webnovel

0384 อสุรกาย

ตอนที่ 384 อสุรกาย

 

ภายในถ้ำมืด แม้จะยังคงมีเส้นทางไปต่อ แต่สำหรับกู่ฉิงซาน...มันได้มาถึงทางตันแล้ว

เขาวางความคิดนี้ทิ้งลงข้างๆ ชั่วคราว ไม่ใช้สมองตริตรองเกี่ยวกับความลับของเผ่ามารอีกต่อไป

เพราะจากนี้ เขายังต้องเผชิญหน้ากับปัญหาใหญ่ไม่แตกต่างกัน

ในส่วนลึกของถ้ำมืดสู่ปรภพ  มีอสุรกายที่น่าสะพรึงอยู่

อสุรกายตนที่ว่า กำลังเฝ้าปกป้องเส้นทางเอาไว้

หากมีมัน ก็กล่าวได้ว่าไม่มีทางที่จิตวิญญาณตนใดจะสามารถเล็ดลอดเข้าสู่ปรภพได้

กู่ฉิงซานขบคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ และในที่สุดก็ตัดสินใจที่จะลองเสี่ยงดู

หากแม้กระทั่งปรภพตนยังไม่สามารถเข้าไปได้ โลกมนุษย์ก็คงจะเหลืออยู่หนทางเดียวเท่านั้น นั่นคือพินาศสิ้น!

เขาหันไปมองรอบๆ ผนังถ้ำ ก่อนจะพบกับเศษกระดูกยาวที่เจาะลึกเข้าไปในรอยแตกของหิน

กู่ฉิงซานยื่นมือไปงัดกระดูกยาวออกมา และเริ่มใช้ออกด้วย ‘ความลี้ลับของทุกสรรพชีวิต’

หลายเส้นแสงหิ่งห้อยวาบผ่านเข้ามาในดวงตาของเขาอย่างรวดเร็ว

“ค้นพบซากของมารกระดูกประชิด” 

“กำลังทำการวิเคราะห์ความลี้ลับขององค์ประกอบกระดูกของ มารกระดูกประชิด”

“คุณจำเป็นต้องจ่ายหนึ่งพันแต้มพลังวิญญาณ เพื่อทำความเข้าใจองค์ประกอบของเผ่ามารตนนี้ แล้วจึงจะสามารถแปลงกายตนให้เป็นเหมือนกับเผ่ามารตนนี้ได้”

หนึ่งพันแต้มพลังวิญญาณ!

กู่ฉิงซานแทบจะกัดลิ้นตัวเอง

ไอ้เจ้าสกิล ความลี้ลับของทุกสรรพชีวิตนี้มันจะกินแต้มพลังวิญญาณมากเกินไปแล้ว!

ในเวลานี้ บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม ได้ปรากฏบรรทัดเด้งแจ้งเตือนขึ้นมาอีกที

“ในมุมมองที่ว่าภายในถ้ำมืดแห่งนี้ มีเผ่ามารที่อยู่ในขอบเขตก้าวสู่เทพขั้นปลายไม่มากนัก ฉะนั้นระบบจึงร้องขอให้ผู้เล่นไตร่ตรองให้ดี ก่อนจะใช้แต้มพลังวิญญาณออกไป”

พอได้ยิน กู่ฉิงซานก็เข้าใจทันที

เนื่องเพราะตนอยู่ในขอบเขตก้าวสู่เทพขั้นปลายแล้ว ดังนั้น หากต้องการจะได้แต้มพลังวิญญาณมาเพิ่มเติม ย่อมต้องสังหารมารที่อยู่ในระดับเดียวกันหรือสูงกว่าเท่านั้น คำเตือนนี้บ่งบอกชัดเจน...ว่าตนเองแทบจะไม่สามารถสะสมแต้มพลังวิญญาณได้อย่างรวดเร็วดั่งเช่นในอดีตอีกต่อไป ส่วนหากคิดหมายจะไปมุ่งสังหารมารประทับเทพน่ะหรือ มันก็ได้อยู่หรอก แต่ก็ไม่ได้ง่ายดายถึงเพียงนั้น

หากจะกล่าวโดยทั่วไปแล้วเผ่ามารกับผู้ฝึกยุทธเผ่ามนุษย์จะมีเส้นแบ่งขีดกั้นที่มิอาจข้ามผ่านได้อยู่

นั่นคือขอบเขตประทับเทพ

เหนือขอบเขตประทับเทพขึ้นไป หากเป็นผู้ฝึกยุทธมนุษย์  กล่าวได้ว่าพวกเขาได้เข้าใจกฎเกณฑ์มากมายของโลกพร้อมกับได้ครอบครองพลังศักดิ์สิทธิ์ในระดับหนึ่งแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงสามารถต่อกรกับเผ่ามารในขอบเขตเดียวกันได้อย่างง่ายดาย

 

อย่างไรก็ตามหากต่ำกว่าขอบเขตประทับเทพลงไป ผู้ฝึกยุทธในขอบเขตเดียวกันกับเผ่ามารจะไม่อาจต่อกรกับอีกฝ่ายได้

สรุปง่ายๆ ว่าผู้ฝึกยุทธขอบเขตก้าวสู่เทพทั่วๆ ไปไม่สามารถที่จะต่อกรกับมารกระดูกประชิดที่อยู่ในขอบเขตเดียวกันได้เลย

เพราะนอกจากมารกระดูกมีความต้านทานต่อเทคนิคมนตราจากธาตุทั้งห้าแล้ว ในปากของมันยังมีพิษร้ายที่ใช้กัดกร่อนพลังวิญญาณ มีพลังทางกายภาพที่แข็งกร้าว และความว่องไวที่ยิ่งกว่านักสู้หวูเต๋าในขอบเขตก้าวสู่เทพขั้นสุดท้าย

มันเป็นเผ่ามารที่เกือบจะสามารถถูกนับรวมไปได้ว่าหากอยู่ในขอบเขตก้าวสู่เทพขั้นปลาย ก็จักมีพลังเกือบเทียบเคียงกับขอบเขตประทับเทพได้

แม้กระทั่งสองผู้ฝึกยุทธก้าวสู่เทพขั้นปลายสองคนร่วมมือกันต่อกรกับมัน ก็ทำได้แค่เพียงหลบหนีไปเท่านั้น

ดังนั้น ระบบจึงถือว่ามอนสเตอร์ตัวนี้มีความสามารถสูงกว่าผู้ฝึกยุทธในขอบเขตเดียวกัน หากคิดจะแปลงกายเป็นมัน ก็ย่อมต้องมีค่าใช้แต้มพลังวิญญาณที่สูงมากเป็นพิเศษ

ส่วนเหตุผลที่กู่ฉิงซานสามารถสังหารมันได้อย่างง่ายดาย นั่นเป็นเพราะเขามีประสบการณ์ต่อสู้จากสองช่วงชีวิต และยังมีความแข็งแกร่งระดับดาบนิรันดร์ ครอบครองสองดาบยาวที่เป็นสิ่งประดิษฐ์เทวะ รวมไปถึงสกิลเทวะอย่างย่นระยะเหลือเพียงหนึ่งนิ้ว

นอกจากนี้เขายังครอบครอง ‘ทัณฑ์ปีศาจ’ ที่ช่วยหนุนเสริมอำนาจการทำลายล้างสามสิบเปอร์เซ็นต์และฟังก์ชันตรวจสอบมอนสเตอร์ของระบบ ดังนั้นจึงสามารถรับรู้ได้ถึงมารกระดูกที่ซุ่มซ่อนตัวอยู่ล่วงหน้าได้

บอกเลยว่าต่อให้มันจะเป็นมารที่เหนือกว่าผู้ฝึกยุทธในขอบเขตเดียวกัน แต่ถ้าอีกฝ่ายโกงขนาดนี้มันก็คงต้องยอมแพ้ ตกตายเอาง่ายๆ อยู่ดี

แต่ในตอนนี้ เส้นทางเบื้องหน้าหากยังคิดก้าวเดินต่อไป เขาจักต้องถูกสังหารตกตายลงโดยเผ่ามารที่ดุร้ายและแข็งแกร่ง เฉกเช่นเดียวกันกับที่ตนสังหารมารกระดูกลงไป

 กู่ฉิงซานลังเลอยู่สักพัก ก่อนจะถอนหายใจและกล่าวว่า “ไม่ ไม่หรอก จังหวะนี้แหละที่สมควรจะใช้แต้มพลังวิญญาณที่สุดล่ะ”

 “ปิดฟังก์ชันตรวจจับเถอะ ฉันค่อนข้างที่จะมั่นใจว่าตัวเองรู้เกี่ยวกับข้อมูลรายละเอียดของอสุรกายตนนั้น”

“เข้าใจแล้ว” ระบบตอบกลับ

ในปัจจุบัน หากต้องการจะผ่านถ้ำมืดเข้าไปสู่ปรภพ เขาจะต้องปลอมตัวเป็นเผ่ามาร นี่คือวิธีการเดียวเท่านั้นที่กู่ฉิงซานคิดออก

กู่ฉิงซานเอ่ยถาม “ระบบ แล้วการปลอมตัวของฉันจะสามารถอยู่ได้นานแค่ไหน?”

ระบบตอบกลับไปว่า “หากเป็นการอำพรางตัวโดยใช้พลังวิญญาณ ย่อมมีเวลาที่จำกัด”

“แต่ถ้าคุณอำพรางตัวผ่านแต้มพลังวิญญาณ มันจะทำการเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบร่างกายของคุณ และตราบใดที่คุณไม่ยกเลิกมันเอง ก็จะปลอมตัวได้แบบไม่มีเวลาจำกัด”

“ขอแสดงความยินดีกับผู้เล่นด้วย ที่ได้เลือกใช้แต้มพลังวิญญาณเป็นแหล่งกำเนิดของสกิลนี้ คุณจึงสามารถบรรลุมาถึงขั้นในการใช้พลังนี้ได้

“และฉันขอน้อมรับคำชมนี้ด้วยความยินดี”

“ผู้เล่นได้เลือกทำการจ่ายแต้มพลังวิญญาณ”

“ร้องขอให้ผู้เล่นเริ่มทำความเข้าใจเกี่ยวกับองค์ประกอบของร่างกายมาร ส่วนระบบจะปลดปล่อยแต้มพลังวิญญาณที่เหมาะสมสำหรับการใช้งานของคุณ”

“เข้าใจแล้ว”

กู่ฉิงซานหยุดยืนอยู่กับที่อย่างเงียบๆ

เขากำลังมองลงไปยังกระดูกยาวในมือ และสัมผัสรับรู้ถึงมันด้วยความลี้ลับของทุกสรรพชีวิต

แล้วเขาก็ค่อยๆ ค้นพบว่าตนเองสามารถเข้าใจองค์ประกอบของกระดูกยาวนี้ได้อย่างสมบูรณ์

แถมเขายังรู้วิธีแม้กระทั่งต้นกำเนิดพลังและโครงสร้างของกระดูกยาวอีกด้วย

ความรับรู้และเข้าใจดังกล่าวนี้ อาจพูดได้ว่าคงจะมีเพียงแต่พระเจ้าเท่านั้นแหละที่จะสามารถตระหนักถึงได้

‘แต้มพลังวิญญาณ’ กู่ฉิงซานอดไม่ได้ที่จะคิดถึงมันและกล่าวว่า “ฉันต้องการใช้แต้มพลังวิญญาณในการสร้างกฎเกณฑ์และองค์ประกอบรูปแบบร่างกายของมารกระดูก” 

ขณะกล่าว แต้มพลังวิญญาณของเขาก็ถูกหักออกไปหนึ่งพันแต้มทันที

 อย่างรวดเร็ว กู่ฉิงซานเริ่มรู้สึกคันยิบๆ

 คัน? คันอย่างงั้นเหรอ?

ทำไมถึงรู้สึกคันกันล่ะ?

ว่ากันโดยทั่วไปแล้ว ตนเองขณะนี้อยู่ในร่างจิตวิญญาณ มันไม่สมควรที่จะมีความรู้สึกจากประสาทสัมผัสใดๆ สิ

กู่ฉิงซานก้มลงมองตัวเอง

แล้วเขาก็พบว่าร่างกายทั้งหมดของตนกลายสภาพเป็นกระดูกโดยสมบูรณ์ รวมไปถึงอุ้งเท้าทั้งสี่ที่มีเล็บแหลมคมกริบราวกับใบมีดกำลังส่องประกายเย็นเยียบอยู่

ซึ่งที่มันแตกต่างไปจากมารกระดูกทั่วๆ ไป ร่างกายของเขาบัดนี้ผอมบาง แต่ก็ยังสามารถขยับกาย อวัยวะต่างๆ สามารถประสานงานกันได้อย่างยอดเยี่ยม

กู่ฉิงซานสำรวจมันอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเขาก็ค้นพบว่านอกเหนือไปจากจิตวิญญาณในร่างกายแล้ว บนร่างกายของเขายังบังเกิดพลังชนิดใหม่ขึ้นมาอีกด้วย

เขาพยายามที่จะเร่งกระตุ้นพลังนั้น และถ่ายเทมันลงบนกรงเล็บที่แหลมคมของเขา

แล้วกรงเล็บที่ว่าก็สามารถเจาะเข้าไปบนผนังหินอย่างง่ายดายราวกับตัดเฉือนเต้าหู้

บังเกิดห้าร่องรอยลึกตราตรึงบนผนังหิน

“สมกับที่เป็นวิชาความลี้ลับของทุกสรรพชีวิต ตอนนี้ฉันได้กลายร่างเป็นมารกระดูกไปจริงๆ แล้ว”

กู่ฉิงซานพูดกับตัวเอง

“ไม่สิ นี่มันไม่ใช่แค่การปลอมตัวธรรมดาๆ แต่ตอนนี้ฉันได้กลายเป็นมารแถมยังครอบครองกรงเล็บอันแหลมคมของมันจริงๆ อีกด้วย”

กู่ฉิงซานทดลองขยับร่างกายใหม่ของเขา

การเคลื่อนไหวค่อนข้างสมดุล ลื่นไหลไม่มีผิดปกติใดๆ

มันราวกับว่าเขารับรู้ได้โดยธรรมชาติว่าเผ่ามารตนนี้สมควรที่จะเคลื่อนไหวอย่างไร

กู่ฉิงซานหยุดฝีเท้าทั้งสี่ก่อนจะเดินไปไกล เขาทดลองซ้อมรูปแบบการต่อสู้โดยกรงเล็บของมารกระดูกโดยเค้นเอาจากข้อมูลความทรงจำที่ได้รับมา และเริ่มฝึกปรือมันด้วยตัวเอง

เวลาล่วงเลยไปเล็กน้อย ในที่สุดเขาก็หยุดพักผ่อน

กล่าวได้ว่าบัดนี้สำหรับพื้นฐานการโจมตีทั่วๆ ไปโดยกรงเล็บ กู่ฉิงซานสามารถเข้าใจมันได้แล้ว

 กู่ฉิงซานไม่ลังเลอีกต่อไป เข้าเริ่มจิกกรงเล็บไปตามผนังถ้ำ ก้าวลงไปสู่เบื้องลึกของทางเข้าปรภพ

ด้วยวิชาลึกลับนี้ ทำให้การย่ำเดินเคลื่อนไหวของเขาโดยใช้กรงเล็บมอนสเตอร์ช่างดูเป็นธรรมชาติ

กรงเล็บแหลมจิกลึกลงไปในผนังหิน แขนขาที่บัดนี้กลายเป็นอุ้งเท้าทั้งสี่แทงลึกเข้าไปในถ้ำ

แบบนี้…

จะผ่านไปโดยที่ไม่ถูกจับได้จริงๆ น่ะหรือ?

กู่ฉิงซานบังเกิดข้อสงสัยขึ้นในจิตใจ

ตอนนี้ สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ การมองหาเผ่ามารตนอื่นๆ เพื่อดูว่าพวกมันจะมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อเขาอย่างไร

แต่น่าเสียดาย เพราะมารในบริเวณใกล้เคียงล้วนถูกเขาสังหารจนสิ้น ดังนั้นแม้เขาจะแทงลึกลงไปไกล แต่ก็ยังไม่พบเจอกับมารตนใดเลย

 เขาจึงไม่มีทางเลือก จำต้องคลานมุ่งหน้าลึกเข้าไปในถ้ำต่อไป

จนเวลานี้ ในที่สุดเขาก็ได้มาถึงในจุดที่ตนได้ยินเสียงขอความช่วยเหลือในตอนแรกอีกครั้งแล้ว

และมันก็เป็นเวลาเดียวกัน ที่มอนสเตอร์ตนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นในที่สุด

มันคือหนอนตัวเขียวที่มีขานับร้อยราวกับตะขาบ

มอนสเตอร์ตนนี้มิได้มีความแข็งแกร่งเท่าใดนัก แต่ความรู้สึกที่ไวต่อกลิ่นของมันละเอียดอ่อนเป็นอย่างยิ่ง และสามารถค้นหาร่างมนุษย์ได้แม้จะอยู่ห่างไกล

เพราะร่างมนุษย์ คือชิ้นเนื้ออุดมไขมันที่มันโปรดปรานมากที่สุด

สันนิษฐานว่าอาจจะเป็นเพราะเมื่อครู่กู่ฉิงซานได้สลับร่างที่บาดเจ็บสาหัสของชายปริศนาเพื่อปลดปล่อยจิตวิญญาณของอีกฝ่ายไป เจ้าหนอนร้อยขาจึงได้กลิ่นอายของศพมนุษย์ มันจึงเร่งสับฝีเท้านับร้อยคืบคลานขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ปีนป่ายมุ่งหน้าขึ้นไปยังทิศทางช่วงบนของถ้ำ

กู่ฉิงซานชะงัก กรงเล็บแหลมจากทั้งมือทั้งเท้าจิกแน่นลงบนผนังหิน

เขาจ้องเขม็งไปที่หนอนร้อยขา

และหนอนร้อยขาก็สัมผัสได้ถึงดวงตาคู่หนึ่ง

มันเร่งหันขวับมาจ้องสวนเขาอย่างรวดเร็ว

กู่ฉิงซานเวลานี้ปลอมตัวเป็นมารกระดูก เป็นเผ่ามาร แต่โดยธรรมชาติแล้วเขาก็ยังไม่ใช่พวกมันอยู่ดี ภายในจิตใจของเขาจึงเกิดความหวาดระแวงขึ้นเป็นธรรมดา

แต่อีกฝ่ายก็เพียงแค่จ้องมองสวนกลับมาอย่างไม่แยแส และยังคงสับขาปีนป่ายเรื่อยๆ อย่างต่อเนื่อง

ไม่นานนัก หนอนร้อยขาก็เดินผ่านกู่ฉิงซานไป

ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น

มันไม่ได้โจมตีกู่ฉิงซาน

ฝีเท้าของกู่ฉิงซานยังคงนิ่งงัน ขณะที่หัวของเขาหันมองไปตามหนอนร้อยขาอย่างไม่ไว้ใจ

เห็นแค่เพียงหนอนร้อยขายังคงเชิดหัวขึ้น ยืดหดคอของมัน และปีนป่ายขึ้นไปบนอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุดยั้ง

มองจากทิศทางของมัน ไม่ต้องสงสัยเลยว่ากำลังมุ่งตรงไปยังร่างของชายปริศนาที่พึ่งตายไป

กู่ฉิงซานพยายามอย่างเต็มที่ที่จะรักษาความสงบของตน

มันคงจะดีกว่าถ้า…

เขากระโดดหมุนตัวกลับไป พร้อมกับกางกรงเล็บอันแหลมคมของเขา

กรงเล็บคู่ถูกง้างออกและตะปบ! ตัดผ่านร่างของหนอนร้อยขาราวกับตัดเต้าหู้

ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่มีการแจ้งเตือนล่วงหน้าใดๆ หนอนร้อยขาได้ถูกแยกร่างออกเป็นซีกๆ โดยกรงเล็บมาร!

มันได้ตกตายลงโดยที่ไม่ทันจะได้กรีดร้องออกมาด้วยซ้ำ

กู่ฉิงซานยืนอยู่เบื้องหน้าศพของหนอนร้อยขา ก้มหน้าลงมองกรงเล็บของเขา

เขาได้กลายเป็นมาร แถมยังหลอกสายตาได้แม้กระทั่งเผ่ามารด้วยกันเอง

แต้มพลังวิญญาณที่ต้องเสียไปมากกว่าปกติ นับว่าคุ้มค่าจริงๆ

นึกไม่ถึงเลยว่านี่คือพลังของ ‘ความลี้ลับของทุกสรรพชีวิต!’

ความเชื่อมั่นในจิตใจของกู่ฉิงซานเพิ่มพูนขึ้นอย่างมหาศาล

เขาหันกลับไป และจ้วงกรงเล็บ แทงลงไปในส่วนลึกของทางเข้าปรภพ

ระหว่างทาง เต็มไปด้วยมอนสเตอร์แปลกตามากมายโผล่ออกมาไม่หยุดหย่อน

แต่กู่ฉิงซานก็แค่เดินผ่านมอนสเตอร์เหล่านั้นไป

โดยที่ไม่มีมอนสเตอร์ตัวใดสนใจเขาเลย

กู่ฉิงซานเบียดเสียดผ่านฝูงมารที่แออัด และไม่มีมอนสเตอร์ตนใดที่แสดงถึงอาการผิดปกติใดๆ ออกมาเลย

แต่ก็นั่นแหละ เบียดๆ กันมันก็ต้องมีเหยียบเท้ากันบ้าง มีอยู่ครั้งหนึ่งขณะที่กำลังแทงเดิน กู่ฉิงซานเผลอเอากรงเล็บแหลมของตนเองไปปาดเท้ามอนสเตอร์ขนาดใหญ่เข้าโดยบังเอิญ

และมันก็วิ่งไล่ตามเขาอย่างดุเดือด แต่พอไล่ไม่ทัน ในที่สุดมันก็ยอมแพ้ไป

กู่ฉิงซานปีนลงไปในระดับความลึกสุดของถ้ำมืด

แน่นอน ถ้ำมืดนี้มิได้เป็นเส้นตรงทั้งหมด ไม่งั้นกู่ฉิงซานกระโดดทิ้งตัวลงรอบเดียวก็คงถึงทางเข้าปรภพไปแล้ว มันมีบ้างที่คดเคี้ยวบ้างแนวตั้ง บ้างแนวนอน และบัดนี้ในจุดที่เขากำลังก้าวเดินมันค่อยๆ ลาดชันขึ้น

เดินไปได้อีกสักพักหนึ่ง

ทางลาดชันก็กลายเป็นเป็นทางราบ

บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม บรรทัดแสงตัวอักษรขนาดเล็กเด้งเตือนขึ้นมา

“โปรดทราบ มีเผ่ามารระดับอสุรกายประเภทอาวุธอยู่เบื้องหน้า” 

หัวใจของกู่ฉิงซานตึงเครียดขึ้น

ในความเป็นจริงแล้ว เขารู้สึกได้ถึงมันก่อนที่ระบบจะทำการแจ้งเตือนเสียอีก นั่นเพราะ ตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว เบื้องหน้าเขาน่ะ มันเต็มไปด้วย-

กลิ่นอายที่ฟุ้งไปด้วยเจตนาฆ่าและการทำลายล้างค่อยๆ เข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ จนมันท่วมท้นไปในอากาศที่ว่างเปล่าราวกับสายธารหลาก

แต่นับว่าโชคยังดี เพราะเมื่อกลิ่นอายนี้ตกลงบนตัวเขา มันก็ไหลผ่านไปทันที

ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะยอมรับว่าเขาเป็นฝ่ายเดียวกันกับตนเอง

กู่ฉิงซานกลั้นหายใจและเดินหน้าต่อไปเรื่อยๆ

ในที่สุด ท่ามกลางหุบเหวอันมืดมิด ร่างของอสุรกายตนที่ว่าก็ปรากฏขึ้นสู่สายตาของเขา

มันเป็นยักษ์ที่เพียงแค่ครึ่งลำตัวก็สูงเกือบจะพันเมตรแล้ว

ส่วนล่างของเอวยักษ์ได้หายไป หลงเหลือเพียงส่วนบนของร่างกายที่ยังไม่บุบสลายถูกรักษาเอาไว้เป็นอย่างดี

ขณะที่มีแขนแปลกๆ นับหลายสิบข้างถูกเย็บปักถักร้อย ห้อยเรียงกันมั่วซั่วอยู่ตามแผ่นหลังของมัน

และทุกแขนจะแตกต่างกันออกไป แขนข้างหนึ่งเรียวยาว อีกข้างใหญ่ อีกข้างทั้งหมดทำจากธาตุน้ำโดยสมบูรณ์ กู่ฉิงซานยังเห็นแม้กระทั่งแขนที่เต็มไปด้วยใบหูนับไม่ถ้วนผุดขึ้นมาอีกด้วย

และแน่นอน กู่ฉิงซานเชื่ออย่างสนิทใจว่าแขนทุกข้างของมันนั้น ล้วนแล้วแต่ครอบครองอำนาจอนันต์อันน่าสะพรึง!

ยักษ์ใหญ่ยังคงหลับตา มันอยู่ในอาการหลับลึก

มันนอนอยู่ตรงข้ามกับผนังหิน และร่างกายอันใหญ่โตทั้งหมดของมันเกือบจะบดบังตลอดทั้งเส้นทางเดินของถ้ำอันมืดมิด

…………………………………………….