webnovel

0392 ถูกบังคับเรียกกลับ

ตอนที่ 392 ถูกบังคับเรียกกลับ

ดาบพิภพน้ำหนักแปดสิบหกจุดสามเจ็ดล้านจิน มีจิตอาร์ติแฟค ครอบครองพลังศักดิ์สิทธิ์ ควบคุมน้ำหนักของตัวเองได้

และเฉพาะเพียงคนที่ได้รับอนุญาตจากดาบพิภพเท่านั้น ถึงจะสามารถหยิบฉวยมันขึ้นมาใช้สอยได้

ในการเผชิญหน้ากับคนตายเหล่านี้ มันก็มิได้สำแดงพลังศักดิ์สิทธิ์ออกมา!

ยิ่งไปกว่านั้น กู่ฉิงซานยังได้ใช้ออกด้วยเทคนิคเผยขุนเขา เสริมน้ำหนักกดทับลงไปเพิ่มเติมในดาบพิภพอีกด้วย

ดังนั้นภายใต้น้ำหนักดั้งเดิมของดาบพิภพ และวิชาลับของนักดาบนิรันดร์ สองสกิลซ้อนทับกัน ผลลัพธ์ก็คือ เหล่าคนตายในสถานที่นี้มิอาจเขยื้อนหรือทำให้มันสั่นไหวได้เลยแม้เพียงน้อย

ต่อมา หลังจากที่หลายผู้คุมนรกได้ทดลองดู ก็ยังมิอาจดึงดาบพิภพออกจากตำแหน่งเดิมได้

อาชูร่าชายหันหลังเดินย้อนกลับไปยังเบื้องหน้าของอาชูร่าหญิงแล้วคุกเข่าลงกับพื้น

เขากำลังอธิบายบางสิ่ง

ดวงตาของชูร่าหญิงเปล่งประกาย ใบหน้าทรงเสน่ห์ของเธอแสดงออกถึงความตื่นเต้น

“โง่เขลานัก!” เธอดุออกไปเบาๆ

ชูร่าชายก้มหน้าลง และเผยท่าทีดูหดหู่ออกมา

ชูร่าหญิงหันไปทางกู่ฉิงซานและเอ่ยปาก “มนุษย์เอ๊ย เราขอยอมรับว่าอาวุธของเจ้าทรงพลานุภาพจริงๆ ทว่าสิ่งที่พวกเราต้องการจะทราบคือความแข็งแกร่งของเจ้าต่างหาก”

“แล้วเจ้าต้องการจะทราบแบบใดกันล่ะ?” กู่ฉิงซานย้อนถาม

“กระบี่ภูต โปรดให้เราได้หยิบยืมเจ้าเพื่อสำแดงเพลงกระบี่ออกมาด้วยเถอะ แล้วจากนั้น หากมนุษย์ผู้นี้สามารถรับการโจมตีจากเราได้ถึงสามกระบวนท่า เราก็จะยอมรับว่ามนุษย์คนนี้สามารถเข้ามามีส่วมร่วมกับเรื่องราวในนรกได้” ชูร่าหญิงกล่าว

วิหคขาวหันไปมองกู่ฉิงซาน

“ไม่มีปัญหา” กู่ฉิงซานตอบรับ

เพียงนึกคิด ดาบเช่าหยินก็ปรากฏออกมาจากความว่างเปล่า

ขณะเดียวกัน กระบี่ภูตตัดกระดูกก็ลอยเข้าหามือของชูร่าหญิง

ชูร่าหญิงคว้าจับกระบี่ด้วยมือหนึ่ง ขณะที่อีกข้างจีบเข้าด้วยวิชาลับ ปากเปล่งเสียงหวานตะโกนออกมา “จงแยกออก!”

แล้วก็บังเกิดบอลน้ำห้าลูกผุดออกมารอบกายเธอ

บอลน้ำเหล่านั้นแตกตัวออกอย่างรวดเร็ว และขยายตัวเป็นรูปร่างมนุษย์ที่มีรูปลักษณ์เหมือนเธอ

เบื้องหน้าฝูงชนทั้งหลาย บัดนี้ปรากฏซึ่งหกร่างของหญิงงามทรงเสน่ห์

เหล่าหญิงงามยกกระบี่ในมือของเธอขึ้น

ทั้งหมดมองไปยังกู่ฉิงซาน ปากเอ่ยขึ้นพร้อมกัน “หากเจ้าร้องขอความเมตตาเสียแต่บัดนี้ มันยังทันนะ”

เมื่อชูร่าชายมองมายังฉากนี้ สีหน้าของเขาก็แสดงออกถึงความอิจฉาและเคารพสรรเสริญ

เพราะนี่คือสกิลลับที่ยากจะเรียนรู้ มันจำต้องใช้เทคนิคลับธาตุน้ำและเทคนิคลับของเพลงกระบี่ซ้อนทับสอดประสานกัน

สกิลลับของอาชูร่า ‘ร่างวารีเชี่ยว’

กู่ฉิงซานตอบกลับด้วยรอยยิ้ม “ช่างเป็นเทคนิคที่พบเจอได้ยากยิ่ง ทว่าเรื่องให้ข้าอ้อนวอนคงต้องขอปฏิเสธ เชิญชี้แนะ!”

หกหญิงงามพยักรับคำ ร่างของพวกเธอวูบไหว ถลาไปยังกู่ฉิงซาน

พร้อมด้วยกระบี่ยาวที่เปล่งประกายวาบออกไป

ติ๊งๆๆ!

กู่ฉิงซานคว้าจับดาบเช่าหยินและควงมันวาดเป็นแนวนอน ตัดปะทะเข้ากับปลายกระบี่ของคู่ต่อสู้

ทุกๆ การจู่โจมจากชูร่าหญิงถูกต้านรับไว้โดยกู่ฉิงซานอย่างง่ายดาย

แทบจะในทันที สามกระบวนท่ากระบี่ก็ผ่านพ้นไป

“เป็นทักษะดาบที่ดี!”

ชูร่าหญิงเอ่ยอย่างมึนเมาคำหนึ่ง

เจตนาฆ่าของเธอปะทุขึ้น และแม้จะจบสามกระบวนท่าแล้ว แต่ดูท่าว่าเธอจะไม่มีความตั้งใจที่จะหยุดโจมตีเลย คราวนี้เธอแบ่งร่างแยกออกเป็นหลากหลายภาพติดตา ตีวงเข้าห้อมล้อมรอบตัวกู่ฉิงซาน

วงล้อมค่อยตีกระหนาบแคบลง แคบลงเรื่อยๆ สุดท้ายเมื่อถึงระยะโจมตี ประกายคมกระบี่ก็สาดแสงสะท้อนเป็นเงา มันปรากฏขึ้นสับเข้าใส่กู่ฉิงซาน และเมื่อเสร็จสิ้นกระบวนการก็หายไปอย่างลึกลับ ไปมาๆ เช่นนี้อย่างต่อเนื่อง

และมีหลายครั้งอยู่เหมือนกัน ที่มันเกือบจะหั่นลงบนร่างจิตของกู่ฉิงซาน

“อิ่มเอมใจจริงๆ!” ชูร่าหญิงเผยรอยยิ้มงดงาม

สำหรับเวลานี้ หลายสิบชูร่าหญิงงามกำลังปิดล้อมพัวพันอยู่รอบกายกู่ฉิงซาน ขณะที่กระบี่ในมือของพวกเธอเริ่มเพิ่มความเร็ว โบกสะบัดจนเกิดประกายเฉิดฉาย ขณะเดียวกันก็หยดย้อยธาตุน้ำจากคมกระบี่ออกมา

สองเท้าของกู่ฉิงซานยังคงยืนหยัดในตำแหน่งเดิม เขาตวัดดาบใช้คมปะทะคม แต่ขณะเดียวกันก็ใช้ใบดาบปัดป้องมิให้น้ำหยดลงมาต้องตัวไปด้วย

ชูร่าหญิงรัวโจมตีไปกว่าหลายร้อยกระบวนท่า และเมื่อเล่นสนุกจนรู้สึกสุขใจเต็มที่เธอก็หยุดลง

“มีบางสิ่งไม่ถูกต้องเกี่ยวกับเจ้า” เธอเอ่ย

“สิ่งใดกันที่ไม่ถูกต้อง?” กู่ฉิงซานถามสวนกลับ

“ข้าเคยได้ปะทะกับเผ่ามนุษย์ในนรกมาก่อน และประสิทธิภาพของเผ่ามนุษย์ส่วนใหญ่นั้นล้วนคงเส้นคงวา สอดคล้องไม่ค่อยเหนือล้ำไปกว่ากัน ทว่าพวกเขามิได้แข็งแกร่งดั่งเช่นเจ้า”

“ก็คงจะมีบ้างเป็นบางคน ที่เป็นข้อยกเว้น” กู่ฉิงซานตอบ

เวลานี้ เขาได้ค้นพบถึงความแข็งแกร่งของฝ่ายตรงข้ามแล้ว

หากอ้างอิงตามขอบเขตของโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ ฝ่ายตรงข้ามสมควรที่จะมีความแข็งแกร่งเทียบเคียงได้กับขอบเขตก้าวสู่เทพขั้นแรก

ตำนานกล่าวไว้ว่าอาชูร่าน่ะเป็นจ้าวสงคราม และชูร่าหญิงตนนี้บางทีในหมู่คนตาย ก็สมควรที่จะมีความแข็งแกร่งที่โดดเด่นไม่น้อย

ทว่าด้วยความแข็งแกร่งดังกล่าวนี้ ภายใต้การเผชิญหน้าเมื่อครู่ เจ้าตัวกลับมิได้ใช้วิธีการรุนแรงจนเกินงามแต่อย่างใด ทุกการลงมือเป็นการทำเพื่อทดสอบความแข็งแกร่งของเขาเท่านั้น

และกู่ฉิงซานเองก็รู้สึกประทับใจกับการกระทำของเธอเป็นอย่างมาก ดังนั้นตั้งแต่แรกเริ่มเขาจึงยั้งมือให้อีกฝ่าย

นอกจากนั้น หลังจากการทดสอบนี้ เขาก็ยังสามารถตระหนักได้อีกด้วยว่าความแข็งแกร่งของบรรดาผู้คุมนรกเหล่านี้นั้น อยู่ในระดับใด

ชายชราเผ่ามนุษย์แอบยกนิ้วโป้งให้เขาอย่างลับๆ

ส่วนเหล่าคนตายที่เหลือต่างเหลือบมองกันและกัน และพยักหน้าให้อีกฝ่ายอย่างเงียบๆ

พวกเขาเริ่มสนทนาปรึกษากัน

“ตอนนี้เจ้าสามารถเข้าร่วมกับเรา เพื่อต่อกรกับนรกอื่นๆ ได้แล้ว”

ราชันหมาป่าเปิดปากของมัน สนทนากับกู่ฉิงซานเป็นครั้งแรก

“ขอบพระคุณ ตอนนี้ข้าต้องการที่จะพบกับตะขอเกี่ยววิญญาณ เพื่อค้นหาถึงความจริงที่มันเกิดขึ้น” กู่ฉิงซานกล่าว

“การได้รู้ถึงความจริงมันก็เป็นเรื่องที่ดี ในเมื่อเป็นเช่นนี้ มันจะดีกว่าหากฆ่า” ราชันหมาป่ากล่าวอย่างร้อนใจ ทว่ายังมิทันจบประโยค

จู่ๆ ผืนดินก็เกิดการสั่นสะเทือน

ตลอดทั้งภูเขาล้อมเหล็กเริ่มเกิดการสั่นไหว

ภูเขาศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ ภูเขาที่กระทั่งดาบพิภพก็ฟันแทงไม่เข้า ภูเขาที่สามารถต้านทานลมแห่งทัณฑ์โกลาหลได้ กลับบังเกิดการสั่นสะเทือนขึ้นอย่างต่อเนื่อง นี่มันเป็นเรื่องที่มิอาจจะทำใจเชื่อได้เลย!

“อืม ความรู้สึกนี่มัน มันเป็นการเรียกขาน!” สีหน้าของชายชราแปรเปลี่ยนครั้งใหญ่

“มีบางสิ่งกำลังเรียกเราอยู่” ราชันหมาป่าแผดเสียงต่ำ

“ข้ารู้สึกได้ว่าจะต้องกลับไป” ยักษ์กล่าวกระซิบตามมา

“ไม่ได้! เราจะต้องช่วยเหลือเขาเสียก่อน!” ชูร่าหญิงกล่าวอย่างเด็ดขาด

และคนอื่นๆ ก็ดูเหมือนจะฟังคำสั่งเธอ

“ใครก็ตามที่ได้ต่อสู้กับข้า ข้าจักสามารถเห็นถึงความแข็งแกร่งของพวกเขาในระดับที่ลึกซึ้งได้ นี่คือพลังศักดิ์สิทธิ์ของข้า พวกเจ้าลืมมันไปแล้วหรือ?” ชูร่าหญิงกล่าวอย่างจริงจัง

เห็นได้ชัดว่าชูร่าหญิงมีสิทธิ์อำนาจในหมู่ฝูงชน เพราะทุกคนรีบทำตามคำสั่งเธอและเริ่มหันมาช่วยเหลือกู่ฉิงซานกันอย่างรวดเร็ว

“เร่งลงมือกันเร็วเข้า!” มนุษย์ปีศาจตะโกนออกมา

เขาแปรเปลี่ยนเป็นกลุ่มก้อนแสง ส่องสว่างทะยานขึ้นไปยังเบื้องบน และลอยตรงไปยังทิศทางวิหารสักการะสิ่งประดิษฐ์เทวะทันที

ยักษ์ก็เริ่มต้นก้าวยาวๆ ตามติดมนุษย์ปีศาจไป

ก่อนหน้านี้กู่ฉิงซานยังคงอยู่ห่างจากวิหาร ดังนั้นจากที่นี่ไปยังเนินเขาข้างวิหาร จึงยังค่อนข้างห่างไกล

“เร็วเข้า! รีบหน่อย! อย่าชักช้า! พวกเรากำลังจะถูกบังคับเรียกตัวกลับคืนสู่นรกแล้ว” ชายชราเผ่ามนุษย์ตะโกนเตือน

แล้วเขาก็บินไปยังวิหาร

และผู้คุมนรกคนที่เหลือก็บินตามไปด้วยเช่นกัน

กู่ฉิงซานตะโกนถามเสียงหม่น “เมื่อครู่นี้มันเกิดอะไรขึ้น?”

“ไม่ทราบ ข้าเองก็ไม่ทราบเช่นกัน!” วิหคขาวกล่าวอย่างร้อนรน

“งั้นตอนนี้พวกเราก็รีบตามพวกเขาไปกันก่อนเถอะ” กู่ฉิงซานกล่าว

หลังจากผ่านพ้นมาครึ่งทาง ทั้งสองก็ได้ยินเสียงคำรามของยักษ์ดังลอดออกมาจากบริเวณวิหาร

หลังจากที่ข้ามผ่านเนินเขามา กู่ฉิงซานก็แข็งค้างไปทั้งๆ อย่างงั้น ปากเอ่ยพึมพำ “นั่นมันมารแมงมุมเขมือบวิญญาณ…”

ก่อนที่จะถึงตัววิหาร มีการต่อสู้กันเกิดขึ้นเบื้องหน้า

ร่างของยักษ์ที่คำรามออกมาในทีแรก จู่ๆ แปรสภาพเป็นรูปปั้นสีเทา และทันใดนั้นมันก็ล้มลงกลายเป็นฝุ่นผงทันที

ขณะที่ยักษ์อีกตนถูกทุบตี และกลิ้งไถลตามพื้นดินไปไกล

มนุษย์ปีศาจลอยอยู่กลางเวหา ใช้ออกด้วยธาตุทั้งห้าโจมตีออกไปเต็มกำลัง

อย่างไรก็ตาม การโจมตีเหล่านี้กลับไปได้เพียงครึ่งทางก็แตกสลายไปกลางอากาศ มิอาจเข้าถึงตัววิหารได้เลย

ภายในวิหาร ปรากฏร่างของแมงมุมที่มีสีสัน และขนาดใหญ่โตใกล้เคียงกับตลอดทั้งตัววิหารเฝ้าอยู่

ครึ่งบนของแมงมุมคือร่างชายเปลือยเปล่า

นี่คือมารแมงมุมเขมือบวิญญาณ และในระหว่างมารด้วยกันเองมันก็ยังนับว่าทรงพลังยิ่ง!

ในชีวิตก่อนหน้าของเขา ครั้งหนึ่งเขาก็เคยเห็นเจ้ามารดังกล่าวนี้มาก่อนแล้วเหมือนกัน

มันคืออสุรกายที่มีพลังศักดิ์สิทธิ์ค่อนข้างแปลกประหลาด

และมันมักจะออกล่าโดยใช้ ‘จิตสัมผัสเทวะ’

ยามอยู่ในระยะพิสัย เมื่อใดก็ตามที่จิตสัมผัสเทวะของสิ่งมีชีวิตตนอื่นปะปนเข้ากับจิตสัมผัสเทวะของมัน จิตสัมผัสเทวะของสิ่งมีชีวิตตนนั้นจะบังเกิดความสับสน มิอาจตรวจจับสิ่งใดได้อย่างกะทันหัน

ซึ่งความสามารถนี้กล่าวได้ว่าน่าหวาดกลัวเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเมื่อมันถูกใช้ในสงครามขนาดใหญ่

ตามปกติแล้ว ตราบใดที่มีมารแมงมุมเขมือบวิญญาณอยู่ในสนามรบ ตลอดทั้งสงครามจะกลายเป็นการสังหารหมู่ฝ่ายเดียวอย่างง่ายดาย

แถมการที่จะลอบสังหารหรือกุดหัวมัน ก็ยังเป็นการยากเย็นยิ่ง

เพราะด้วยความแข็งแกร่งของมัน เทียบเปรียบได้กับอสุรกายดัดแปลงยังได้เลย

มารแมงมุมเขมือบวิญญาณเบิกคู่ดวงตาแนวตั้งของมัน ปากแสยะยิ้มฉกาจฉกรรจ์ออกมา “เจ้าพวกกลุ่มคนตาย คงจะนอนหลับไม่สนิทดีซีนะ ถึงได้มาสร้างปัญหาให้แก่ข้า ช่างน่า”

บรัช!

หลายสิบกระบี่แสงฟาดตีเข้าใส่ใบหน้าของมันจนงอหงาย ขัดจังหวะคำพูดให้หยุดชะงักไป

“อาชูร่างั้นหรือ? บังอาจ!”

มารแมงมุมโกรธมาก มันขยับเท้าทั้งแปดเบาๆ และปีนลงไปจากเขาวิหารอย่างรวดเร็ว

มันกำลังไล่ตามเหล่าผู้คุมนรกทั้งหลายไป

ได้ยินแค่เพียงเสียงราชันหมาป่าที่หอนกังวานและยาวเหยียด ทั้งตนทั้งร่างของมันขยายขนาดขึ้นจนใหญ่โตเท่ากับมารแมงมุมเขมือบวิญญาณ

ราชันหมาป่ากระแทกหัวเข้าใส่มารแมงมุมดังปัง! จนอีกฝ่ายต้องชักฝีเท้าถอยกลับไปหลายก้าว

“วิ่ง!” ราชันหมาป่าร้องตะโกนออกมา

และเหล่าผู้คุมคนตายคนอื่นๆ ก็สับฝีเท้า ทิ้งระยะหนีไกลออกไปทันที

“ไอ้เจ้าพวกฝูงสวะ!”

มารแมงมุมคำรามด้วยความโกรธ

เท้าทั้งแปดของมันโค้งงอลงเล็กน้อย เกร็งช่วงขาสุดกำลัง แล้วกระโจนไล่ติดตามออกไป

แม้จะมีร่างกายใหญ่โต ทว่ามันกลับว่องไว กระฉับกระเฉงจนน่าทึ่ง

เหล่าผู้คุมคนตายอยู่เบื้องหน้า ขณะที่มารแมงมุมไล่หลัง ทั้งหมดหายลับไปจากฉากนี้อย่างรวดเร็ว

ทันใดนั้นชูร่าชายก็ปรากฏตัวขึ้นด้านหน้าของวิหาร และกวักมือเรียกกู่ฉิงซาน

“รีบมาข้างในเร็วเข้า!” เขาตะโกน

และร่างของกู่ฉิงซานก็หายวับไป พร้อมกับปรากฏตัวขึ้นเบื้องหน้าวิหารอย่างฉับพลัน

ชายชราเผ่ามนุษย์วิ่งออกมาจากวิหารและกล่าวว่า “ข้างในไม่มีเผ่ามารอยู่ เจ้าเข้าไปเร็ว พวกเราจะปกป้องที่นี่เอง!”

“แล้วถ้ามารแมงมุมกลับมาล่ะจะทำอย่างไร?” กู่ฉิงซานเอ่ยถามอย่างรวดเร็ว

“พวกเราก็จะสู้! เพื่อซื้อเวลาให้เจ้าหลบหนีไป”

กู่ฉิงซานเริ่มขยับกาย “แล้วพวกเจ้ามีแนวโน้มที่จะ”

“หากตาย มันก็แค่กลับไปตกลงสู่การหลับใหลในนรกเท่านั้น คนตายน่ะ จะไม่มีทางตายได้อีก” ชายชราโบกมือ

กู่ฉิงซานคิดเพียงครู่ ก่อนจะหันไปพยักหน้าให้ทั้งสอง แล้วหันหลังวิ่งเข้าไปในวิหาร

วิหารแห่งนี้ยังคงเงียบสงบ ราวกับว่ามีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่เข้ามาเยี่ยมเยือนในรอบพันปี

ดวงตาของกู่ฉิงซานกวาดผ่านไปตลอดทั้งวิหารอย่างรวดเร็ว

ภายใน มีแท่นบูชาตั้งอยู่มากมาย

และในแต่ละแท่นบูชา ก็มีอาวุธโบราณวางอยู่ ไม่ว่าจะเป็น

กระบี่ หอก ดาบ ง้าว ขวาน ขวานสองคม ตะขอ สามง่าม แส้ กระบอง ค้อน พลอง…เหล่านี้ล้วนเป็นอาวุธเย็นในยุคโบราณ โดยสิ้นเชิงแล้วมีทั้งสิ้นหกสิบหกประเภท

แต่อาวุธเหล่านี้ไม่มีวี่แววว่าจะขยับไหวใดๆ เห็นได้ชัดว่ามันไม่มีจิตอาร์ติแฟค ดูเหมือนว่าอุปกรณ์เหล่านี้จะกำลังหลับลึก

และกู่ฉิงซานก็ค้นพบเป้าหมายที่ตนเองมองหาอย่างรวดเร็ว

นั่นคือตำแหน่งศูนย์กลางของตลอดทั้งวิหาร

บนแท่นสักการะ มีอาวุธรูปทรงพิเศษวางตั้งอยู่

มองไปที่ด้ามจับและใบมีดของมัน ก็เหมือนกับดาบ

อย่างไรก็ตาม ปลายดาบกลับมีรูปร่างม้วนกลับ ราวกับตะขอที่โค้งงอ

มันลอยล่องอยู่บนแท่นสักการะอย่างเงียบๆ และเปล่งรังสีสีเหลืองอ่อนที่เหมือนกับสายธารแห่งการหลงเลือนออกมาร่ำไร

กู่ฉิงซานบินไป หยุดอยู่เบื้องหน้าแท่นสักการะตะขอ

แต่ไม่ทันรีรอให้เขาทำสิ่งใด กลิ่นอายก็แปรสภาพเป็นกลุ่มก้อนหมอกสีฟ้าผุดออกมาจากตัวเขาและค่อยๆ ตกลงในแท่นสักการะ

บนแท่นสักการะราวกับสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายนี้ ทันใดนั้นอักษรรูนลึกลับก็พลันปรากฏขึ้น

ดูเหมือนว่านี่จะเป็นคาถาอัญเชิญจิตอาร์ติแฟค

กู่ฉิงซานเฝ้ามองฉากนี้ด้วยอย่างคาดไม่ถึง

เดิมทีเขาคิดว่าตนคงจำต้องใช้ความพยายามอย่างมาก แต่ใครจะรู้ จู่ๆ กลิ่นอายของหญิงชุดคลุมฟ้าที่ได้รับมา กลับสร้างผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้ออกมา

เขามองไปที่คาถาอัญเชิญจิตอาร์ติแฟค แล้วอ่านมันด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “ถึงจิตวิญญาณแห่งตะขอเกี่ยววิญญาณ สายธารแห่งการหลงเลือนต้องการตัวเจ้า”

วืด!

บังเกิดเสียงน้อยๆ ดังขึ้น พร้อมกับแท่นสักการะที่เริ่มสั่นไหว

แล้วจู่ๆ ตะขอยาวก็แลดูราวกับมีชีวิตชีวาขึ้นมา

มันเอ่ยกระซิบอย่างแผ่วเบา

“เอ๊ะ? นี่ดูเหมือนว่าจะเป็นกลิ่นอายของนาง…?”

ตะขอยาวลอยออกมาจากแท่นสักการะ มาหยุดอยู่หน้ากู่ฉิงซาน

กู่ฉิงซานยังค่อนข้างที่จะสับสน

สิ่งประดิษฐ์เทวะนี้ดูเหมือนว่าจะหลับลึกอยู่ที่นี่ แล้วมันจะสามารถรับรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับทางปรภพได้อย่างไร?

ตะขอเกี่ยววิญญาณแห่งสายธารแห่งการหลงเลือนมิเอ่ยกล่าวอยู่ครู่หนึ่ง ราวกับว่ามันกำลังพยายามยืนยันอะไรบางอย่าง

เป็นเวลาสักพักเลยทีเดียว สุดท้ายตะขอเกี่ยววิญญาณจึงเอ่ยออกมาว่า “ใช่จริงๆ เจ้ามีกลิ่นอายของนาง ดูเหมือนว่าเจ้าจะเป็นคนในที่นางไว้ใจ”

ทัศนคติของตะขอยาวเปลี่ยนเป็นสนิทสนม

ก๊าซ!

เสียงคำรามดังลอดเข้ามาจากภายนอก

หัวใจของกู่ฉิงซานหม่นทะมึนลง

มารแมงมุมเขมือบวิญญาณเกือบจะกลับมาแล้ว

ดูเหมือนว่าเหล่าผู้คุมนรกจะไม่อาจต้านทานมันได้นานนัก หรือไม่ก็เป็นตามที่พวกเขากล่าว ว่าตนได้ถูกบังคับให้กลับคืนสู่นรกด้วยเหตุผลบางประการ

ตะขอเกี่ยววิญญาณเร่งกล่าวทันที “สถานที่นี้ไม่เหมาะจะสนทนา พวกเราสมควรรีบหนีกันก่อนเป็นอันดับแรก!”

…………………………………………….