก 

ดูเหมือนว่าเธอกำลังหวาดกลัวอะไรบางอย่าง สังเกตได้จากความตื่นตระหนกที่แสดงออกมา 

“เร็วเข้า! รีบหน่อยสิตัวข้า ท่านราชาภูตจำเป็นต้องทราบข่าวนี้” 

ด้วยความหวาดกลัว ชั้นเหงื่อเย็นเริ่มผุดออกมาตามร่างกายเธอ ชั้นแล้ว ชั้นเล่า 

เธอแทบจะวิ่งด้วยกำลังทั้งหมดที่มี 

จนกระทั่งมาถึงจุดจุดหนึ่ง เธอก็สะดุดขาตัวเองล้มลง ม้วนกลิ้งไถลไปกับพื้นหลายตลบ 

แต่ชูร่าหญิงดูจะไม่ใส่ใจเกี่ยวกับมัน เธอเร่งลุกขึ้นแล้วรีบวิ่งต่อไปข้างหน้า 

เร็วเข้า! 

ต้องเร็วกว่านี้! 

ต้องรีบแจ้งข่าวนี้แก่ราชาภูตให้เร็วที่สุด! 

ทว่าเมื่อเธอวิ่งจนกระทั่งมาถึงนรกทะเลเลือด ก็กลับไม่เห็นแม้กระทั่งร่องรอยของกู่ฉิงซาน 

เห็นแค่เพียงผู้คุมนรกทั้งหกที่ยังคงสนทนากันอย่างมีความสุขอยู่เท่านั้น 

เมื่อเห็นเธอ ทุกคนก็หันมาทักทาย 

“นั่นเจ้าไปอยู่ที่ไหนมา?” 

“เร็วเข้า มาร่วมวงสนทนากันเถอะ พวกเราเหลือเวลาแค่อีกครึ่งวันเท่านั้นเองนะ เดี๋ยวก็จะได้ไปเกิดใหม่กันแล้ว” 

“ยังไงก็เถอะ ว่าแต่เจ้าอยากจะไปเกิดที่โลกไหนกัน?” 

แต่ชูร่าหญิงกลับสูดหายใจลึกแล้วตะโกนลั่น “หุบปากซะ!” 

อีกหกตนนิ่งงันไป 

แล้วพวกเขาก็พบว่าในเวลานี้ ร่างกายของชูร่าหญิงกำลังสั่นสะท้าน การแสดงออกทางใบหน้าเอ่อล้นไปด้วยความน่าเกลียดน่ากลัว 

“เกิด...อะไร...ขึ้น...?” ยักษ์เอ่ยถาม 

“ราชาภูตเล่า? เขาไปอยู่ที่ไหนแล้ว?” ชูร่าหญิงเร่งเอ่ยถาม 

“เรื่องราวทุกอย่างได้จบลง ดังนั้นเขาจึงได้จากไปแล้ว” ชายชราเผ่ามนุษย์พูด 

“แล้วที่ว่าจากไปน่ะ เขาจากไปที่ไหน?” ชูร่าหญิงเร่งเอ่ยถาม 

“โลกมนุษย์” 

เสร็จกัน! 

มันจบสิ้นแล้ว! 

ชูร่าหญิงแข้งขาอ่อนแรง เข่าทรุดลงกับพื้น 

“มีอะไรเกิดขึ้นจริงๆ สินะ ไหนเจ้าลองบอกมา เผื่อว่าพวกเราจะสามารถช่วยเจ้าได้” ราชันหมาป่าเอ่ยเสียงทุ้มลึก 

“ไม่มีประโยชน์หรอก!” 

ชูร่าหญิงถอนหายใจด้วยความสิ้นหวัง 

แต่แล้วเธอก็พลันจดจำได้ถึงบางสิ่ง ปากเร่งเอ่ยต่อว่า “ถึงพวกเจ้าจะช่วยไม่ได้ แต่ยังมีคนที่ช่วยได้อยู่! สิ่งประดิษฐ์เทวะ! สิ่งประดิษฐ์เทวะไง ตะขอเกี่ยววิญญาณอยู่ที่ไหน! ข้ามีเรื่องที่จะต้องพูดกับท่าน!” 

“ข้าอยู่นี่” 

แล้วร่างของตะขอเกี่ยววิญญาณก็ปรากฏขึ้น 

“วิหารแห่งวัฏจักร! ภายในวิหาร! ท่านรีบไปดูเร็วเข้า!” ชูร่าหญิงตะโกนน้ำเสียงแหบแห้ง 

ตะขอเกี่ยววิญญาณยิ้มออกมา “เอาล่ะๆ ไหนข้าขอดูซิว่ามันคืออะ...” 

แต่แล้วเสียงของมันก็ขาดห้วงไป 

“จบสิ้นแล้ว มันจบสิ้นแล้ว!” 

เสียงของตะขอเกี่ยววิญญาณช่างมืดหม่น ทว่ามันกลับแฝงไว้ด้วยความโกรธอันไม่อาจอธิบายได้ 

ชูร่าหญิงกล่าวอย่างร้อนรน “ท่านรีบไปยังโลกมนุษย์เถอะ และบอกความจริงนี้แก่ราชาภูตเสีย” 

ตะขอเกี่ยววิญญาณกล่าว “มันไม่มีประโยชน์หรอกที่จะบอกเขา ท้ายที่สุดแล้วเขาก็เป็นคนคนหนึ่ง ย่อมไม่สามารถต้านทานแผนการของเทพสวรรค์ได้ แถมเรื่องนี้ก็ดูจะเริ่มดำเนินการมาตั้งนานแล้ว ตอนนี้สถานการณ์มันได้มาถึงจุดที่ไม่อาจแก้ไขได้อีกแล้วล่ะ” 

“แล้วตกลงว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เจ้าก็บอกรายละเอียดแก่พวกเรามาสักทีเถอะ เผื่อว่าพวกเราจะร่วมมือกันช่วยได้” ราชันหมาป่าเดินเข้ามา ปากเอ่ยถามอย่างเป็นเรื่องเป็นราว 

ผู้คุมนรกคนอื่นๆ หันมามองหน้ากัน ก่อนจะพยักหน้าเห็นด้วย 

สีหน้าของพวกเขายามนี้ไร้ซึ่งความปีติยินดีอีกต่อไป 

จากท่าทีของชูร่าหญิง เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่ตัวเธอเองก็ไม่รู้มาก่อน และเพิ่งจะได้รับรู้เช่นกัน 

ตะขอเกี่ยววิญญาณกล่าวออกมา “พวกเจ้าจงวางมือลงบนข้า แล้วข้าจะแสดงบทสนทนาดังกล่าวให้พวกเจ้าได้รู้” 

เหล่าผู้คุมนรกต่างวางมือลงบนตะขอเกี่ยววิญญาณ และทันใดนั้นภาพเคลื่อนไหวภาพหนึ่งก็ปรากฏขึ้น 

ภายในวิหารแห่งวัฏจักร 

เครื่องจักรปรภพหมายเลขสามสิบสามมีควันหนาฟุ้งออกจากตัวเครื่องของมัน 

มันถูกจับยัดส่วนประกอบที่ร่วงหลุดออกมากลับคืนอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม การซ่อมแบบลวกๆ เช่นนี้ย่อมแทบจะไม่อาจสามารถเรียกคืนฟังก์ชันการทำงานของมันกลับมาได้เลย 

แต่หากมองไปยังลักษณะของมันตรงหน้า อย่างน้อยตอนนี้ก็ยังพอที่จะทำให้มันสามารถพูดได้ในระยะเวลาสั้นๆ 

แน่นอนว่าการที่มันสามารถกลับมาทำงานได้เล็กน้อยมิใช่เพียงเพราะถูกยัดชิ้นส่วนกลับคืน แต่ส่วนหนึ่งเกิดจากการที่สองโลกเกิดการผสานรวม ส่งผลให้ตัวเครื่องจักรได้เกิดการฟื้นฟูด้วยตัวเองอย่างช้าๆ อีกด้วย 

“เป็นเจ้าสินะตะขอเกี่ยววิญญาณ ดีมาก! เจ้ามาได้จังหวะพอดี!” เครื่องจักรกล่าว 

“เครื่องจักรบันทึกเหตุฉุกเฉินเอ๋ย ดูเหมือนว่าเจ้าจะมีบางสิ่งที่อยากจะเอ่ยกับข้าสินะ” ตะขอเกี่ยววิญญาณกล่าว 

“เจ้ารีบดูข้าเร็ว! ข้าจะต้องบอกความจริงแก่เจ้า!” เครื่องบันทึกเอ่ยออกมา 

แล้วฉากหนึ่งก็โผล่ออกมาจากเครื่องจักรบันทึกเหตุฉุกเฉิน ปรากฏจอม่านแสงขึ้นในความว่างเปล่า 

ภายในภาพเคลื่อนไหว ปรากฏร่างของเทพวิญญาณทั้งแปดองค์ที่มีเค้าโครงหน้าแตกต่างกัน ทั้งหมดกำลังยืนอยู่ในวิหารแห่งวัฏจักร 

พวกเขาคือยมราชทั้งแปดแห่งปรภพ เป็นเทพที่มีอำนาจสูงสุดในนรก! 

ทั้งหมดกำลังสนทนากันอย่างแผ่วเบา 

“ถึงเวลาแล้วอย่างนั้นหรือ?” 

“ถึงเวลาแล้ว” 

“ไปกันเถอะ ประตูสวรรค์ได้ถูกเปิดออกแล้ว และพวกเขากำลังรอเราอยู่” 

“มันน่าเสียดายจริงๆ ที่เราจะต้องทิ้งโลกปรภพไป” 

แปดเทพยมราชนิ่งเงียบไป 

หนึ่งในยมราชกล่าวออกมาว่า “นั่นคือสิ่งที่ควรจะเป็น เดิมทีก็เป็นความผิดของโลกปรภพเองนั่นแหละที่ดันไปดึงดูดความสนใจของเผ่ามารเข้า พวกเราก็เร่งถอนตัวกันเถอะ ส่วนที่เหลืออาณาจักรสวรรค์จะเป็นคนสานต่อเอง” 

อีกยมราชถอนหายใจออกมา “ทำใจเถิด หากกระทั่งอาณาจักรสวรรค์ก็ยังมิอาจต้านทานพลังอำนาจชนิดนี้ได้ ลำพังเพียงพวกเราก็คงไม่มีวิธีช่วยโลกปรภพได้หรอก” 

“ถูกต้องแล้วล่ะ หอกหลากสีมันน่าสะพรึงเกินไป ไม่มีใครสามารถกำจัดมันได้” 

“นี่ไม่ใช่ว่าเรากำลังหลบหนี แต่มันเป็นเพราะพวกเราจนปัญญาแล้วจริงๆ ต่างหาก” 

แปดยมราชสนทนากัน และพยักหน้าให้กันและกันในท้ายที่สุด 

พวกเขาสรุปแล้วว่าจะลงมือตามที่ได้สนทนากันไว้ 

เทพยมราชถอนหายใจออกมา “ช่างน่าสงสารยิ่งนัก หากเรามิสามารถช่วยเหลือโลกปรภพได้ เช่นนั้นพอถึงคราวของโลกมนุษย์ทำไมพวกเราไม่...” 

อีกหนึ่งยมราชกล่าวว่า “นั่นก็เป็นไปไม่ได้เช่นกัน เพื่อที่จะทำให้แน่ใจว่าพวกเราจะไม่ถูกเผ่ามารลอบโจมตีในช่วงเวลาที่กำลังอพยพ อาณาจักรสวรรค์จึงได้คิดค้นวิธีการทำลายกำแพงอุปสรรคที่คอยป้องกันโลกมนุษย์ลง” 

“ใช่แล้วล่ะ ดึงดูดความสนใจของเผ่ามารโดยใช้ปรภพและโลกมนุษย์เป็นเหยื่อล่อ แล้วทีนี้เหล่าทวยเทพก็จะสามารถถอนตัวไปได้อย่างปลอดภัย” 

“พวกเราไปกันเถอะ” 

“รอประเดี๋ยวก่อน ข้าขอตัวไปทำลายเครื่องจักรบันทึกเหตุฉุกเฉินสักครู่” 

“ดาบขุนเขาเทวะหกโลกาก็จักต้องถูกทำลายเช่นกัน มันทรงพลังมากเกินไป แถมยังมีความเกี่ยวพันใกล้ชิดกับภูเขาล้อมเหล็ก มันเป็นตัวแปรที่ไม่แน่ไม่นอนและอาจจะเป็นอันตรายต่อเราได้” 

“แต่สิ่งประดิษฐ์เทวะชิ้นนี้เป็นกฎเกณฑ์ของภูเขาล้อมเหล็กอย่างชัดเจน พวกเราไม่สามารถทำลายมันได้” 

“ก็ไม่จำเป็นต้องทำลายมันหรอก ตราบใดที่สังหารจิตอาร์ติแฟคภายในดาบได้ ตัวดาบก็จะไม่สามารถใช้งานไปได้สักพักแล้ว” 

“สังหารจิตอาร์ติแฟค? โอ้วหากเป็นสิ่งนี้ละก็ข้าสามารถทำมันได้ เจ้านี่มันนับว่าเป็นคนฉลาดอย่างแท้จริง” 

แล้วภาพทั้งหมดก็ตัดไป 

เจ็ดผู้คุมนรกตกลงสู่ความเงียบ 

รังสีแสงจากมนุษย์ปีศาจที่สว่างไสวอยู่เสมอ บัดนี้วูบไหวแลดูไม่เสถียร 

มันเอ่ยด้วยความโกรธว่า “แท้จริงแล้วทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเพราะเทพวิญญาณได้หลบหนีไปจากปรภพ...พวกเขาทรยศทั้งสองโลก!” 

ราชันหมาป่าคร่ำครวญออกมา “เทพปรภพน่ะมาจากอาณาจักรสวรรค์ ดังนั้น ดูเหมือนว่าจะเป็นทางอาณาจักรสวรรค์เลยต่างหากที่ได้ทรยศทั้งสองโลก…ทรยศหกวิถีอย่างแท้จริง” 

“นั่นก็หมายความว่าจากนี้ไป โลกมนุษย์ก็กำลังจะต้องรับการบุกโจมตีจากเผ่ามารจำนวนมากน่ะสิ!” 

ราชันหมาป่าหันหัวไปมองหน้าชายชราเผ่ามนุษย์และเอ่ยถาม “บนโลกของเจ้า มีตัวตนที่แข็งกร้าวเหมือนดั่งเช่นราชาภูตอยู่เท่าใดกัน?” 

ชายชราเผ่ามนุษย์ยิ้มอย่างขมขื่น เอ่ยขึ้น “มีคนแบบเขาอยู่มากมันก็ดีน่ะสิ แต่ช่างน่าเสียหาย คนที่แข็งแกร่งในระดับเดียวกันกับเขา กระทั่งตัวข้าเองก็ยังไม่เคยเห็นมาก่อนเลย” 

ราชันหมาป่ารำพึงออกมา “แล้วถ้าเปลี่ยนพวกเขาเป็นคนตายล่ะ? เหมือนกับพวกเราที่มีนับล้านล้านไง หากเป็นในกรณีนั้นก็น่าจะเพียงพอที่จะสามารถต่อกรกับเผ่ามารได้นะ” 

ชายชราเผ่ามนุษย์กล่าว “เมื่อเทียบกับปรภพแล้ว กำลังรบในโลกมนุษย์นับว่าน้อยกว่ามาก แถมยังอ่อนแอยิ่ง ข้าเกรงว่าต่อให้พวกเขาเป็นคนตาย แต่ก็คงจะสังหารลงทันทีที่ถูกเผ่ามารสัมผัสโดนอยู่ดี” 

“ดูเหมือนว่าโลกมนุษย์จะจบสิ้นลงแล้ว” 

ขณะที่พูด แผ่นดินในปรภพก็เริ่มเกิดการสั่นไหว 

เครื่องจักรคำนวณบุญส่วนบุคคลเด้งขึ้นมา ลอยอยู่เหนือศีรษะของคนตายทุกคน 

“ขอเชิญเหล่าคนตายลงไปอาบน้ำ ชะล้างอดีตทั้งหมดที่ผ่านมา จงสำนึกผิดต่ออาชญากรรมในอดีตที่ตนเคยก่อเสีย หลังจากนั้นการเกิดใหม่ของพวกเจ้าจะเริ่มขึ้นในไม่ช้า” 

ปรากฏหยาดน้ำทิพย์เย็นฉ่ำร่วงหล่นลงมาจากฟากฟ้า ชำระล้างเลือดเนื้อ และสิ่งปนเปื้อนต่างๆ ให้กับคนตาย 

นี่มันเป็นความรู้สึกที่สะดวกสบายเป็นอย่างยิ่ง ราวกับมันเป็นการชำระล้างเข้าไปถึงส่วนลึกของจิตวิญญาณ 

คนตายยืนอยู่ท่ามกลางสายฝน อาบน้ำทิพย์ที่ร่วงโรยลงมาด้วยความปีติยินดี 

นี่คือรางวัลอันยอดเยี่ยมของการกระทำที่ส่งผลให้ได้รับบุญ และตอนนี้มันก็เป็นเวลาสำหรับพวกเขาที่จะได้เพลิดเพลินไปกับช่วงเวลาแห่งความสุขหลังจากที่ได้ตรากตรำทำงานมาอย่างหนัก 

เจ็ดผู้คุมนรกเพลิดเพลินไปกับผลไม้อันหอมหวานนี้ และเฝ้ารอการกลับไปเกิดใหม่ 

ตะขอเกี่ยววิญญาณสั่นสะท้าน มันถอนหายใจออกมา “ดูท่าว่าข้าคงต้องเดินทางไปยังโลกมนุษย์ซะแล้ว อย่างน้อยก็ต้องบอกให้เขารู้เกี่ยวกับความจริงเรื่องนี้” 

สิ้นคำกล่าว ร่างมันก็หายวับไปทันที

........................................