webnovel

0365 แอนนากับเทพแห่งความตาย (หนึ่ง)

ตอนที่ 365 แอนนากับเทพแห่งความตาย (หนึ่ง)

ย้อนเวลากลับไปก่อนหน้านี้หนึ่งวัน

ในคืนก่อนที่เวโรน่าจะได้ขึ้นครองบัลลังก์

ขณะที่กู่ฉิงซานพึ่งกลับมาจากมหาสมุทรและตรงกลับไปยังวิลล่า

ขณะที่ซูเซี่ยเอ๋อยังอยู่ในช่วงเวลาแห่งโชคชะตาอันไม่แน่ไม่นอน

ในช่วงเย็น

บริเวณเขตแดนเชื่อมต่อระหว่างจักรวรรดิศักดิ์สิทธิ์และฟูซี

ณ เมืองที่รกร้างแห้งแล้ง

ภายในโบสถ์ของตัวเมืองที่แม้จะทรุดโทรมไปบ้าง แต่ก็นับว่าโชคยังดีที่มีบาทหลวงชราคอยดูแลรักษามันอยู่

ซึ่งโดยปกติแล้วประตูของโบสถ์จะถูกเปิดทิ้งเอาไว้ตลอดเวลาโดยไม่คำนึงถึงสายลมและสายฝน

ทว่าวันนี้ ประตูโบสถ์กลับถูกปิดสนิท 

เมื่อชาวเมืองที่อยากรู้อยากเห็นมาเอ่ยถามว่าทำไม

แล้วพวกเขาก็ได้รับคำตอบว่า เชิงเทียนขนาดใหญ่ที่ติดอยู่เหนือเพดานมายาวนานกว่าร้อยปี และมักจะส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดไปมายามปะทะกับลมฝน สุดท้ายก็ถึงคราสิ้นอายุขัย ถูกกระแสลมกระหน่ำจนมิอาจยึดติดกับเพดานได้อีกต่อไปในที่สุด

มันร่วงตกลงมาจากเพดาน

ร่วงตกลงใส่ม้านั่งที่ใช้สำหรับสวดอธิษฐาน และเกือบที่จะตกลงใส่หัวบาทหลวงชรา

ด้วยเหตุนี้ ทางโบสถ์จึงไม่สามารถเปิดทำการได้อีกต่อไป

บางที มันอาจจะจำเป็นต้องใช้เวลาซ่อมม้านั่ง หรือไม่ก็เป็นเพราะความเสียขวัญของบาทหลวง ที่ต้องการจะพักผ่อนทำใจเป็นระยะเวลาสั้นๆ จึงตัดสินใจประกาศปิดโบสถ์เป็นการชั่วคราว

ยามเมื่อประตูถูกปิด สรรพเสียงภายในกับภายนอกโบสถ์ก็แยกออกจากกันราวกับสองโลก

ภายในตัวโบสถ์อันเงียบสงบ

จู่ๆ เสียงของบาทหลวงชราก็ดังขึ้น

เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบแห้งในลำคอ “ฝ่าบาท ในประวัติศาสตร์ของตระกูลเมดิซี ท่านนับว่าเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์โดยกำเนิด และยังเป็นผู้นำตระกูลเพียงคนเดียวเท่านั้นที่สามารถเรียนรู้และเข้าใจเกี่ยวกับเทคนิคโบราณทั้งหมดนี้ได้”

“ผู้เฒ่าเช่นเราคิดว่าท่านกำลังจะกลายเป็นหนึ่งในผู้นำตระกูลที่แข็งแกร่งที่สุดในประวัติศาสตร์ ดังนั้นท่านไม่จำเป็นต้องมาเสี่ยงเช่นนี้เลย”

ตรงกันข้ามกับเขา หญิงสาวหน้าตางดงามผู้ครอบครองผมสีแดงเพลิงได้กล่าวตอบกลับไปว่า “อย่าได้โน้มน้าวฉันอีกต่อไปเลย ไม่ว่าอย่างไรฉันก็จะต้องลองดู”

แอนนาล่ะ

แอนนาอยู่ในที่แห่งนี้

เธอกำลังแบกกระเป๋าสะพายหลังใบใหญ่ และยืนอยู่ภายในโบสถ์

บาทหลวงชรากล่าวอย่างขมขื่น “ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา ทางราชวงศ์ได้ผลิตผู้สืบทอดที่ยอดเยี่ยมมามากมาย ทว่าสุดท้ายแล้วทุกคนก็จนปัญญา และไม่สามารถปลุกเทพแห่งความตายให้ตื่นขึ้นมาได้เลย”

“ทายาทหลายคนถึงขั้นยอมบูชายัญฆ่าตัวตายหน้ากล่องสมบัติ เพียงเพื่อหวังแค่ว่าเทพแห่งความตายจะปรากฏตัวขึ้น”

“แต่ไม่ว่าจะใช้กลวิธีใด กล่องสมบัติก็ยังไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองอยู่ดี”

“จากทั้งหมดทั้งมวลนี้ มีเพียงบรรพบุรุษรุ่นแรกของท่านเท่านั้นที่สามารถเปิดมันขึ้นมาได้”

“ฝ่าบาท กล่องสมบัติชิ้นนี้คือสิ่งโชคร้าย ผู้เฒ่าเช่นเราแนะนำให้ท่านควรรีบหันหลังย้อนกลับไปจะดีกว่า”

“หยุดพูดเรื่องไร้สาระเถอะ ฉันเป็นผู้นำตระกูลแล้ว หากได้ขึ้นเป็นผู้นำตระกูล ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องลองพยายามเปิดมันดู นี่เป็นกฎ!”

บาทหลวงชราถอนหายใจ “แต่ทางราชวงศ์น่ะไม่มีใครหลงเหลืออยู่อีกต่อไปแล้ว ดังนั้นภารกิจที่สำคัญที่สุดของท่านก็คือ ‘จะทำอะไรก็ต้องขอให้ยึดมั่นใจในความปลอดภัยของตัวเอง เพื่อรักษาสายโลหิตของตระกูลให้สืบสานต่อไป’ ”

แอนนาพยักหน้า “ที่ท่านเอ่ยมาก็ถูก ฉันไม่คิดจะเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับพวกบรรพชนหรอก ฉันเพียงแค่ต้องการที่จะจบภารกิจรับสืบทอดมรดกนี้ในฐานะผู้นำตระกูลให้เร็วที่สุดก็เท่านั้น”

บาทหลวงชราชะงักไปเล็กน้อย

แอนนากล่าวต่อ “ฉันไม่เคยคิดหรือรู้สึกว่าตัวเองจะแข็งแกร่งยิ่งกว่าบรรพชนในประวัติศาสตร์หรอกนะ และแน่นอนว่าฉันก็ยังรักชีวิตของตัวเองเหมือนกัน ฉันเลยมาที่นี่ในฐานะผู้นำตระกูลเพียงเพื่อที่ในอนาคตฉันจะได้ระลึกถึงมันว่าตัวเองได้เลยลองพยายามที่จะทำมันอย่างเต็มที่แล้ว”

“…แท้จริงแล้วมันเป็นเช่นนี้”

บาทหลวงชราจ้องมองการแสดงออกทางสีหน้าของเธออย่างรอบคอบ และตระหนักว่าเธอไม่มีความหวังใดๆ แอบแฝงจริงๆ เขาก็รู้สึกโล่งใจ

เขากลัวว่าแอนนาจะทำอะไรไม่ยั้งคิด และต้องจ่ายออกไปด้วยราคามหาศาล เพียงเพื่อพยายามที่จะเปิดกล่องสมบัติที่ได้รับสืบทอดมา

ราชวงศ์เมดิซีในตอนนี้น่ะ ไม่สามารถที่จะสูญเสียผู้สืบสายโลหิตมากไปกว่านี้ได้อีกต่อไปแล้ว

“แต่จากที่ตัวเราเฝ้ามองจากการแสดงออกของท่าน เพราะอะไรกันท่านถึงได้ดูมีท่าทีกังวลแบบนี้?” บาทหลวงชราเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง

แอนนาตอบ “ไม่มีอะไรหรอก มันก็แค่เรื่องไร้สาระน่ะ ฉันแค่รีบมาที่นี่แล้วจะได้ทำให้มันจบๆ และกลับไปสักที!”

เธอกำหมัดแล้วกล่าวออกมาว่า “ฉันได้เรียนรู้เทคนิคโบราณทั้งหมดมาแล้ว ฉันไม่เหมือนกับในอดีตอีกต่อไป และฉันนี่แหละจะเป็นคนสังหารพระสันตะปาปาเอง!”

“ฝ่าบาท ตัวเราเชื่อในความสามารถของท่าน”

บาทหลวงชรายิ้มออกมา และดูเหมือนว่าเขาจะพอใจมากกับคำตอบนี้

“เช่นนั้นคำถามสุดท้ายนะฝ่าบาท” เขากล่าว

“ว่ามาสิ”

“เหตุใดจึงพกพาสิ่งของมามากมายเช่นนี้…ที่อยู่ในกระเป๋าสะพายของท่าน มันใช่อุปกรณ์สำหรับปลุกเทพแห่งความตายหรือไม่?”

“ถ้ามันอยู่ในกระเป๋าของหญิงสาว มันก็ต้องเป็นของใช้ส่วนตัวของหญิงสาวสิ มันจะไปเกี่ยวข้องกับเทพแห่งความตายได้อย่างไร?”

“ฮ่าๆ เข้าใจแล้ว เช่นนั้นได้โปรดตามเราเข้าไปข้างในด้วย”

บาทหลวงชราเดินนำทางไปยังที่ไหนสักแห่งในโบสถ์ และจุดคบเพลิงขึ้น

เขาถือคบเพลิงในมือข้างหนึ่ง ขณะที่อีกข้างกดลงบนช่องลับที่ซ่อนอยู่ในความมืดมิด

บังเกิดการสั่นสะเทือนเล็กน้อย

แล้วพื้นดินของตัวโบสถ์ลดระดับลง เผยให้เห็นถึงอุโมงค์ลับที่เป็นเส้นทางโบราณ

ฟิ้ว!

บังเกิดกระแสลมอันรุนแรงวิ่งผ่านขึ้นมาจากอุโมงค์ลับ กวาดกระจายไปทั่วตัวโบสถ์

บาทหลวงชราหันกลับมา และปลีกตัวไปอยู่หน้าปากทางเข้า

“ฝ่าบาท ขอจงโปรดระมัดระวังตัวให้ดี ไม่ว่าจะพบเจอกับอะไรก็ตาม”

บาทหลวงชรายื่นคบเพลิงให้แก่แอนนา

“เข้าใจแล้ว ท่านก็คอยคุ้มกันฉันจากด้านนอกนี้แล้วกัน ส่วนฉันจะเข้าไปดูข้างใน ถ้าเห็นท่าไม่ดีก็จะถอนตัวกลับมาทันที ไม่ฝืนตัวเองจนเกินไปแน่นอน”

เธอคว้าคบเพลิงแล้วยื่นมันออกไปเบื้องหน้า ก้าวฝีเท้าเดินลงไปในอุโมงค์ทางเดินลับโดยไม่คิดเหลียวหลังกลับมา

บาทหลวงชราเฝ้ามองตามแผ่นหลังของแอนนา ถอนหายใจด้วยอารมณ์อันหลากหลาย “ฝ่าบาท ในที่สุดท่านก็เติบโตเป็นผู้ใหญ่จริงๆ เสียที”

แอนนากำลังเดินอยู่ภายในทางเดินลับ

หลังจากที่ผ่านไปครู่หนึ่ง ทางเดินอุโมงค์ก็เริ่มจะดิ่งลง ดิ่งชนิดที่ว่าเกือบจะยกตัวขึ้นเป็นแนวตั้งตรง

แต่ละขั้น แต่ละตอน เท้าของแอนนาค่อยๆ ย่ำลงไปในความมืดมิด

สภาพแวดล้อมที่นี่เปียกชื้นและเย็นจัด

มีเพียงเฉพาะคบเพลิงในมือเท่านั้นที่คอยนำทางและให้แสงสว่างเล็กๆ น้อยๆ

เวลานี้ แอนนาเดินลงมายาวนานกว่าชั่วโมงแล้ว แต่ฝีเท้าของเธอก็ยังคงย่ำลงไปอย่างต่อเนื่องไม่รู้จบ

สักพักเธอก็หยุดฝีเท้าลงและเริ่มหงุดหงิดเล็กน้อย

“เมื่อไหร่จะถึงสักที! เวลาของฉันมีไม่มากนักนะ มันจะสายไปกว่านี้ไม่ได้แล้ว!”

สิ้นคำกล่าว แอนนาก็คว้าหมับ จับกระเป๋าสะพายให้แน่นขึ้น

จากนั้นเธอก็เลือกที่จะกระโดดจากมุมสูง ดิ่งลงไปในความมืดมิด

เบื้องหลังเหนือกระเป๋าสะพายของเธอ ปรากฏปีกคู่เปลวเพลิงอันร้อนแรง พัดกระพือให้อุณหภูมิในอากาศสูงขึ้น และแน่นอนว่าแสงสว่างในที่มืดก็เช่นกัน

กระแสไอร้อนอบอ้าวส่งเสียงกระหึ่ม ขณะที่แอนนายังคงค่อยๆ ร่อนลดระดับลงมาอย่างช้าๆ

สายลมพัดผ่าน ส่งผลให้ผมของเธอพลิ้วไหว เสียงหวีดหวิวดังลอดเข้ามาในหู

แอนนาเลือกที่จะร่อนลงไม่ห่างจากขั้นบันไดหิน และพบกับค้างคาวมากมายที่เกาะอยู่ตามอุโมงค์ บ้างเปล่งเสียง บ้างหลบหนีเมื่อเผชิญหน้ากับเปลวเพลิงของเธอ

เธอหลีกเลี่ยงอุปสรรคเหล่านี้โดยการเลือกที่จะไม่ลดความเร็วลงแม้แต่น้อย

ความเร็วในการบินแบบทิ้งตัวดังกล่าว มันว่องไวยิ่งกว่าเดินลงตามขั้นบันไดเป็นสิบเท่า!

หลังจากนั้นครึ่งชั่วโมงต่อมา

แอนนาก็ได้มาถึงสุดทางเดินที่อาจเรียกได้ว่าเป็นก้นเหวลึกได้ในที่สุด

ที่นี่ช่างมืดมิดและเงียบสงบ

คบเพลิงกำลังจะมอดดับลงในไม่ช้า

แอนนาชูคบเพลิงขึ้น เพื่อที่เธอจะได้เห็นสภาพทุกอย่างโดยรอบตัวเธอ

แล้วก็พบกับประตูโลหะสีดำที่ปรากฏขึ้นตรงปลายอุโมงค์

ประตูใบนี้มีขนาดใหญ่มาก ถึงขั้นที่แอนนาต้องเงยหน้าขึ้นเพื่ออ่านคำแกะสลักที่จารึกอยู่เหนือขอบประตูด้านบน

‘เทพแห่งความตายหลับใหลอยู่ที่นี่ และผู้ที่ได้พบเห็นจะมีเพียงความตายเท่านั้นที่รออยู่’

แอนนาอ่านคำเหล่านั้นทีละคำๆ ในหัวใจเริ่มฟุ้งซ่านไปครู่ใหญ่

ในประวัติศาสตร์ ครั้งหนึ่งเคยปรากฏสุดยอดตัวตนที่ทรงพลังขึ้น คนผู้นั้นเคยได้ออกสำรวจร่องรอยบางอย่าง และบังเอิญค้นพบความลับนี้ของตระกูลเมดิซีเข้า

ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะลอบเข้ามาที่นี่เพียงลำพัง

แต่ใครจะรู้ เมื่อเขาได้ก้าวเข้ามาอยู่หน้าประตูบานนี้ เขากลับเสียชีวิตลงอย่างกะทันหัน?

ทุกคนที่แข็งแกร่ง ไม่ว่าผู้ใดก็ตาม เมื่อเผชิญหน้ากับประตูบานนี้ ต่างก็จมลงสู่การหลับใหลชั่วนิรันดร์

มีเพียงเฉพาะคนของตระกูลเมดิซีเท่านั้นที่จะสามารถเข้าสู่วิหารเบื้องหลังประตูบานนี้ได้อย่างปลอดภัย

อย่างไรก็ตาม ตระกูลเมดิซีกลับไม่เคยประสบความสำเร็จในการปลุกเทพแห่งความตายเลย

เหล่าผู้นำตระกูลเมดิซีมากมายที่ฉลาดและหลักแหลมต่างพยายามเค้นสมองอย่างสุดกำลังเบื้องหน้าประตูบานนี้ ก่อนที่พวกเขาจะเดินเข้าไปและทำมันออกมาให้ดีที่สุด

พวกเขาพยายามที่จะปลุกเทพแห่งความตายที่กำลังหลับใหลอยู่ โดยบางคนถึงขั้นการฆ่าตัวตายเพื่อบูชายัญตนเองเบื้องหน้าแท่นบูชา

ทว่าผลลัพธ์ก็คือ มันยังคงไม่สามารถทำงานได้อยู่ดี

และแอนนาคงจะไม่เลือกทำเช่นนั้น

เธอกำสัญญาชีวิตที่แขวนอยู่บนคอ กลืนน้ำลายลงอึกใหญ่ ก่อนจะกล่าวกับประตูโลหะสีทะมึนด้วยความจริงจัง

“ตัวข้า ผู้ที่ได้ทำสัญญากับเทพแห่งความตาย ผู้นำตระกูลคนใหม่ของเมดิซี แอนนา เมดิซี ร้องขอที่จะเข้าสู่พระวิหาร!”

สัญญาชีวิตดูเหมือนว่าจะสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง ทันใดนั้นจู่ๆ อุณหภูมิของมันก็ดิ่งวูบลงจนเย็นเยียบ

เกร๊ง!

เสียงของประตูโลหะสีทะมึนที่ถูกเปิดออก

ทันทีที่มันเปิดออก แอนนาก็เดินเข้าไปในประตูอย่างรวดเร็ว

มีแค่เพียงความมืดมิดที่รายล้อมอยู่รอบตัวเธอ

ท่ามกลางความเงียบอันแสนจะน่าอึดอัดที่เพียงแค่จะหายใจก็ยังรู้สึกยากลำบาก

นี่คือวิหารของเทพแห่งความตายที่กำลังหลับใหล

แอนนาเหยียดนิ้วออกไปและดีดมัน

เป๊าะ!

เปลวไฟเล็กๆ ปรากฏขึ้นบนนิ้วของเธอ มันสว่างไสวส่องสะท้อนให้เห็นถึงใบหน้าอันงดงามของตนเอง

แอนนาสะบัดนิ้วมือของเธอ

และเปลวไฟที่ว่าก็ลอยออกจากนิ้วมือ ยกระดับขึ้นไปกลางอากาศ ก่อนจะลุกพรึ่บ! กลายเป็นเปลวไฟก้อนใหญ่ที่ลุกโชติช่วง

ตลอดทั้งวิหารบังเกิดแสงสว่างเจิดจรัส

แอนนาหันไปมองรอบๆ

ถึงแม้ว่าเธอจะได้รู้จักสถานที่แห่งนี้ผ่านทางบันทึกของตระกูลมาก่อนแล้ว ทว่าพอได้มาเห็นของจริง แอนนาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตกใจเล็กน้อย

ในสายตาเธอ ปรากฏรูปปั้นหินของมนุษย์ทั้งสิบสองตนที่มีความสูงระดับเดียวกันกับตึกสิบชั้น

สิบสองรูปปั้นหินล้วนถือเคียวยาวสีทมิฬ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของพลังอำนาจที่ใช้ขับไล่วิญญาณชั่วร้าย และปกป้องสิ่งมีชีวิตทั้งมวล

หัวของรูปปั้นหินทุกคนถูกแกะสลักให้สวมใส่หน้ากากหัวสุนัข ซึ่งนี่บ่งบอกถึงหมายความที่ว่า มันได้กลืนกินร่างกายที่มีมลทินของคนตายและชำระจิตวิญญาณให้บริสุทธิ์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

อีกาดำและสุนัข เป็นผู้รับใช้ของเทพแห่งความตาย และคอยทำหน้าที่ต่างๆ แทนเทพแห่งความตายที่กำลังหลับใหลอยู่

รูปปั้นเหล่านี้ล้วนเป็นเทพสุนัข

สิบสองรูปปั้นหินยืนอยู่ทางซ้ายและขวา รายล้อมรอบแท่นสูงที่อยู่ใจกลางพระวิหาร

มันเป็นแท่นบูชาที่สูงโดดๆ แลดูคล้ายกับหอคอย และไม่มีบันไดที่จะใช้เดินขึ้นไป

นี่คือสถาปัตยกรรมของวิหารศักดิ์สิทธิ์ของเทพแห่งความตาย

ในแต่ละวิหารทั้งหลาย จะมีเพียงวิหารแห่งนี้เท่านั้นที่ท่านเทพได้ปรากฏกายขึ้น

นี่คือแท่นบูชาเทพแห่งความตาย

ที่ไม่ว่าสาวกคนใดก็มิได้รับอนุญาตให้ขึ้นไปยังแท่นบูชาได้ เพราะที่นั่นคือตำแหน่งสูงสุดของเทพ และมนุษย์ไม่สามารถล่วงละเมิด

นี่คือคำอธิบายที่อยู่ในบันทึกของตระกูลเมดิซี

กล่องสมบัติแห่งความตายก็อยู่บนแท่นบูชาเช่นกัน

หากใครก็ตาม ประสบความสำเร็จในการปลุุกเทพแห่งความตาย เทพแห่งความตายก็จะปรากฏกายขึ้นบนแท่นบูชา จากนั้นก็ทำการเปิดหีบสมบัติที่วางอยู่ออกและมอบสมบัติอันล้ำค่าให้

แอนนาเดินไปยังใต้แท่นสูง

เธอก้มลงมอง

ปรากฏร่องรอยไหม้เกรียมสีเทาด่าง และคราบเลือดสีดำแห้งๆ อยู่บนพื้น

และในมุมๆ หนึ่งก็มีกระดูกของคนตายหลายคนกองรวมๆ กันอยู่

กองกระดูกเหล่านี้ล้วนเป็นผู้สืบทอดของตระกูลเมดิซีที่พยายามจะร้องขอให้เทพแห่งความตายจุติลงมา

แอนนาเงยหน้าขึ้นมองเบื้องบน

มันคือแท่นบูชาเทพที่ถูกยกตัวขึ้น ด้วยแท่นหินที่วางเรียงกันเป็นรูปทรงกระบอก สูงขึ้นไปในอากาศโดยไร้ซึ่งขั้นบันไดให้เดินขึ้นไป

สิ่งนี้คือสัญลักษณ์ของการแบ่งแยกระหว่างพระเจ้ากับพื้นพิภพ

เป็นเวลากว่าหลายพันปีแล้วที่หอคอยสูงแห่งนี้เงียบสงัด และไม่เคยปรากฏปาฏิหาริย์ใดๆ

เมื่อเดินมาถึงแท่นบูชา แอนนาก็ประกบสองมือของเธอด้วยท่าสวดอ้อนวอนอธิษฐาน

พิธีได้เริ่มขึ้นแล้ว

แอนนาสูดหายใจเข้าลึกๆ และเริ่มร่ายคำอธิษฐานออกมาดังๆ

“ท่านผู้พิพากษาความดีและความชั่ว”

“ท่านผู้ชี้นำดวงวิญญาณ”

“ท่านผู้เก็บรักษาความลับของความตาย”

“เทพแห่งความตายที่กำลังหลับใหล”

“ตัวข้า ลูกหลานแห่งตระกูลเมดิซี ได้มาเยือนยังที่นี่เพื่อขอเข้าพบกับท่าน”

…………………………………………….