webnovel

0332 นักล่า

ตอนที่ 332 นักล่า 

ท่ามกลางผืนป่าบนภูเขา 

เต็มไปด้วยความเงียบสงัด 

กระต่ายตัวหนึ่งโผล่หัวออกมา และกำลังเคี้ยวบางสิ่งบางอย่างอยู่ในปากของมัน 

มันกระโดดไปข้างหน้า และหันความสนใจไปมองยอดหญ้าที่พัดไปตามแรงลมเป็นครั้งคราว 

กระต่ายกระโดดขึ้นอีกครั้ง แต่ทันใดนั้นจู่ๆ มันก็ถูกมือข้างหนึ่งคว้ากุมสองหูเอาไว้ 

แล้วก็ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน พอเจ้ากระต่ายถูกจับได้ มันก็สั่นสะท้านไปทั้งตัวและมิกล้าขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย 

ซางหยิงฮ่าวยื่นกระต่ายไปให้ถงถงที่อยู่เบื้องหลังเขา 

“มันน่ารักไหม?” เขาเอ่ยถาม 

“น่ารักมากๆ เลย!” 

ถงถงกอดกระต่ายไว้ในอ้อมแขนอย่างมีความสุข และเอ่ยต่อ “เขาว่ากันว่ารสชาติของวัตถุดิบจากป่าจะดีกว่าปกติ หนูชักอยากจะกินมันซะแล้วสิ” 

“โอ๊ย เด็กสาวตัวน้อย พูดจาไม่น่ารักเหมือนหน้าตาเอาซะเลย” ซางหยิงฮ่าวกล่าว 

ทันใดนั้นน้ำเสียงเย็นชาก็ดังขึ้น “บอส จางเพ่ยเจี่ยยิง ‘มนุษย์กระดาษ’ ของผม” 

ซางหยิงฮ่าวหันไปมองตามเสียง 

แล้วเขาก็พบกับมนุษย์กระดาษสามคนที่ยืนอยู่บนผืนหญ้า 

และหนึ่งในมนุษย์กระดาษที่ว่ามีหน้าตาเหมือนกับซางหยิงฮ่าว 

พร้อมกับปรากฏรูสีดำบนหน้าผาก มันเป็นรูที่เกิดจากกระสุนปืน 

ชายอ้วนที่ยืนอยู่ข้างๆ มนุษย์กระดาษเอื้อมมือของเขาออกไปและใช้นิ้วแตะลงบนมัน 

ทันใดนั้นมนุษย์กระดาษซางหยิงฮ่าว ก็ถูกเผาไหม้เป็นเถ้าถ่านทันที 

“เขามีผู้คุ้มกันยี่สิบสี่คนอยู่รอบตัว และแม้เจ้าตัวจะดูเหมือนว่ามีพลังและอิทธิพลค่อนข้างมาก แต่ผมกลับรู้สึกได้ว่าเขากำลังหวาดกลัวความตาย” ชายอ้วนกล่าว 

“นี่...แล้วจอมพลพูดอะไรกับฉันบ้าง?” ซางหยิงฮ่าวเอ่ยถาม 

“ผมควบคุมมนุษย์กระดาษของบอสและโน้มน้าวให้เขาชะลอสงครามออกไป แต่หลังจากที่เขาได้อ่านจดหมายลับ เขาก็หันมาพูดอะไรบางอย่างกับร่างกระดาษของคุณ” 

เมื่อเล่าถึงจุดนี้ ชายอ้วนก็ทนไม่ไหวจนต้องหัวเราะออกมาดังๆ 

“เขาพูดว่าอะไร?” ซางหยิงฮ่าวเอ่ยถาม 

“ไอ้ก้อนขี้เอ๊ย!” ชายอ้วนกล่าว 

ซางหยิงฮ่าวยกมือขึ้นเกาหัวของเขา 

นักฆ่ารอบตัวต่างผุดรอยยิ้มขึ้นมาตรงมุมปาก 

นี่มันก็หลายปีมาแล้วที่พวกเขาไม่ได้เห็นบอสของตัวเองถูกกระทำราวกับถูกลากไปตบกลางสี่แยก ในหัวใจของพวกเลยรู้สึกบันเทิงอย่างลับๆ 

ซางหยิงฮ่าวครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนจะเปิดสมองควอนตัมและเอ่ยถามว่า “เทพธิดากงเจิ้ง คุณสามารถช่วยฉันทำน้ำยาพันธุกรรมเล็กๆ น้อยๆ ในการศัลยกรรมใบหน้าจะได้ไหม?” 

“เกรงว่ามันจะสายเกินไป อีกสิบเก้านาทีต่อจากนี้ ฟูซีจะส่งกองกำลังติดอาวุธเคลื่อนพลถึงชายแดน และสงครามก็จะเริ่มต้นขึ้น” เทพธิดากงเจิ้งกล่าว 

“เวลาค่อนข้างรวบรัดจริงๆ” 

ซางหยิงฮ่าวยกมือขึ้นมองนาฬิกาของเขาและถอนหายใจออกมา “ดูเหมือนว่าฉันคงจะต้องใช้วิธีแบบโบราณซะแล้วสิ” 

“ถงถง” 

“หือ” 

“ช่วยไปเอา ‘ใบหน้า’ของชายคนนั้นให้ฉันหน่อยสิ” 

ถงถงไม่ได้ตอบอะไร แต่ชายอ้วนก็เดินมากระซิบกับเธออย่างเงียบๆ “มนุษย์กระดาษของเธอถูกขังอยู่ในห้องของเขา” 

ถงถงอ้าปากค้างทันทีและพูดออกไปว่า “จริงๆ แล้วคุณมันเป็นคนโรคจิตแบบนี้เองอย่างนั้นหรือ!?” 

“ไม่ใช่ฝีมือผมที่เลือกจะเสนอตัวเองนา แต่เป็นฝีมือของจอมพลที่ลากร่างกระดาษของเธอไปด้วยตัวเองต่างหาก” ชายอ้วนเร่งเอ่ยปกป้องตัวเองอย่างรวดเร็ว 

“บอส ถ้าหนูฆ่าจอมพลคนนั้นเลยจะได้ไหม?” ถงถงเอ่ยถาม 

“ถ้านั่นเป็นสิ่งที่เธอต้องการ มันก็ได้อยู่หรอก แต่การฆ่าเขาไม่ได้อยู่ในเงื่อนไขภารกิจ เงินที่ได้อาจจะลดลงเอานะ” ซางหยิงฮ่าวกล่าวทันที 

“งั้นก็ลืมมันเถอะ” ถงถงกล่าวอย่างไม่ยี่หร่ะ “ถ้าอย่างนั้นหนูจะฝากความทรงจำที่จะไม่มีวันลืมไปชั่วชีวิตให้แก่เขาเอง” 

“จับเวลาด้วยล่ะ เธอมีเวลาเจ็ดนาที” 

“รับทราบ บอส” ถงถงกล่าว

 กระต่ายในอ้อมแขนเธอวางแหมะลงในมือของนักฆ่าอีกคนหนึ่ง 

ถงถงหยิบสองมีดสั้นคมกริบขึ้นมา ใช้พวกมันมัดปมผมเป็นหางม้า มุมปากโค้งสูงขึ้น และย่ำเท้าเล็กน้อยกระโจนขึ้นไปในอากาศ 

และในพริบตา เธอก็แปรสภาพร่างตนเองเป็นอีกาสีดำ สยายปีกมุ่งหน้าตรงไปยังทิศทางค่ายทหาร 

“สุดท้ายแล้วถงถงก็ยังเป็นเด็กอยู่ดี ช่วยส่งคนไปสักคนสองคนเพื่อปกป้องเธอด้วย” ซางหยิงฮ่าวเอ่ยสั่ง 

และร่างสองร่างก็วูบหายไปจากสายตา 

ซางหยิงฮ่าวเอ่ยสั่งอีกครั้ง “พุงพลุ้ย ที่เหลือขึ้นอยู่กับนายแล้วนะ” 

ชายอ้วนขมวดคิ้วทันทีและกล่าวว่า “ไม่เอาน่าบอส ผมถ้าเป็นเมื่อซักเดือนสองเดือนก่อนผมยังพอกล้าหือกับชายแก่อย่างเขาอยู่หรอก แต่ตอนนี้คงไม่กล้าแล้ว” 

“ทำไมล่ะ?” 

“บอสก็รู้นี่นา ว่าเมื่อไม่นานมานี้ท่านเทพนักสู้พึ่งจะได้เรียนรู้วิธีฝึกฝนอันลึกลับมา ทำให้ความแข็งแกร่งของเขาพุ่งทะยานขึ้นอย่างรวดเร็ว น่ากลัวว่าแค่ฝีมือของผม ไม่นานคงถูกเขาจับไต๋ได้ในที่สุด” 

ซางหยิงฮ่าวหันไปมองรอบๆ และเหล่าคนในชุดดำทุกคนต่างก็พากันหลบสายตาของเขาเป็นเชิงบอกปัดปฏิเสธ 

เขาบ่นอุบออกมา “ก็แค่ช่วยออกหน้ารับมือกับเขาเพื่อถ่วงเวลานิดๆหน่อยๆเท่านั้นเอง ถ้าพวกนายเคยสู้กับฉันได้ก็ต้องสู้กับเทพนักสู้ได้สิ...ไม่มีใครคิดจะคว้ารับโอกาสดีๆ ที่หาได้ยากยิ่งแบบนี้ไว้เลยเหรอ” 

ไม่มีใครตอบเขา 

ชายอ้วนกระซิบ “ถึงจะใช้ชีวิตเป็นนักฆ่า แต่ก็ยังรักชีวิตเหมือนกันนะบอส” 

… 

ณ เขตชายแดน 

น้ำแข็งค้างค่อยๆ เข้าปกคลุมพื้นดิน 

บนเนินเขา ไอน้ำจากความร้อนของเหล็กกล้าสีดำกำลังเหยียบย่ำอยู่บนน้ำแข็ง เคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูง 

นี่คือกองทัพเกราะรบขับเคลื่อนแห่งฟูซีที่กำลังเคลื่อนพล พวกเขาล้วนเป็นทหารแนวหน้าชั้นหนึ่ง และเป็นกองกำลังทหารในตำนานที่มักจะคอยนำทัพอยู่เสมอมา 

ทั้งหมดค่อยๆ ข้ามผ่านภูเขา วิ่งลงเนิน และมุ่งหน้าเข้าสู่ชายแดนของรัฐบาลกลาง 

ขบวนทัพมุ่งไปอย่างรวดเร็ว กระบวนการทั้งหมดดำเนินการเป็นไปอย่างราบรื่น 

กองทัพเคลื่อนพลไปข้างหน้าอย่างเงียบๆ ทุกคนต่างประจำตำแหน่งของตนอย่างขันแข็ง ควบคุมเกราะรบด้วยความเชี่ยวชาญ 

ในช่องทางการสื่อสารทางกองทัพ ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่กล้าพูดออกมาเพียงครึ่งคำ 

เพราะมีจอมพลจางเพ่ยเจี่ยอยู่ในกองทัพด้วย 

เขามุ่งไปยังเบื้องหน้าร่วมกับกองทัพหุ่นรบของฟูซี  

จู่ๆ เจ้าตัวก็บอกว่าต้องการที่จะเห็นศัตรูด้วยตาตัวเอง แล้วเขาก็มา 

ช่างเป็นคนที่พอคิดแล้วก็ลงมือปฏิบัติทันที...มุ่งมั่นจริงจังโดยแท้ 

และวันนี้ ดูท่าว่าเขาคงกำลังอารมณ์ไม่ดี เหมือนกับว่าถูกขัดจังหวะอะไรบางอย่าง ดังนั้นจึงไม่มีใครกล้าพูดอะไรออกมา เพราะเกรงว่ามันจะไปกระตุ้นต่อมน้ำโหของเขา 

มีข่าวลือแพร่กระจายไปทั่วว่า ในวันนี้เขาได้พบกับราชทูตทั้งสามที่ถูกส่งมาโดยจักรพรรดินี 

เมื่อทั้งสองฝ่ายปิดประตูคุยกัน ก็บังเกิดการปะทะคารมกันอย่างรุนแรงขึ้น เขาก่นด่าราชทูตของจักรพรรดินีอย่างร้ายกาจ กระแทกประตูไล่ราชทูตออกไป  

และจากนั้นท่านจอมพลก็ได้ลั่นไกสังหารหนึ่งในสามทูตที่มาด้วยกัน ณ ตรงจุดนั้น อีกหนึ่งถูกนำไปคุมขัง อีกหนึ่งถูกจับแยกตัวออกไป 

และม่านเหล็กก็ค้นพบถึงข้อพิพาทเล็กๆ น้อยๆ นี้เช่นกัน 

ในฐานะที่เป็นจักรกล AI ทหารขั้นสูงสุดของสาธารณรัฐฟูซี ระหว่างที่จอมพลละเลยการปฏิบัติหน้าที่ มันจึงส่งคำสั่งข้ามหัวจอมพลโดยตรง และสั่งการไปยังหุ่นรบทั้งหมด 

ทหารทุกคนจะถูกสั่งให้เริ่มทำการโจมตีอย่างเต็มกำลัง และไม่สามารถล่าถอยได้หากมิได้รับอนุญาต มิฉะนั้นจะถูกถือว่าเป็นกบฏ! 

มันเริ่มต้นสั่งการต่อสู้ด้วยตนเอง 

จอมพลผู้ยิ่งใหญ่กลับถูกข้ามหน้าข้ามตาโดยปัญญาประดิษฐ์เช่นนี้ จึงย่อมพอที่จะจินตนาการได้ถึงไฟที่คุกรุ่นอยู่ในจิตใจของเขา 

แค่มองไปยังเขาก็เห็นได้ชัดว่ามันแทบจะกำลังระเบิดออกมาอยู่รอมร่อแล้ว 

แต่ผู้ใต้บังคับบัญชาคนสนิทของจอมพลหลายคนดูเหมือนจะไม่รังเกียจที่จะเอ่ยปากกล่าวถึงเรื่องการปะทะคารมกับราชทูตที่ว่านี้ 

นั่นเพราะพวกเขาต้องการให้ทุกคนรับรู้ว่าท่านจอมพลได้ตัดสินใจที่จะปฏิบัติตามรอยเท้าขององค์จักรพรรดิ 

อีกด้านหนึ่ง 

ก่อนที่จะถึงทางขึ้นภูเขา 

กองกำลังติดอาวุธล่วงหน้าของรัฐบาลกลางก็ได้มาถึงแล้ว 

กองกำลังล่วงหน้าที่มาถึงอย่างเร่งรีบเช่นนี้ กำลังรบแน่นอนว่าย่อมอ่อนด้อยกว่าปกติ 

เมื่อกองกำลังนี้ปะทะเข้ากับกองทัพของฟูซี โชคชะตาของพวกเขาคือพ่ายแพ้อย่างยับเยินเท่านั้น 

ทว่าเมื่อชายคนหนึ่งได้ปรากฏตัวขึ้น ทุกอย่างจึงแตกต่างออกไป 

ทหารที่นั่งอยู่ในหุ่นรบ มักจะพากันปรับภาพฉายโฮโลแกรมไปยังมุมที่ชายผู้นั้นยืนอยู่ และเฝ้าสังเกตเขาอย่างเงียบๆ 

นี่คือไอดอลในใจของชายชาติทหารทุกคน 

ที่จริงๆ อายุล่วงเลยมาถึงวัยกลางคนแล้ว 

คิ้วดกหนา ดวงตาดั่งอินทรีย์ ผิวเข้ม และมีร่างกายยืดตรงราวกับหอก 

เครื่องแบบชุดทหารสีเขียวเข้ม รองเท้าบูตสีดำ และสายสะพายไหล่เป็นดาบยาวและโล่ ซึ่งดาบยาวและโล่เป็นตัวบ่งบอกยศทหารระดับนายพล! 

เขานั่งอยู่บนไหล่ของหุ่นรบที่มีขนาดความสูงกว่าห้าเมตรอย่างเงียบๆ ในปากคาบมวนบุหรี่ ขณะที่สองตาสาดส่องไปยังภูเขานอกชายแดนอย่างสงบ 

ตามข้อมูลจากหน่วยข่าวกรอง หุ่นรบกองพันที่สี่สิบเจ็ดแห่งฟูซีจะมาถึงก่อนเป็นกลุ่มแรก 

สงครามระหว่างสองประเทศจะเริ่มขึ้นทันทีที่หุ่นรบขับเคลื่อนกว่าแปดพันชุดปรากฏตัวขึ้นบนภูเขา 

ซางซ่งหยางลอบถอนหายใจอย่างลับๆ 

รัฐบาลกลางตกอยู่ในสันติภาพมาเป็นระยะเวลานาน ดังนั้นยุทโธปกรณ์ส่วนใหญ่จึงถูกทิ้งร้างไปตามกาลเวลา 

ในทางตรงกันข้าม สาธารณรัฐฟูซีกลับเตรียมพร้อมเข้าสู่สงครามทุกเมื่อ ภายใต้การนำขององค์จักรพรรดิ พวกเขาซุ่มซ้อม ฝึกฝนอย่างหนัก จำลองสถานการณ์ต่อสู้หากเกิดขึ้นจริง ดังนั้นแล้วในด้านกำลังรบ อีกฝ่ายย่อมเข้มแข็งยิ่งกว่ารัฐบาลกลาง 

ตอนนี้เขาคงทำได้แค่เพียงพึ่งตัวเองไปก่อนเท่านั้น 

‘ฉันหวังว่าตัวเองคงจะสามารถต้านทานกองกำลังไปอีกสักพัก เพื่อซื้อเวลาให้กำลังรบชุดใหญ่ของรัฐบาลกลางทั้งหมดมาสมทบ’ 

เพียงแค่คิด จุดสีดำก็ปรากฏขึ้นบนเนินเขา 

รูม่านตาของซางซ่งหยางหดลีบลง 

สีดำ คือสีที่ใช้กันทั่วไปสำหรับเกราะรบขับเคลื่อนของฟูซี 

หลังจากที่จุดดำนี้ปรากฏขึ้น ก็ตามด้วยอีกจุดดำหนึ่งผุดออกมา 

ตามต่อด้วยจุดสีดำนับไม่ถ้วนที่ปรากฏขึ้นทีละจุด ทีละจุด 

เกราะรบขับเคลื่อนปกคลุมไปทั่วทั้งเนินเขา และส่งเสียงคำรามของเครื่องจักรขึ้นบ้างเป็นครั้งคราว 

หลายพันเกราะรบสีดำเริ่มก้าวเข้าสู่ชายแดนของรัฐบาลกลาง 

เทพนักสู้โยนบุหรี่ทิ้ง ผุดลุกขึ้นยืน ปากอ้าตะโกนลั่น “เตรียมตัวต่อสู้เพื่อสหพันธรัฐรัฐบาลกลาง!” 

“เพื่อสหพันธรัฐรัฐบาลกลาง!” เหล่าทหารต่างตะโกนตาม 

หุ่นรบตัวหนึ่งเปล่งเสียงคำราม และพร้อมที่จะจู่โจมทุกขณะ 

เทพนักสู้กำลังจะก้าวเป็นผู้นำในการต่อสู้ แต่เขากลับเห็นฉากแปลกๆ ขึ้นบนเนินเขา 

หุ่นรบสีดำผุดแยกออกมาจากฝูงชน และวิ่งตรงมาข้างหน้าฝุ่นตลบ 

และหุ่นรบสีดำก็เปิดค็อกพิทออก ตามด้วยเจ้าหน้าที่ของฟูซีในชุดสีดำกระโดดออกมายืนบนไหล่ของหุ่นรบ 

เจ้าหน้าที่ฟูซีตะโกนไปทางนายพลซาง “จอมพลจางเพ่ยเจี่ยแห่งสาธารณรัฐฟูซี ขอท้าต่อสู้เป็นตายกับเทพนักสู้ซางซ่งหยางแห่งรัฐบาลกลาง!” 

บังเกิดเสียงร้องดั่งสายฟ้าฟาด สั่นสะเทือนจิตใจของผู้พบเห็น 

เมื่อถึงช่วงเวลาสำคัญ กลับเกิดปรากฏการณ์หนึ่งขึ้นมาอย่างกะทันหัน 

กองทัพทางฝั่งรัฐบาลกลางทั้งหมดได้หยุดฝีเท้าลง 

เกราะรบขับเคลื่อนนับพันบนภูเขาก็หยุดชะงักลงเช่นกัน 

ทหารของทั้งสองประเทศได้หยุดการเคลื่อนไหวลงในขณะนี้ 

การท้าทายเป็นตายระหว่างนายพลอาวุโสจากทั้งสองฝ่าย น้อยครั้งนักที่จะบังเกิดขึ้น 

แต่ทว่าเมื่อสิ่งนี้เกิดขึ้นแล้ว ก็กล่าวได้ว่านายพลทั้งสองจะเปรียบดั่งตัวแทนของเกียรติยศและศักดิ์ศรีของประเทศชาติ 

ในฐานะที่เป็นทหาร ไม่ว่าใครหากได้รับคำท้าก็ย่อมไม่มีทางหลบลี้หนีถอย และเขาจะต้องพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อสังหารอีกฝ่ายลง มิเช่นนั้นก็จะเป็นเขาเสียเองที่ต้องตกตาย 

มันคือการต่อสู้ระหว่างนายพลและจอมพล ที่เป็นตัวแทนของชัยชนะระหว่างประเทศ 

ตามกฎของสนามรบแล้ว จะไม่มีใครสามารถเข้าไปก้าวก่ายการต่อสู้ในระดับสูงสุดนี้ได้ 

ม่านเหล็กยังคงนิ่งเงียบ และเทพธิดากงเจิ้งก็ไม่คิดข้องแวะ 

มีการดวลเกิดขึ้นนับครั้งไม่ถ้วนในประวัติศาสตร์มนุษย์ 

ในความเป็นจริงแล้ว ทุกการต่อสู้ดังกล่าว ล้วนมีผลกระทบเป็นอย่างมากต่อทิศทางของสงคราม 

ม่านเหล็กและเทพธิดากงเจิ้งในขณะนี้ แม้จะกำลังระดมกองทัพอย่างเข้มข้น และก็ยังเลือกที่จะเพ่งความสนใจมายังการดวลในครั้งนี้ 

ดวงตาดั่งอินทรีย์ของซางซ่งหยางหรี่แคบลง จับจ้องไปยังฝั่งตรงข้าม 

เขามิได้พานพบศัตรูที่กล้าหาญแบบนี้มานานหลายปีแล้ว 

“แล้วคุณต้องการท้าทายแบบไหน” ซางซ่งหยางเอ่ยถาม 

“ต่อสู้ด้วยหุ่นรบ” จางเพ่ยเจี่ยกล่าว 

“ตกลง ถ้านั่นคือสิ่งที่คุณต้องการ” 

ซางซ่งหยางเข้าไปในหุ่นรบของเขา 

จางเพ่ยเจี่ยก็ตอบสนองเช่นกัน เขากระโดดลงไปในค็อกพิท และปิดฝาลง 

เสียงจากทั้งสองฟากฝั่ง ค่อยๆ ดังกึกก้องขึ้นเรื่อยๆ 

“เทพนักสู้! เทพนักสู้! เทพนักสู้!” 

“ท่านจอมพล! ท่านจอมพล! ท่านจอมพล!” 

กองทัพของทั้งสองประเทศต่างพากันระเบิดเสียงร้องคำรามออกมา 

เกราะรบขับเคลื่อนสีดำเริ่มเปิดฉากลงมือก่อนเป็นตัวแรก 

มันย่ำเดินลงไปข้างหน้า ลดระดับลงไปตามไหล่เขา 

ขณะที่วิ่ง หุ่นรบก็ได้ทำการปลดอาวุธบนร่างกาย 

ปืนกลแก็ตลิ่ง มีดโมเลกุลความถี่สูง ระเบิดคลื่นกระแทกระยะไกล ปืนใหญ่เลเซอร์ขนาดเล็ก กระสุนและระเบิดเจาะเกราะ... 

อาวุธเหล่านี้ถูกปลดออก และกลิ้งส่งเสียง’ เคร้ง เคร้ง’ ลงตามทางลาดเขา 

หลังจากถอดอุปกรณ์เสริมทั้งหมดแล้ว ความเร็วของหุ่นรบทั้งหมดก็เพิ่มขึ้นกว่าสามส่วน 

และหุ่นรบก็ยังคงเร่งความเร็วขึ้นอย่างต่อเนื่อง 

ท่ามกลางเสียงคำรามของเครื่องยนต์ หุ่นรบสีดำทะยานข้ามเหนือภูเขาสูง พุ่งตรงไปยังเทพนักสู้ 

“น่าสนใจดีนี่” 

ซางซ่งหยางมองไปยังการกระทำของอีกฝ่าย ในหัวใจของเขาก็บังเกิดความตระหนักชัด 

เป็นการต่อสู้กันด้วยหุ่นรบอย่างเดียวสินะ? 

และเขาก็ไม่มัวเสียเวลาคิดมาก ทำการตัดสินใจในทันที 

เห็นแค่เพียงอาวุธทั้งหมดที่ถูกติดตั้งไว้ทั่วร่างของหุ่นรบสีเขียวที่จู่ๆ ก็ตกลงไปบนพื้นดิน 

ปัง! 

หุ่นรบระเบิดฝีเท้าอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน พุ่งทะยานตรงไปยังเนินเขา 

หนึ่งดำหนึ่งเขียว ระยะห่างระหว่างหุ่นรบทั้งสองตีวงแคบลงอย่างรวดเร็ว!

………………..………………..