webnovel

0200 องค์จักรพรรดินี

ตอนที่ 200 องค์จักรพรรดินี

กู่ฉิงซานพบกับซางหยิงฮ่าวระหว่างทาง ทั้งสองจึงเดินกลับลงมาด้วยกัน

“ท่านประธานาธิบดีเป็นอย่างไรบ้าง” ซางหยิงฮ่าวเอ่ยถาม

“ท่านสบายดี”

ซางหยิงฮ่าวผ่อนคลายลง ปากเอ่ยถาม “ว่าแต่นายเถอะ ไปมีเทคนิคเทียนซวนแบบนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”

“นี่นายกำลังหมายถึงอะไร?” กู่ฉิงซานงง

“ก็หลังจากที่นายกระแทกกระจกออกไป ตัวนายก็หยุดนิ่งอยู่กลางอากาศ ก่อนจะบินขึ้นไปทั้งๆ อย่างนั้นเลยไง” ซางหยิงฮ่าวกล่าว

“นั่นไม่ใช่การบินหรอก มันเป็นแค่ทักษะที่ทำให้ลอยได้ก็เท่านั้นเอง”

“นั่นเรียกว่าทักษะอย่างนั้นเหรอ? รู้อะไรไหมในตอนที่ฉันอายุสามขวบน่ะ”

“มันเป็นทักษะจริงๆ แต่ถ้าหากนายต้องการจะเรียนรู้มัน ฉันสามารถสอนนายได้”

“เอาจริงเหรอ? แน่นอน ฉันอยากจะเรียนรู้มัน! อยากจะลองบินดู!”

“มันอาจจะใช้เวลาค่อนข้างนานนะ กว่านายจะสามารถทำแบบฉันได้”

“ไม่ว่าจะใช้เวลานานแค่ไหน ตราบใดที่มันสามารถทำให้ฉันบินได้ ฉันก็ยินดีที่จะฝึกฝนมันอย่างเต็มที่” ซางหยิงฮ่าวโห่ร้องด้วยความตื่นเต้น

“เห็นท่าทีของนายแล้ว มันก็ช่วยย้ำเตือนฉันได้อย่างหนึ่ง ว่านี่อาจจะเป็นจุดขายสำหรับเกมสตาร์การ์เดี้ยนของพวกเราเลยก็ได้”

ทั้งสองกลับไปยังห้องรับรองขนาดเล็ก

แอนนาทักทายและเอ่ยถาม “เป็นอย่างไรบ้าง ข้างนอกเกิดอะไรขึ้นอย่างนั้นเหรอ?”

“มีคนทำการลอบสังหารประธานาธิบดี แต่พวกเขาล้มเหลว”

“โล่งอกไปที แล้วตอนนี้พวกเราจะเอาอย่างไรกันต่อ?”

“พวกเราคงต้องรอท่านประธานาธิบดีกันก่อน เขาบอกว่ามีบางสิ่งบางอย่างที่ต้องคุยกับฉัน ไว้พวกเราคุยกันเสร็จ แล้วก็ค่อยออกไป”

“เข้าใจแล้ว”

มองไปยังท่าทีและคำพูดของแอนนาที่ดูลังเล กู่ฉิงซานก็อดไม่ได้ที่จะถามออกไปว่า “มีเรื่องกังวลใจอะไรหรือเปล่า? เธอสามารถพูดมันออกมาได้เลยนะ”

“ก่อนที่เราจะไป นายกับฉันช่วยไปพบองค์จักรพรรดิและจักรพรรดินีแห่งฟูซีด้วยกันหน่อยจะได้ไหม” แอนนาเอ่ยปากถาม

กู่ฉิงซานนิ่งงันไป ในหัวเริ่มขบคิด

แอนนาเพิ่งได้รับการคุ้มครองจากสาธารณรัฐฟูซี และทางฟูซีก็ยังได้ออกแถลงการณ์อย่างเป็นทางการไปแล้วด้วย แต่จู่ๆ เธอดันกลับจะขอปลีกตัวออกจากการคุ้มครองที่ว่านั่น นี่มันไม่แตกต่างไปจากการตบหน้าฟูซีเลยแม้แต่น้อย

หากไม่จัดการเรื่องนี้ให้เป็นไปในทางที่ถูกต้อง มันคงจะมีปัญหาใหญ่ตามมา

“ไม่มีปัญหา อย่างนั้นพวกเราก็ไปกันเลยเถอะ” กู่ฉิงซานกล่าว

แอนนามองเขา และอีกฝ่ายก็ส่งรอยยิ้มอันอบอุ่นสวนกลับมา

ไม่กี่นาทีต่อมา กู่ฉิงซานก็ตามแอนนาไปพบกับจักรพรรดิและจักรพรรดินีแห่งฟูซี

ศูนย์ประชุมนานาชาติแห่งรัฐบาลกลางเป็นอาคารรูปทรงไข่ พื้นที่ใจกลางเป็นส่วนเปิดโล่ง มันเป็นลานสนามหญ้าที่คลาคล่ำไปด้วยต้นไม้เก่าแก่นานาพันธุ์มากมาย

จักรพรรดิแห่งฟูซีมิได้พำนักอยู่ในโรงแรมฟรีฮอลิเดย์ แต่กลับเลือกที่จะตั้งแคมป์อยู่ที่นี่

โดยที่ตัวเขาให้เหตุผลว่า ‘คำว่าฟรีที่แปลตรงตัวว่าอิสรภาพน่ะมันเป็นสิ่งไม่ดีและน่ารังเกียจ’

อิสรภาพหมายถึงประเทศที่ไร้ซึ่งการควบคุม

ประชาชนทั่วไปจะเปรียบดั่งฝูงแกะ ที่ไม่รู้ตัวว่าพวกเขาสมควรจะก้าวเดินไปในทิศทางไหน

และหากคุณปล่อยให้แกะแต่ละตัวได้รับอิสรภาพ ให้มันตัดสินใจด้วยตัวเองแล้วล่ะก็ ฝูงแกะย่อมแตกตัวกระจัดกระจายกันออกไป

ดังนั้นราชวงศ์ของฟูซีจึงรับหน้าที่เป็นคนเลี้ยงฝูงแกะ

สามารถต้อนหรือนำทางพวกมันไปยังทิศทางที่กำหนดเอาไว้ได้ และปกป้องฝูงจากภัยคุกคามต่างๆ จนก่อกำเนิดความเจริญรุ่งเรืองขึ้นตามมาในภายหลังดังเช่นปัจจุบันนี้

ดังนั้นคำว่า ‘เสรีภาพ’ จึงเปรียบดั่งการถูกห่อหุ้มอยู่ภายใต้เสื้อคลุมที่แฝงไปด้วยเจตนาอันชั่วร้ายและภยันตรายอันใหญ่หลวง

นี่จึงเป็นเหตุผลที่องค์จักรพรรดิมิยินยอมพำนักในโรงแรมฟรีฮอลิเดย์

จักรพรรดิและจักรพรรดินีแห่งฟูซีได้นำผู้ติดตามมาด้วยกว่าหนึ่งพันคน ดังนั้นเต็นท์ขนาดใหญ่หลายแห่งจึงถูกตั้งขึ้นบนสนามหญ้าภายในพื้นที่เปิดโล่งของศูนย์ประชุม

เมื่อกู่ฉิงซานและแอนนามาถึง ปาร์ตี้เต้นรำก็กำลังแสดงอยู่พอดี

ท่วงทำนองดนตรีอันน่าหลงใหล ขับคลอไปตามห้วงจังหวะ ดังขึ้นไม่เว้นว่างโดยไม่มีการหยุดชะงัก

ภายในเต็นท์ขนาดใหญ่ มีใครบางคนกำลังแสดงโชว์พ่นไฟ ขณะที่คณะมหรสพก็กำลังแสดงโชว์เช่นกัน ประกอบด้วย แปดสิบนักเต้น และสิบหกผู้บรรเลงท่วงทำนองด้วยเครื่องดนตรีหลากชนิด ทั้งหมดพยายามแสดงตามบทบาทหน้าที่ที่ตนเองได้รับอย่างดีที่สุด

“ด้านในนั้น” แอนนาชี้ยังไปทิศทางหนึ่ง

กู่ฉิงซานมองตามนิ้วของเธอ และสายตาของเขาก็กระทบกับร่างของหนึ่งชายหนึ่งหญิงที่กำลังนั่งอยู่ท่ามกลางฝูงชน ฉากตรงหน้านี้แลดูคล้ายกับ ดวงจันทร์ที่ถูกรายล้อมรอบด้วยดวงดารา

ฝ่ายชายสวมเสื้อคลุมขนาดใหญ่ บนศีรษะสวมมงกุฎสิบสองแฉกที่สร้างทองคำบริสุทธิ์ดูหรูหรา ขณะที่ใจกลางของมันฝังอัญมณีสีสันสดใสเอาไว้

เขาถือคทาเอาไว้ในมือ และมันก็ถูกหลอมสร้างขึ้นจากทองคำบริสุทธิ์เช่นกัน บนหัวคทาถูกแกะสลักไว้ด้วยรูปทรงศีรษะของมนุษย์ โดยหันวิสัยทัศน์ของมันให้มองออกไปยังเบื้องหน้า

และศีรษะที่ว่านี้ กล่าวกันว่าเป็นศีรษะของผู้ก่อตั้งสาธารณรัฐฟูซี

เมื่อจักรพรรดิผู้ก่อตั้งสิ้นพระชนม์ลง เขาได้ทำการร้องขอให้นำหัวกะโหลกของตนไปไว้ในคทา ทำการชุบด้วยทองคำจากภายนอก และแกะสลักยึดติดมันเอาไว้ในส่วนบน เพื่อทำการส่งต่อไปยังกษัตริย์องค์ต่อไป

ความหมายของมันก็คือ แม้ว่าเขาจะสิ้นพระชนม์ลงไปแล้ว แต่เขาก็จะยังคงคอยเฝ้าดูลูกๆ หลานๆ ของเขา ว่ามีคุณสมบัติเพียงพอที่จะขึ้นเป็นจักรพรรดิหรือไม่

นี่เป็นคทาที่มีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักกันดีในจักรวรรดิฟูซี

ชายภายใต้มงกุฎแม้จะมีเครื่องหน้าที่แลดูธรรมดา ทว่าหากเขาถอดมงกุฎออกไปแล้วไปเดินอยู่ท่ามกลางฝูงชน ท่านก็จะสามารถพบตัวเขาได้อย่างรวดเร็ว

เพราะคนปกติธรรมดาทั่วไปย่อมมิสามารถเลียนแบบสีหน้าเฉยเมยบนใบหน้าของเขาได้

แม้ว่าบริเวณโดยรอบเต็นท์จะเต็มไปด้วยเสียงเพลงที่รื่นรมย์ของผู้คน แต่ใบหน้าของชายคนนี้ก็ยังคงสงบนิ่ง

เขานั่งอยู่ในท่วงท่าที่ไม่เป็นทางการ แต่ให้ความรู้สึกราวกับเขากำลังนั่งอยู่บนบัลลังก์ที่ไร้ผู้ใดเกินเอื้อม มิอาจถูกล่อลวงหรือกระตุ้นโดยผู้ใดโดยง่าย

จักรพรรดินีนั่งอยู่ข้างๆ ลงมือปอกเปลือกผลไม้ให้แก่เขาด้วยตัวเอง ปากเอ่ยกล่าวถึงเรื่องราวของรัฐบาลกลางและบางครั้งก็เบนสายตาขึ้นไปมองสีหน้าของเขา

รอบกายทั้งสองมิมีใครกล้าเข้าไปนั่งใกล้

ผู้คนที่ยืนอยู่โดยรอบต่างโค้งหัวลง ฝืนรอยยิ้มประจบสอพลอ หรือไม่ก็นั่งคุกเข่าลงบนพื้นดิน

กู่ฉิงซานกับแอนนาเดินเข้าไปหาจักรพรรดิและจักรพรรดินี

“สาธารณรัฐฟูซี เพิ่งประกาศที่จะให้ที่หลบภัยแก่ฉัน แต่ฉันกลับเลือกที่จะจากพวกเขาไป ฝ่าบาทจะต้องโกรธมากแน่ๆ เลย และท่านป้าก็คงจะรู้สึกไม่ดี” แอนนากระซิบเสียงต่ำ

ท่านป้าของแอนนาที่ว่า คือราชินีแห่งฟูซี

“แล้วสิ่งที่ฉันต้องทำมันคืออะไรกันล่ะ” กู่ฉิงซานถาม

“ฉันต้องการใช้วิธีการที่ง่ายที่สุด จัดการสิ่งต่างๆ ให้มันถูกต้อง แต่ทั้งหมดทั้งมวลนี้ ต้องได้รับการช่วยเหลือจากนาย” แอนนามองเขา

“แน่นอนว่าฉันจะช่วยเธอ” กู่ฉิงซานกล่าวอย่างไม่ลังเล

“ถ้าอย่างนั้น…” แอนนากัดริมฝีปากของเธอ “ถือซะว่านี่เป็นราคาที่นายจะต้องจ่ายเพื่อให้ฉันเข้าร่วมทีมก็แล้วกัน ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นนายต้องฟังฉัน และทำตามนะ อย่าทำลายบรรยากาศดีๆ ซะล่ะ”

“ไม่มีปัญหา” กู่ฉิงซานรับคำ

เรื่องราวอะไรพวกนี้ เป็นสิ่งที่เขายังไม่สามารถเข้าใจได้อย่างลึกซึ้ง

จักรวรรดิแห่งฟูซีให้ความใส่ใจกับทางการทูตเป็นอย่างมาก เขาเป็นคนที่รักในศักดิ์ศรี แอนนาไม่เพียงเป็นแค่ผู้ขอลี้ภัยธรรมดาๆ แต่ยังเกี่ยวพันทางสายเลือดกับจักรพรรดินีอีกด้วย ทุกด้านทุกแง่มุมมีความซับซ้อน ใครที่ยังไม่เข้าใจมันอย่างถ่องแท้มิสมควรกระทำสิ่งใดโดยไม่ได้รับอนุญาต

สรุปแล้วมันคงจะเป็นการดีกว่าที่จะให้แอนนาเป็นคนจัดการกับเรื่องนี้

ขณะที่เขากำลังคิดนั้นเอง จู่ๆ มือเล็กๆ ที่บอบบางและอบอุ่นก็คว้าจับมือของเขาเอาไว้

แอนนาจูงมือเขาเดินผ่านฝูงชนและตรงไปยังจักรพรรดินีแห่งฟูซี

ขณะนี้ทุกสิ่งโดยรอบดูจะแตกต่างไปจากเดิม

ยามที่แอนนาจับมือเขา แม้ว่าเพลงยังคงบรรเลงอยู่ ทว่าผู้บรรเลงกับเหล่านักเต้นทุกคนกลับล็อกสายตามายังเขาแทบจะในทันที

ทั้งสองดูราวกับนายแบบนางแบบที่กำลังเดินอยู่บนเวทีเดินแบบ และการแสดงทั้งหมดก็เต็มไปด้วยฝูงชนที่กำลังเก็บทุกรายละเอียดของทั้งสอง

ย่อมเป็นธรรมดาที่องค์จักรพรรดิจะสังเกตเห็นถึงฉากนี้

เขาขมวดคิ้วและมองไปยังกู่ฉิงซาน

ทันทีที่สายตาของจักรพรรดิเบนทิศทางออกไป จักรพรรดินีก็สังเกตเห็นว่าบรรยากาศมันไม่ถูกต้อง คู่ดวงตาอันงดงามของเธอก็เลื่อนออกไป ก่อนจะตกลงบนร่างของกู่ฉิงซาน

เธอดูจะประหลาดใจเล็กน้อย แต่ก็เลือกที่จะพยักหน้าพอเป็นพิธีและทักทายทั้งสองด้วยรอยยิ้ม

แอนนาจูงกู่ฉิงซานเดินมาตลอดทาง และผู้คนก็แยกออกเป็นสองฟากฝั่ง เปิดทางให้พวกเขา ตรงเข้าไปหาองค์จักรพรรดิและจักรพรรดินี

แอนนาดันตัวกู่ฉิงซานมาหยุดลงเบื้องหน้าทั้งสอง ก่อนจะโค้งคำนับตามพิธีและเอ่ยปาก “องค์จักรพรรดิ องค์จักรพรรดินี นี่คือคนรักของข้า”

นอกเสียจากนักดนตรีและนักเต้นที่ยังไม่หยุดทำหน้าที่ของตน คนที่เหลืออดไม่ได้ที่จะชะงักงัน ละทิ้งทุกการกระทำของพวกเขา

ผู้คนไม่อาจแกล้งฝืนทนทำเป็นไม่สนใจได้อีกต่อไป ดวงตาของพวกเขากวาดลงไปยังกู่ฉิงซาน ราวกับต้องการเจาะทะลุทะลวงเข้าไปในร่างของอีกฝ่าย

นี่คือคนรักของแอนนา

องค์หญิงแห่งจักรวรรดิศักดิ์สิทธิ์ แอนนา เมดิซี มีแฟนแล้ว!

จักรพรรดิยังคงนั่งนิ่ง มิได้ขยับกายใดๆ

จักรพรรดินีมองดูพระสวามีของตน เม้มริมฝีปากขึ้นราวกับอยากจะเอ่ยอะไรบางอย่าง แต่ก็ยังอดทนไม่พูดมันออกมา

เมื่อเห็นว่าคิ้วขององค์จักรพรรดิกำลังปรากฏรอยยับย่นมากขึ้น แลมิได้เปล่งเสียงออกมาแม้เพียงน้อย แต่ทว่าความหมายที่สื่อออกมากลับชัดเจน แอนนาจึงรีบเอ่ยเสริมอีกประโยคหนึ่งอย่างรวดเร็ว

“โอ้ใช่สิ เขาเรียกว่า กู่ฉิงซาน”

“กู่…ฉิงซาน?”

จู่ๆ องค์จักรพรรดิก็เอ่ยปากออกไปอย่างฉับพลัน ราวกำลังนึกถึงอะไรบางอย่าง

“ชื่อนี้ช่างฟังดูคุ้นเคยนัก”

เขาเบนสายตาไปยังรัฐมนตรีที่อยู่ใกล้ๆ

รัฐมนตรีหันมามองกู่ฉิงซาน ก่อนจะพยักหน้าและกล่าว “ถูกต้องแล้วขอรับ เป็นเขาแน่ๆ นักวิทยาศาสตร์หุ่นรบแห่งรัฐบาลกลาง ผู้สรรค์สร้างเทคโนโลยีเกราะรบขับเคลื่อนรุ่นใหม่ ผู้คนพบไวรัสผีดิบกินคนและผีดิบนักฆ่าเป็นคนแรก นอกจากนี้ยังเป็นศาสตราจารย์แห่งมหาวิทยาลัยกั่วฟาง แม้ว่าอย่างหลังเขาจะยังไม่ยอมไปรายงานตัวก็ตามที”

“หืม? เจ้าถูกจ้างเป็นศาสตราจารย์แล้วมิใช่หรือ เหตุใดจึงยังไม่ไปสอนในมหาวิทยาลัยกั่วฟางแห่งรัฐบาลกลางอีกเล่า?” องค์จักรพรรดิมองมายังกู่ฉิงซานและเอ่ยถาม

“นั่นเพราะกระหม่อมยังมีหลายสิ่งที่จะต้องทำในเวลานี้ และยังไม่มีเวลาว่างพอที่จะไป” กู่ฉิงซานกล่าว

“ไม่ว่างกระนั้นหรือ?” องค์จักรพรรดิหันไปมองแอนนา

แอนนาเงยหน้าขึ้น สบตามองกับดวงตาสีขาวขุ่นของอีกฝ่าย ราวกับว่าเธอกำลังจะถามไถ่ออกไปว่า ‘เขาจะว่างไม่ว่างแล้วมันเกี่ยวข้องอะไรกับฉัน’

แต่ด้วยนิสัยของเธอที่เป็นที่รู้จักกันดี ชอบลงมือก่อนที่จะคิดเป็นประจำ มันเลยเพียงพอที่จะอธิบายได้ว่าสิ่งที่กู่ฉิงซานกล่าวว่าไม่ว่างนั้นคืออะไร

“เจ้าเป็นนักวิทยาศาสตร์ ดังนั้นข้าขอถามเจ้า รัฐบาลกลางกับฟูซี สองมหาประเทศเหล่านี้ ประเทศใดกันที่กำลังพัฒนาไปในทางที่ดีกว่า” องค์ราชาถามต่อเนื่อง

แอนนาค่อนข้างประหม่าเล็กน้อย

เธอไม่คาดหวังว่าองค์จักรพรรดิจู่ๆ จะกล่าวถ้อยคำก้าวร้าว ดั่งคมมีดที่กรีดแทงขึ้นมาเช่นนี้

เธอจับมือของกู่ฉิงซาน และพยายามที่จะเงยหน้ายืนขึ้นเพื่อพูดอะไรบางอย่าง แต่กู่ฉิงซานกลับบีบมือของเธอเอาไว้ และส่งสัญญาณว่าไม่ต้อง

“ฟูซี ดูจะพัฒนาไปได้ช้ากว่า” กู่ฉิงซานกล่าว

“โห? เพราะเหตุใดกัน?” องค์ราชาเผยให้เห็นถึงท่าทีสนใจออกมา

ลักษณะท่าทีของเจ้าหนูนี่ ดูไม่เหมือนกับคนที่ชอบพูดจาเสแสร้ง ประจบประแจง หรือยกยอตัวเองเลย

“อ้างอิงตามข้อมูลการพัฒนาที่เกิดขึ้นในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา” กู่ฉิงซานกล่าวอย่างง่ายๆ

“เจ้านักวิทยาศาสตร์ นี่หมายความว่าเจ้าดูเพียงแค่ข้อมูลเท่านั้นใช่ไหม? ณ เวลานี้ มิใช่ว่าเจ้าควรแก้ต่างให้ประเทศข้า และกล่าวว่าทั้งสองประเทศคล้ายคลึงกันหรอกหรือ?”

องค์จักรพรรดิทรงไม่พอใจกับคำตอบนี้เป็นอย่างมาก และเอ่ยถามออกไป

“ความสำคัญของการมีอยู่ของวิทยาศาสตร์และนักวิทยาศาสตร์ คือการเข้าใจถึงความจริงอันชัดแจ้งของโลก ไม่ใช้การไว้หน้าใคร” กู่ฉิงซานตอบกลับไป

คิ้วที่ขมวดจนยับย่นของจักรพรรดิก็พลันคลายลงอย่างกะทันหัน สีหน้าเย็นชาของเขาก็จางหายไป พร้อมกับปรากฏถึงร่องรอยความสุขเล็กน้อยในแววตา

และทันใดนั้นจู่ๆ เขาก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา

เสียงหัวเราะของเขาทำให้บรรยากาศตึงเครียดผ่อนคลายลงทันที สายลมอันอ่อนโยนและอบอุ่นเริ่มไหลผ่าน ขับคลอไปด้วยท่วงทำนองของเสียงเพลง และเสียงหัวเราะดังกึกก้อง

องค์จักรพรรดิหันไปมองราชินีของตน

“ท่านสนใจในตัวเด็กหนุ่มคนนี้กระนั้นหรือ?” ราชินีกล่าวถามด้วยรอยยิ้ม

“เอ้อ ไม่ใช่แค่เรื่องน่าสนใจอย่างเดียว กระทั่งตัวข้าคิดกดดันเขา มันกลับไม่ง่ายเลย” สายตาขององค์จักรพรรดิติดตรึงอยู่กับร่างของกู่ฉิงซาน ราวกับว่าเขากำลังเฝ้ามองดูชุดเกราะรบขับเคลื่อนชั้นยอดอยู่ก็มิปาน

เขาพึงพอใจเป็นอย่างมากกับทัศนคติของชายหนุ่มผู้นี้

นักวิทยาศาสตร์สมควรจะความคิดเช่นนี้ มิใช่เบนความสนใจของตนไปยังสิ่งอื่นที่มิได้สำคัญอันใด

รัฐบาลกลางได้กดดันฟูซีโดยเทพธิดากงเจิ้งมานานหลายทศวรรษแล้ว และตอนนี้การที่ฟูซีจะไล่ตามรัฐบาลกลางที่เพิ่งได้ครอบครองเทคโนโลยีหุ่นรบรุ่นล่าสุดอยู่มันนับว่าไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

ตามชุดข้อมูลที่เกี่ยวข้อง เกราะรบที่ว่านี้เป็นเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำฟูซีไปกว่าสิบห้าปี

และสิ่งที่กล่าวมานี้ ทั้งหมดเกิดขึ้นโดยชายหนุ่มเบื้องหน้าเขา

แต่เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายมีความสัมพันธ์อันดีกับแอนนามาก

“อย่างที่เจ้าเอ่ยกล่าวจริงๆ ศาสตราจารย์พิเศษแห่งมหาวิทยาลัยกั่วฟาง มันไม่น่าสนใจที่พอที่จะให้เจ้าไปประจำการ ถูกต้องไหม”

จักรพรรดิมองไปยังกู่ฉิงซาน ปากเอ่ยกล่าวอย่างช้าๆ “หากเป็นเช่นนั้น มันจะดีกว่าไหม ถ้าเจ้าย้ายมาอยู่กับสาธารณรัฐฟูซี ข้าจะให้เงินเดือนและชื่อเสียงเกียรติยศเทียบเท่ากับหัวหน้านักวิทยาศาสตร์แห่งสาธารณรัฐ เทียบเปรียบกับตำแหน่งศาสตราจารย์แล้ว มันจะกลายเป็นเพียงตำแหน่งเล็กจ้อยไปเลย”

............................................................