webnovel

0343 เด็กกำพร้าในเกาะหมอก(2)

ตอนที่ 343 เด็กกำพร้าในเกาะหมอก(2)

 เกาะหมอก 

สถานที่ซึ่งตั้งอยู่ท่ามกลางมหาสมุทรซากศพ และยังเป็นสถานที่เดียวในโลกทั้งใบที่มีผืนดิน 

นอกจากนี้มันเป็นสถานที่เดียวในโลก ที่มีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่อีกด้วย 

แม้ว่าสภาพอากาศจะเย็น และอุณหภูมิต่ำกว่าศูนย์องศามาหลายปีแล้ว แต่มันก็ยังคงเป็นที่เฝ้าฝันถึงของผู้คน 

ในทุกโลก ตราบใดที่รู้ถึงที่ตั้งของมันและตระหนักถึงมัน จะต้องกระหายที่จะแสวงหามันอย่างแน่นอน 

เพราะมันเป็นเกาะแห่งโชคชะตาในตำนาน 

แต่น่าเสียดาย การที่คุณจะมาถึงที่นี่ได้ คุณจะต้องตายลงก่อนครั้งหนึ่ง 

และยังเป็นความตายที่เจ็บปวดเสียด้วย 

ทุกคนที่เข้ามายังโลกของเกาะหมอก จะปรากฏตัวขึ้นท่ามกลางมหาสมุทรซากศพ 

ในมหาสมุทร แน่นอนว่าย่อมเต็มไปด้วยมอนสเตอร์ที่คอยยับยั้งขัดขวางผู้คนไม่ให้มาถึงที่นี่ได้ 

หลังจากถูกฆ่าตายโดยมอนสเตอร์ ร่างศพของผู้เดินทางก็จะลอยล่องอยู่ในทะเลลึก 

และวิญญาณเจ้าของร่างจะถูกกักเอาไว้ในร่างศพ เฝ้าทนทุกข์กระทำสิ่งใดมิได้แม้กระทั่งหายใจในห้วงทะเลลึก 

จนกระทั่งวันหนึ่งร่างศพได้หลุดพ้นจากกระแสน้ำทะเล และถูกพัดพามายังเกาะหมอก นั่นแหละคือสิ่งที่เรียกว่าปาฏิหาริย์แห่งโชคชะตา 

เพราะเกาะหมอกจะมอบชีวิตใหม่ให้กับผู้ที่มาถึง แม้ว่าคนคนนั้นจะหลงเหลือเพียงร่างศพก็ตามที 

เวลานี้ ซูเซี่ยเอ๋อก็อยู่ในเกาะหมอก 

เธอมาถึงที่นี่เพราะเลือกที่จะบินเข้าไปในทะเลหมอก 

และเธอมาถึงเกาะหมอก โดยที่ร่างกายมิได้ตกตายลง 

นี่นับว่าเป็นเหตุการณ์พิสดารครั้งแรกในรอบร้อยปี 

โชคของเธอทำให้ผู้คนนับไม่ถ้วนอิจฉาจนแทบบ้า 

ไม่ต้องกล่าวถึงหลังจากการตรวจสอบเอกลักษณ์และคุณสมบัติของเธอ ซึ่งเป็นสิ่งที่เกาะหมอกมิอาจปฏิเสธได้ 

ครั้งหนึ่งพ่อแม่ของเธอเคยเสียสละชีวิตของพวกเขาเพื่อเกาะหมอก 

แม้ว่าทั้งสองจะเป็นตัวตนที่ไม่โดดเด่น แต่พวกเขาก็นับว่าเป็นผู้มีพระคุณต่อเกาะหมอก 

ดังนั้น ลูกสาวของพวกเขา เด็กกำพร้าดวงดีที่มาพร้อมกับโชคชะตาแห่งปาฏิหาริย์นี้ แน่นอนว่าเกาะหมอกย่อมที่จะไม่ปฏิเสธ 

ตอนนี้ซูเซี่ยเอ๋ออยู่ในห้องของอาจารย์ยี่ชา 

“ในเมื่อเจ้าได้กลายเป็นนักเรียนของข้าแล้ว ก็มีสิ่งหนึ่งที่เจ้าจำเป็นจะต้องเรียนรู้” หญิงชุดคลุมดำกล่าว 

“นั่นคือการเพลิดเพลินกับความเจ็บปวด” 

เธอยื่นมือออกไป และเริ่มจั่วไพ่ขณะเดียวกันก็เอ่ยว่า “มาลองดูกันว่าเจ้าจะได้รับการลงโทษแบบใดก่อนที่เจ้าจะตายลง...เสียงที่ข้าได้ยินมันจะไพเราะขนาดไหนกันนะ” 

ซูเซี่ยเอ๋อเงียบ 

แบบนี้มันแย่แน่ๆ แล้วไม่ใช่หรือ? 

ทำไมช่วงเวลาตามแผนการที่เตรียมไว้มันถึงไม่เริ่มสักที? 

ขณะที่เธอกำลังคิด เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นในอากาศที่ว่างเปล่าบนภูเขา 

ซูเซี่ยเอ๋อลอบกำหมัดของเธออย่างลับๆ ในหัวใจกรีดร้องด้วยเสียงแห่งชัยชนะ 

ในที่สุด สิ่งที่เตรียมเอาไว้ก็มาถึง 

“ใครกัน?” หญิงชุดดำเอ่ยออกมาอย่างไม่พอใจ 

ในอากาศ ความมืดมิดที่มองไม่เห็นผุดออกมาจากท้องฟ้า และพริบตานั้นประตูขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นอย่างกะทันหัน 

ตามด้วยชุดเกราะโบราณที่เดินเข้ามาเป็นสองทิวแถวพร้อมกับถือโล่เหล็กและดาบในมือ 

ในเกราะ ไม่มีผู้ใดอยู่ภายใน 

นี่ดูเหมือนว่าจะเป็นเทคนิคมนตราไม่ทราบชนิด หรือไม่ก็คงเป็นเทคนิคเทียนซวน 

ชุดเกราะย่ำฝีเท้ามาไม่หยุด ผ่านไปสักพักมันก็มาถึงด้านบนของเนินเขา 

“ผู้ฝึกสอนยี่ชา ขออภัยที่รบกวน” เกราะส่งเสียงกฮึมฮัม 

“ผู้บังคับกฎเช่นเจ้ามาทำอะไรที่นี่?” หญิงในชุดคลุมดำถาม 

“เราสงสัยว่านักเรียนฝึกหัดได้กระทำสิ่งที่ไม่เหมาะสม” ชุดเกราะกล่าว 

“โอ๊ะโอ? แล้วมันร้ายแรงมากหรือไม่?” 

“อาจถึงขั้นต้องโทษประหารชีวิต” เกราะพูด 

“เข้าใจแล้ว งั้นก็ทำตามที่เจ้าต้องการเถอะ” หญิงชุดดำคิดเล็กน้อยและกล่าว 

เมื่อได้รับอนุญาต สองชุดเกราะก็เดินมาหยุดอยู่ข้างๆ ซูเซี่ยเอ๋อ 

“ซูเซี่ยเอ๋อสินะ?” ชุดเกราะถามเสียงหม่น 

“ฉันเอง” 

“กรมบังคับกฎต้องการเรียกเจ้าไปสอบสวน” 

ซูเซี่ยเอ๋ออดไม่ได้ที่จะเชิดหน้าขึ้น ในหัวใจของเธอเริ่มสงบ 

นี่แหละ! มันเป็นสิ่งที่เธอคาดหวังเอาไว้ แต่ก็ดูเหมือนว่าจะมาช้าไปหน่อยนะ... 

เธอกล่าว “ทำไมถึงเป็นฉันอีกแล้ว? ทำไมไม่ลงโทษพวกเธอที่กล่าวความเท็จตั้งหลายครั้งบ้าง? ทำไมอาจารย์ที่ดูแลพวกเธอถึงไม่ตำหนิพวกเธอบ้างเลย?” 

ชุดเกราะกล่าว “เวลานี้เจ้าได้ก่ออาชญากรรมโทษถึงตาย ดังนั้นผู้ฝึกสอนทั้งเจ็ดจึงได้มาถึงแล้ว” 

หญิงชุดคลุมดำเอ่ยถามด้วยความสนใจ “ถึงขั้นเรียกผู้ฝึกสอนทั้งเจ็ด แถมยังเป็นอาชญากรรมโทษถึงตาย...ดูเหมือนว่าเจ้าจะทำอะไรบางอย่างที่ข้าไม่รู้มาสินะ” 

ซูเซี่ยเอ๋อหันไปมองเธอ และอ้อนวอน “ได้โปรดช่วยหนูด้วย” 

หญิงชุดคลุมดำคนเดิมยังคงลังเลอยู่บ้าง แต่เมื่อได้ยินคำพูดที่เปรียบดั่งคำสารภาพนี้ เธอก็ยิ้มเยาะออกมาและโบกมือเบาๆ “ไม่เป็นไรหรอก เจ้าควรจะไปยอมรับโชคชะตาของตนซะ ส่วนข้าจะคอยกังวลอยู่ห่างๆ เอง” 

“ซูเซี่ยเอ๋อ โปรดติดตามข้าไปยังกรมบังคับกฎแต่โดยดี มิฉะนั้นพวกเราคงต้องใช้กำลังพาตัวไป” ชุดเกราะพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา 

ซูเซี่ยเอ๋อนิ่งงันไม่ตอบอยู่ครู่หนึ่ง  ชุดเกราะแปดตัวจึงเข้ารายล้อมเธอ ปิดหนทางจนเธอไม่มีโอกาสหลบหนีเลย 

แต่ตรงกันข้าม ซูเซี่ยเอ๋อกลับมิได้ตื่นตระหนก 

“กรุณานำทางฉันด้วย ฉันต้องการจะดูว่าพวกเขาจะจัดการกับฉันอย่างไร” เธอกล่าวอย่างสงบ 

เธอเดินเข้าไปบนท้องฟ้าพร้อมกับชุดเกราะ และหายไปจากภูเขานี้ 

หญิงชุดดำยืนอยู่สักพัก ปากบ่นพึมพำ “กรมบังคับกฎ...จะไม่สามารถเข้าไปได้หากมิได้รับเชิญ หรือว่าข้าคงไม่จำเป็นต้องลงมือด้วยตัวเองแล้ว? แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน” 

ออกจากห้องของผู้ฝึกสอนยี่ชา 

ซูเซี่ยเอ๋อก็ตามชุดเกราะที่เดินเรียงกันประกบซ้ายขวาเธอเป็นสองแถวไป ข้ามผ่านบันไดเดิมที่ลอยอยู่ในอากาศ ขณะที่เบื้องล่างมันเป็นเหวลึก 

สายลมเย็นพัดมาตลอดเวลา 

เธอควบคุมร่างกายตัวเอง และพยายามที่จะหลบเลี่ยงสายตา ไม่มองลงไปยังมารแมงมุมยักษ์ที่อยู่ในก้นเหว 

หลังจากเดินทางผ่านพ้นบันไดล่องหน ก็เป็นอุโมงค์ที่กว้างขวาง 

ในทุกๆ ไม่กี่สิบเมตร คุณจะสามารถพบเห็นคบเพลิงที่ติดอยู่บนผนัง 

พวกมันส่องสว่างในความมืด และปัดเป่าความเย็นชื้นในอากาศ 

แม้ว่าจะมีเจ็ดผู้ฝึกสอนรออยู่ แต่ซูเซี่ยเอ๋อก็ยังคงเดินช้าๆ โดยไม่ใช้พลังแม้เพียงเล็กน้อย 

นั่นเพราะมันเป็นกฎที่ต้องปฏิบัติตาม 

เนื่องจากสถาบันตั้งอยู่ในอากาศ ดังนั้นอาคารทั้งหมดที่อยู่ภายใต้จึงถูกห้ามไม่ให้ใช้พลัง 

นักเรียนไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้พลังในที่สาธารณะ 

พื้นที่ที่จะสามารถใช้พลังได้ จะมีรายละเอียดอธิบายแบบเฉพาะเจาะจง 

ด้วยวิธีนี้ สถาบันที่ซ่อนอยู่ในท้องฟ้าลึกของเกาะหมอก จึงไม่ดึงดูดมอนสเตอร์ที่ทรงพลังมาจากทั่วทุกมุมโลก 

ซูเซี่ยเอ๋อใช้เวลาไปกว่าหนึ่งส่วนสี่ชั่วโมง จึงจะมาถึงกรมบังคับกฎ 

กรมบังคับกฎเป็นสถานที่ขนาดใหญ่ เป็นสถาปัตยกรรมแบบกอธิคในยุคกลาง 

เมื่อผลักประตูเปิดเข้ามา ก็จะพบกับทางเดินตรงที่ทอดยาว นำไปสู่บัลลังก์บนบันไดสูงอันห่างไกล 

บนบัลลังก์ มีร่างแห้งกรังที่หัวห้อยตกลงมาอยู่ 

ร่างแห้งกรังแต่งกายในชุดเสื้อคลุมสีเลือด เอนตัวพิงพนักบัลลังก์ แน่นิ่งไม่ไหวติง 

เบื้องหลังเขา คือเลือดมากมายดั่งธารน้ำ ส่งผลให้ฉากเบื้องหน้าของซูเซี่ยเอ๋อช่างดูงดงาม 

ธารเลือดกินพื้นที่ทั้งหมดเบื้องหลังร่างแห้งกรัง เติมเต็มไปในทุกๆ ชั้นอากาศที่ว่างเปล่า ตั้งแต่พื้นจรดเพดาน 

กระแสเลือดไหลเชี่ยวในธารอย่างเงียบๆ ปะทะซัดสาดกันไปมา 

ธารเลือดทั้งหมดไหลผ่านอยู่ในอากาศ และไม่เคยตกลงบนพื้น 

ชายผู้ที่มีธารเลือดอยู่เบื้องหลังผู้นี้ 

คือตัวตนในตำนานของสถาบัน 

เขาคือจอมมารชุดคลุมเลือด อาวุโสบังคับกฎแห่งสถาบัน 

ในทั้งสองฟากฝั่งระหว่างเส้นทางที่ทอดยาวไปสู่บัลลังก์เลือด มีรูปปั้นมากมายวางเรียงรายกันอยู่ 

รูปปั้นเหล่านั้นมีลักษณะและท่าทีที่แตกต่างกัน และให้ความรู้สึกดุร้าย 

มีผู้หญิงหลายคนที่สวมใส่ชุดคลุมยาวยืนอยู่ตรงใจกลาง ทั้งหมดแน่นิ่งไม่ไหวติง และกำลังปลดปล่อยบรรยากาศน่ากลัวออกมา 

เมื่อพวกเธอเห็นซูเซี่ยเอ๋อเดินเข้ามา จู่ๆ ทั้งหมดก็เงยหน้าขึ้นมองเธอทันทีด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความทะนงตน 

ชุดเกราะสองแถวย่อเข่าลงข้างหนึ่ง เอ่ยรายงาน “ท่านอาวุโสบังคับกฎ อาวุโสทั้งเจ็ด พวกเราได้นำคนมาตามคำสั่งแล้ว” 

ร่างแห้งกรังบนบัลลังก์ยกศีรษะขึ้นเล็กน้อยและกล่าว “ออกไปได้” 

“รับทราบ” 

ชุดเกราะยืนขึ้นเล็กน้อย โค้งคำนับ หันหลังกลับและออกจากกรมบังคับกฎไป 

“ซูเซี่ยเอ๋อ” 

จอมมารชุดคลุมแดงเอนหลังพิงพนัก ปากเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “เจ้าได้ก่ออาชญากรรมที่มีโทษทัณฑ์ถึงตาย ตอนนี้มีอะไรจะโต้แย้งหรือไม่?” 

ซูเซี่ยเอ๋อมองอีกฝ่ายโค้งคารวะตามพิธี 

เธอเอ่ย “หนูยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าอาชญากรรมที่ว่านั่นมันคืออะไร” 

จอมมารชุดคลุมเลือดกล่าว “ลอบเรียนรู้วิชาชั่วร้าย” 

ซูเซี่ยเอ๋อหัวเราะและกล่าวว่า “วิชาชั่วร้าย? หนูไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับวิชาชั่วร้ายมาก่อนเลย” 

“แต่มีบางคนสังเกตเห็นว่าเจ้ากำลังอ่านวิชาชั่วร้ายที่ว่านั่น” จอมมารชุดคลุมเลือดกล่าว 

“เช่นนั้นโปรดให้ ‘พวกเธอ’ ออกมาเผชิญหน้ากับหนู” ซูเซี่ยเอ๋อกล่าว 

เมื่อเห็นเธอดูจะมั่นใจมาก การแสดงออกของจอมมารชุดคลุมเลือดก็แลดูจะผ่อนคลายลง เขากล่าว “พวกเจ้ามีอะไรจะพูดหรือไม่?” 

เด็กสาวหลายๆ คนที่ยืนอยู่ในมุมมุมหนึ่งต่างกันมามองหน้ากันและกัน 

“คืนหนึ่ง ในช่วงที่เรากำลังพักผ่อน หนูเห็นเธอถือสมุดเล่มเล็กๆ และตั้งใจอ่านมันอย่างขะมักเขม้นชนิดที่ว่าเธอไม่ทันสังเกตถึงตัวหนูที่เดินเข้าไปใกล้เลยด้วยซ้ำ” เด็กสาวกล่าว 

เด็กสาวอีกคนพูดต่อ “หนูบังเอิญเห็นหนึ่งในคำไม่กี่คำที่อยู่ในมุมสมุดเล่มเล็กๆ ของเธอ” 

“มันคือคำว่าอะไร?” จอมมารถาม 

“ขอบเขตฝึกยุทธ จะแบ่งออกเป็นหลายส่วน คือ ปราณปรับแต่งแล้วก็ก่อตั้ง” เด็กสาวตอบ 

ทันใดนั้น ในแถวที่เรียงรายไปด้วยรูปปั้นมากมาย มีเจ็ดรูปปั้นที่เปิดปากพูดออกมาอย่างต่อเนื่อง 

“วิชาชั่วร้าย” 

“วิชาชั่วร้าย” 

“วิชาชั่วร้าย” 

“วิชาชั่วร้าย” 

“วิชาชั่วร้าย” 

“วิชาชั่วร้าย” 

“วิชาชั่วร้าย” 

จอมมารชุดคลุมเลือดเปล่งเสียงตะโกนที่ฟังดูดุร้าย “ซูเซี่ยเอ๋อ! การเรียนรู้วิชาชั่วร้ายคืออาชญากรรม! เจ้ามีอะไรจะโต้แย้งหรือไม่?” 

กระบี่ยาวสนิมเขรอะผุดออกมาในอากาศ แม้จะลอยอยู่นิ่งๆ แต่ปลายแหลมของมันกลับจี้มายังทิศทางที่เธอยืนอยู่  

และมีเสียงร่ำไห้นับไม่ถ้วนดังออกมาจากกระบี่ 

เหล่าเด็กสาวมองหน้ากันและกัน และเห็นถึงความตื่นเต้นในแววตาของอีกฝ่าย 

มนุษย์ที่สามารถมาถึงเกาะหมอกได้ทั้งๆ ที่มีชีวิต กำลังจะตายลง 

พวกเธอหันไปดูซูเซี่ยเอ๋ออีกครั้ง และต้องการที่จะชื่นชมสีหน้าหวาดกลัว ตื่นตระหนกก่อนที่อีกฝ่ายจะสิ้นใจ 

ทว่าซูเซี่ยเอ๋อกลับยิ้มออกมาอย่างสงบ และพูดอย่างใจเย็น “คืนหนึ่ง ในช่วงที่หนูกำลังพักผ่อน หนูเห็นพวกเธอหลายคนเดินไปด้วยกันพร้อมกับถือสมุดเล่มเล็กๆเล่มหนึ่งเอาไว้ และตั้งใจอ่านมันอย่างขะมักเขม้น หนูก็เลยแอบตามไปดู และบังเอิญเห็นหนึ่งในคำไม่กี่คำที่อยู่ในมุมสมุดเล่มเล็กๆของพวกเธอ ‘ขอบเขตฝึกยุทธ จะแบ่งออกเป็นหลายส่วน คือ ปราณปรับแต่งแล้วก็ก่อตั้ง...’” 

“พวกเธออาจจะกลัวว่าหนูจะเอามาฟ้อง ดังนั้นพวกเธอจึงเริ่มลงมือก่อน ใส่ร้ายหนู เล่าความเท็จแก่อาวุโส” 

เด็กสาวๆ หลายคนโพล่งออกมาทันที “นั่นแกกำลังพล่ามอะไรไร้สาระ!” 

“ผายลม!” 

“เห็นอยู่ชัดๆ ว่านั่นมันแกต่างหาก!” 

ซูเซี่ยเอ๋อไขว้สองมือของเธอไว้ด้านหลัง และเอ่ยปากกับอีกฝ่ายด้วยท่าทีสบายๆ “ความจริงก็เป็นเช่นนี้” 

จอมมารชุดคลุมเลือดเงียบไปเล็กน้อย 

ดูเหมือนว่าจะมีใครบางคนเอาสิ่งที่ตนกระทำไม่เหมาะสม มาหลอกลวงเขาที่เป็นถึงผู้บังคับกฎและผู้ฝึกสอนทั้งเจ็ด เพื่อให้ตนมีชีวิตรอด 

เขาเปล่งเสียงหัวเราะที่ฟังแลดูเศร้าๆ ออกมาและ เอ่ยว่า “ใครก็ตามที่กล้าหลอกเรา ราคาที่มันต้องจ่ายจะไม่ใช่แค่ความผิดทางอาญา” 

เขายื่นมือออกไปและแตะม้วนคัมภีร์บนบัลลังก์ 

นั่นคือม้วนคัมภีร์สีเลือด 

“ซูเซี่ยเอ๋อจงอย่าต่อต้าน” 

หลังจากจอมมารชุดคลุมเลือดกล่าว เขาก็โยนม้วนคัมภีร์ออกไปเบาๆ 

ม้วนคัมภีร์ถูกเผาไหม้ แต่ทว่ามิได้เป็นเถ้าถ่าน พวกมันแตกกระจายเป็นด้ายสีเลือด หมุนวนไปรอบๆ ตัวซูเซี่ยเอ๋อก่อนที่จะบินกลับมาบนบัลลังก์ 

ตามด้วยสมุดเล่มเล็กที่ปรากฏขึ้นในมือของจอมมารชุดคลุมเลือด 

“ในห้องของเจ้า มีสมุดเล่มเล็กๆ นี่ซ่อนอยู่” จอมมารชุดคลุมเลือดกล่าว 

“สมุดเล่มนั่นแหละ!” เหล่าเด็กสาวตะโกนเสียงดังฟังชัด 

ซูเซี่ยเอ๋อเงียบ ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป 

จอมมารชุดคลุมเลือดคว้าสมุดเล่มนั้น แล้วพลิกมันอ่านในมือของเขา 

ทันใดนั้นเสียงของเขาก็อ่อนโยนลงอย่างกะทันหัน “พ่อแม่ของซูเซี่ยเอ๋อถูกฆ่าตายในสงคราม และเสียสละชีวิตของพวกเขาเพื่อสถาบัน” 

“สมุดเล่มนี้ คือบันทึกในชั้นเรียนของแม่เธอ” 

“ข้าจดจำได้ว่าผู้หญิงคนนั้น เธอเป็นนักเรียนที่ฉลาด...ขอข้าดูมันอย่างรอบคอบอีกสักครู่...” 

“มิผิดแล้ว ในชั้นเรียน มันมีเนื้อหาที่สอนเกี่ยวกับแหล่งกำเนิดของแต้มพลังวิญญาณจากทุกโลกอยู่” 

“ในเวลานั้น จริงๆ แล้วข้าเองที่เป็นผู้สอน ที่รู้ก็เพราะว่าในบันทึกนี้เขียนถึงความเข้าใจและมุมมองของข้าเกี่ยวกับแหล่งกำเนิดแต้มพลังวิญญาณของโลก แต่เด็กสาวในตอนนั้นกลับจดจำมันได้ และเขียนทุกอย่างลงไป” 

น้ำเสียงของจอมมารชุดคลุมเลือดดูจะอบอุ่นขึ้นเล็กน้อย 

“คำถามและคำตอบของข้า อืม...ถูกต้อง ข้ามักจะตอบอธิบายไปแบบนี้...” 

“ช่างเป็นนักเรียนที่ดีจริงๆ” 

จอมมารชุดคลุมเลือดถอนหายใจด้วยอารมณ์ เขาปิดสมุดเล่มเล็กๆ แล้วหันไปมองซูเซี่ยเอ๋อ

………………..………………..