webnovel

0197 พบเจอกับแอนนาอีกครั้ง

ตอนที่ 197 พบเจอกับแอนนาอีกครั้ง

เมื่อต้องเผชิญหน้ากับเพชฌฆาตตัวตลกที่แสนจะน่าสะพรึงกลัว บางคนก็ถึงกับง้างมือทุบสมองควอนตัมของตนเอง ขณะที่บางคนยืนบื้อใบ้ราวกับท่อนไม้ บางคนเป็นบ้า ตีอกชกหัวตนเอง ขณะที่บางคนกัดฟันกรอดด้วยความขุ่นแค้น แต่ก็ยังมีส่วนหนึ่งที่คิดว่าตนเองยังคงเลือกที่จะเข้าร่วมเกมแห่งชีวิตนิรันดร์อยู่ดี และคิดหาหนทางที่ว่าจะทำอย่างไรดีจึงจะไม่ถูกค้นพบโดยเพชฌฆาตตัวตลก

ท่ามกลางห้วงจักรวาล

ภายในเฉินเตี้ยนเฮ่า

“เจ้าบ้านั่น ฝีมือในการแสดงละครพัฒนาขึ้นเยอะเอาเรื่องเหมือนกันนี่นา” ซางหยิงฮ่าวเอ่ยด้วยความตื่นเต้น

“นั่นสินะ ฉันคิดว่ามันดูจะสนุกกับช่วงเวลาถ่ายทอดสดต่อหน้าคนทั้งโลกมากจริงๆ” เหลียวฮังกล่าวพลางยกขวดไวน์ในมือขึ้นกระดกซด

เขาตะโกนลั่น “งานของนักวิทยาศาสตร์ก็คือศึกษาเรื่องที่ไม่สามารถทำความเข้าใจได้ แต่ฉันไม่คาดคิดเลยว่าพวกเรากำลังจะสามารถเอาชนะสิ่งที่ไม่สามารถศึกษาและทำความเข้าใจได้ในโลกใบนี้ลงได้”

“อย่าพึ่งประมาทไป มันพึ่งกำลังถึงทางตันเท่านั้น” กู่ฉิงซานกล่าว

“แกมันก็ระวังตัวมากเกินไป ทำกันโจ๋งครึ่มซะขนาดนั้น ฉันคิดว่าคงไม่มีใครกล้าที่จะเข้าไปเล่นเกมนี้อีกแล้วล่ะ” เหลียวฮังส่ายหัว

“ส่วนฉันกลัวว่าตัวเกมจะทำการพลิกแพลงกฎอีกครั้งรึเปล่า” ซางหยิงฮ่าวกล่าว

“อืม? ว่าแต่เย่เฟย์หยูหายไปไหนซะล่ะ?” กู่ฉิงซานมองไปยังจอม่านแสงแล้วเอ่ยถาม

เห็นแค่เพียงเย่เฟย์หยูที่ถอดชุดเกราะรบออก จากนั้นก็เปิดใช้งานปีกกระดูกที่อยู่ข้างหลัง และทะยานหายขึ้นไปในชั้นเมฆ

มองไปยังท่าทีของเขา ดูเหมือนว่าเจ้าตัวจะรีบมุ่งหน้าไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง

“มิสเตอร์เย่เฟย์หยูได้ปฏิบัติตามแผนการวิวัฒนาการที่ฉันร่างขึ้น โดยการออกไปกำจัดผีดิบนักฆ่า”

“ก็เจ้าแชมป์เปี้ยนนั่นดันถูกเจ้าหนูฉิงซานชิงฆ่าไปซะก่อนไง บางทีนั่นคงทำให้ผีดิบนักฆ่าของพวกเรารู้สึกผิดหวังในความสามารถของตัวเองน่าดู” เหลียวฮังกล่าวพลางหัวเราะ

“…ก็ถ้าพลาดจังหวะนั้นไป มันอาจจะไม่มีโอกาสอีกเลยนี่นา แต่อันที่จริงการที่เขาพยายามเร่งให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้น มันก็เป็นเรื่องที่ดีนะ” กู่ฉิงซานกล่าว

“ใต้เท้าผู้ทรงเกียรติ คุณสามารถมอบรองเท้าบูตที่พึ่งชิงมาให้ฉันได้หรือไม่ ฉันกำลังศึกษาถึงวัสดุที่ใช้สร้างมันขึ้นมาอยู่” เทพธิดากงเจิ้งกล่าว

กู่ฉิงซานมองไปยังซางหยิงฮ่าว

“เอาไงก็เอา อย่างไรฉันก็ไม่สามารถใช้งานมันได้อยู่แล้ว” ซางหยิงฮ่าวกล่าว

“ดีล่ะ ถ้าอย่างนั้นไว้รอให้เย่เฟย์หยูกลับมาอีกรอบ คุณก็เอามันไปทำการวิจัยได้เลยนะ”

“อุปกรณ์แต่ละชิ้นที่ช่วงชิงมาล้วนหรูหราและเป็นของชั้นยอด คทามนตราเอย คู่ถุงมือกับรองเท้าเอย แต่ทั้งหมดกลับถูกมอบให้จักรกลที่ไม่สามารถใช้งานมันได้ซะอย่างนั้น” เหลียวฮังเอ่ยพึมพำ

“มิสเตอร์เหลียว งานวิจัยของฉันมีความสำคัญมาก โปรดให้ความเชื่อถือในจุดนี้” เทพธิดากงเจิ้งกล่าว

“เออๆ อย่างไรฉันก็ใช้พวกมันไม่ได้อยู่แล้ว จะเอาไปทำอะไรก็ตามใจเลย”

เหลียวฮังกล่าว ก่อนจะหันไปจดจ่อกับการศึกษาเครื่องจัมป์ต่อ

ในเวลานั้นเอง เทพธิดากงเจิ้งก็กล่าวเตือน “ใต้เท้าผู้ทรงเกียรติ เวลาที่กำหนดใกล้มาถึงแล้ว ยานรบประจัญบานขนาดเล็กได้ถูกส่งมารอรับเรียบร้อยแล้ว”

“ดีมาก ถ้าอย่างนั้นพวกเราจะไปกันเดี๋ยวนี้เลย” กู่ฉิงซานลุกขึ้นและกล่าว

“ซางหยิงฮ่าว นายมากับฉัน” เขาโบกมือเอ่ยเตือนไปยังอีกฝ่าย

“คราวนี้ฉันไปด้วยได้อย่างนั้นเหรอ? ว่าแต่จะไปที่ไหนกัน?” ซางหยิงฮ่าวตกใจ

“ก็นายเคยพูดอะไรเอาไว้กันล่ะ? ฉันก็กำลังทำตามคำขอของนายอยู่นี่ไง” กู่ฉิงซานกล่าว

“อ๊า! ยอดไปเลย อย่างนั้นอันดับแรกพวกเราคงต้องรีบกลับไปอาบน้ำกันก่อน จากนั้นก็โกนหนวด เปลี่ยนไปสวมเสื้อผ้าที่ดูสะอาดสะอ้าน” ซางหยิงฮ่าวพูดรัวๆ จนลิ้นแทบพัน

“มันคงไม่จำเป็นต้องทำถึงขนาดนั้นหรอกมั้ง” กู่ฉิงซานกล่าวอย่างไม่มั่นใจ

“พูดอะไรไร้สาระ! นี่แหละคือเรื่องที่ต้องทำ ความประทับใจครั้งแรกพบมันสำคัญมากเลยนะ” น้ำเสียงของซางหยิงฮ่าวยกสูงขึ้นทันที

ขณะนี้ ทั้งคนทั้งร่างของเขากำลังสั่นด้วยความประหม่าเล็กน้อย

“นี่พวกแกกำลังจะไปทำอะไรกัน? อย่าบอกนะว่ากำลังปกปิดความจริงกับชายชราผู้นี้ จริงๆ แล้วพวกแกจะไปงานเลี้ยงจ้ำจี้สาวๆ ใช่รึเปล่า” เหลียวฮังกล่าวด้วยท่าทีถมึงทึง

“ไม่ใช่แบบนั้น” ซางหยิงฮ่าวอธิบายอย่างอดทน “พวกเราก็แค่จะไปเข้าร่วมการประชุมนานาชาติ ในเวลานี้ภาพลักษณ์ส่วนตัวเป็นสิ่งสำคัญมาก”

“ประชุมเรื่องอะไรกัน?” เหลียวฮังเอ่ยถาม

“เรื่องการผสานยีน” กู่ฉิงซานกล่าว “ถ้าเราสามารถโน้มน้าวให้ประเทศต่างๆ มอบสูตรยาผสานยีนที่ครอบครองมาให้ได้ ระบบตัวเกมของพวกเราก็จะสามารถกำหนดให้มีการเลือกอาชีพได้”

“การฉีดยาผสานยีนจะสอดคล้องกับอาชีพที่เลือกอย่างนั้นเหรอ?” เหลียวฮังถาม

“ประมาณนั้น” กู่ฉิงซานตอบ

เหลียวฮังสูดหายใจลึก เอ่ยงึมงำ “ถ้าเป็นแบบนั้น มันก็เริ่มเหมือนเกมจริงๆ มากขึ้นเรื่อยๆ แล้วสินะ”

“เกมมันเป็นแค่เปลือกนอก แก่นแท้ของมันคือการช่วยให้ทุกคนวิวัฒนาการและแข็งแกร่งยิ่งขึ้นกว่าเดิมต่างหาก” กู่ฉิงซานกล่าว

เขาเอ่ยต่อ “ยังมีแผนการอีกจำนวนมาก แต่พวกเราไม่สามารถจัดการทุกอย่างได้ในลมหายใจเดียว ดังนั้นพวกเราต้องเริ่มต้นโดยการได้รับยาผสานยีนมาก่อนเป็นอันดับแรก”

หนึ่งชั่วโมงต่อมา

กู่ฉิงซานกับซางหยิงฮ่าวก็ได้เปลี่ยนมาใส่เป็นชุดที่ดูทางการ และเดินลงจากรถเหินเวหาขนาดเล็ก

ที่นี่คือเมืองหลวง

สหพันธรัฐ รัฐบาลกลาง ศูนย์ประชุมนานาชาติ

จักรวรรดิศักดิ์สิทธิ์ สาธารณรัฐฟูซี และรัฐบาลกลาง สามประเทศใหญ่มหาอำนาจของโลก พร้อมด้วยตัวแทนจำนวนมากมายจากประเทศเล็กๆ ได้มารวมตัวกันเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการอภิปรายเกี่ยวกับทิศทางในอนาคตของมนุษยชาติ

“ทั้งสองท่านโปรดหยุด”

เจ้าหน้าที่หลายคนเดินตรงเข้ามาขวางทางทั้งสองคนเอาไว้

ทันใดนั้นภาพของกู่ฉิงซานก็ปรากฏขึ้นในจอขนาดใหญ่บนผนังด้านนอกของศูนย์ประชุม

บรรทัดตัวอักษรขนาดเล็ก ถูกจัดวางไว้ถัดไปจากรูปภาพของเขา

“นักวิทยาศาสตร์ด้านเทคโนโลยีเกราะรบแห่งรัฐบาลกลาง”

“ผู้สรรค์สร้างโครงสร้างชีวิตของชุดเกราะรบขับเคลื่อน”

“เจ้าของสิทธิบัตรสามสิบเจ็ดเทคโนโลยีหุ่นรบขับเคลื่อน”

“ผู้ค้นพบไวรัสผีดิบกินคนและผีดิบนักฆ่า”

“ผู้กำหนดมาตรการรับมือกับผีดิบกินคน”

“ศาสตราจารย์พิเศษประจำมหาวิทยาลัยกั่วฟางแห่งรัฐบาลกลาง”

บังเกิดเสียงอิเล็กทรอนิกส์ดังขึ้นในชุดหูฟังของเหล่าเจ้าหน้าที่

การแสดงออกของเหล่าเจ้าหน้าที่เปลี่ยนไปทันที พวกเขาหลีกทางให้ด้วยความนอบน้อม

“เชิญเข้าไปทางช่องส่วนตัวได้เลยครับ” หัวหน้าเจ้าหน้าที่กล่าว

เมื่อทั้งสองเดินเข้าไปห่างพอสมควรแล้ว ซางหยิบฮ่าวก็กระซิบว่า “ฝีมือเทพธิดากงเจิ้งอย่างนั้นเหรอ?”

“อืม ใช่แล้ว” กู่ฉิงซานกล่าว

ซางหยิงฮ่าวถอนหายใจ “มีนาย มีเทพธิดากงเจิ้ง แถมยังมีท่านประธานาธิบดีคอยสนับสนุน ทั่วทั้งรัฐบาลกลางแห่งนี้ฉันไม่คิดว่าจะมีใครสามารถหยุดพวกเราได้อีกแล้วล่ะ”

ทั้งสองเดินไปตามทาง เข้าสู่ห้องรับรองขนาดเล็ก

ทันทีที่นั่งลง ไม่นานนัก ท่านประธานาธิบดีกับผู้ช่วยกว่าสี่ถึงห้าคนก็เดินตามเข้ามาพร้อมกัน

“พ่อหนุ่มคนนี้คือ...?” ประธานาธิบดีเอ่ยถาม

“หุ้นส่วนของผมเองครับ เขาชื่อ ซางหยิงฮ่าว” กู่ฉิงซานเอ่ยแนะนำ

ซางหยิงฮ่าวดีดตัวขึ้นอย่างเร่งร้อน และจับมือกับประธานาธิบดี

“ฉันว่าฉันรู้จักเธอนะ เธอมันเด็กที่หนีออกจากตระกูลซางใช่ไหม” ประธานาธิบดีมองไปยังซางหยิงฮ่าว กล่าวพลางหัวเราะ

“ถ้าช่วงชีวิตในวัยรุ่นของผมทำให้คุณหัวเราะได้ มันก็นับว่าคุ้มค่าแล้วครับ” ซางหยิงฮ่าวกล่าว

“แล้วตอนนี้เธอได้ละทิ้งตัวตนในอดีตไปแล้วใช่ไหม?” ประธานาธิบดีเอ่ยถามด้วยความสนใจ

“ไม่มีใครถือกำเนิดมาพร้อมกับเกียรติยศตั้งแต่แรกเริ่ม พวกชนชั้นสูงไม่ควรเป็นตัวแทนแห่งขั้วอำนาจ แต่สมควรที่จะเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณของสังคม” ซางหยิงฮ่าวกล่าวด้วยความมั่นใจ

“พูดได้ไม่เลวนี่ ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมเธอถึงสามารถกลายเป็นหุ้นส่วนของฉิงซานได้”

ประธานาธิบดียื่นมือข้างหนึ่งไปจับมือเขา ขณะที่มืออีกข้างเหยียดออก และตบลงบนไหล่เขา

ซางหยิงฮ่าวดูจะรู้สึกปลื้มปีติมาก

หลังจากที่ทักทายกัน หลายๆ คนในห้องก็แยกกันนั่งลง

“ฉิงซาน วันนี้เป็นการหารือกันเกี่ยวกับเรื่องยาผสานยีน แต่พวกเขายังคงลังเล ฉันเลยต้องการให้เธอช่วยพูดคุยอภิปรายเกี่ยวกับมัน คิดว่าเธอพอจะสามารถพูดเกลี้ยกล่อมพวกเขาได้ไหม” ประธานาธิบดีเอ่ยถาม

นี่ไม่นับว่าเป็นปัญหา แต่มีอีกอย่างหนึ่งที่ผมต้องการจะพูดกับท่าน” กู่ฉิงซานกล่าว

“โอ้ ไหนลองว่ามาสิ”

“มันเป็นเรื่องที่มีแต่ท่านเท่านั้นที่สมควรจะทราบ” กู่ฉิงซานกล่าว

ประธานาธิบดีโบกมือ และผู้ช่วยก็ถอยฉากออกไป

กู่ฉิงซานยกกระเป๋าเดินทางสีดำขึ้นมา วางมันลงบนโต๊ะ และเปิดมัน

เขาหยิบกำไลข้อมือเงินขึ้นมา และมอบมันให้แก่ประธานาธิบดี

“นี่มันคืออะไรอย่างนั้นเหรอ?” ประธานาธิบดีถาม

“มันคือระบบสนับสนุนการต่อสู้รายบุคคล และยิ่งประสานงานร่วมกับยาผสานยีนแล้วล่ะก็ มันจะช่วยให้ผู้คนสามารถเรียนรู้ทักษะการต่อสู้ได้อย่างรวดเร็ว”

“ปัจจุบันนี้มันยังอยู่ในระหว่างการพัฒนา แต่ท่านสามารถลองเล่นมันดูก่อนได้” กู่ฉิงซานยิ้มเล็กน้อย

สิบนาทีต่อมา ประธานาธิบดีก็เดินจากไปพร้อมกับเหล่าผู้ช่วยของเขา

“นี่นายเป็นพวกลูกนอกสมรสของประธานาธิบดีอะไรเทือกนั้นหรือเปล่า?” ซางหยิงฮ่าวถามด้วยความลังเล

“ไร้สาระน่า ไม่ใช่แน่นอน” กู่ฉิงซานกล่าว

“แต่เขาปฏิบัติตัวกับนายดีมากเลยนะ หลังจากที่ฉันได้มาเห็นด้วยตาตัวเอง มันชัดเจนมากเลยว่าเขาเต็มใจให้ความร่วมมือกับนาย” ซางหยิงฮ่าวกล่าว

“เขาเป็นคนที่มีอำนาจการตัดสินใจสูงสุด ทั้งหมดที่ฉันรู้เขาก็รู้ทุกอย่าง รวมไปถึงเรื่องของเย่เฟย์หยูเขาก็ยังรู้” กู่ฉิงซานกล่าวด้วยท่าทีไม่มั่นใจเล็กน้อย

“ที่เขาดีกับฉัน บางทีอาจจะเป็นเพราะวิสัยทัศน์ของเขาก็ได้ล่ะมั้ง เขาคงเห็นว่าฉันสามารถทำประโยชน์ให้กับมนุษยชาติได้” เขาขบคิดก่อนกล่าว

นอกเหนือไปจากนี้ ก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีคำอธิบายอื่นใดอีกแล้ว

ซางหยิงฮ่าวเอ่ยพึมพำ “อย่างไรก็เถอะ ฉันรู้สึกว่าเขาเป็นกังวลมากกว่านายซะอีก”

ในตอนนั้นเอง เสียงลูกตุ้มภายในนาฬิการุ่นคลาสสิกเรือนใหญ่ก็ดังขึ้น

“ยังพอจะเหลือเวลาอีกสักพัก นี่พวกเรามาเร็วเกินไปรึเปล่านะ” ซางหยิงฮ่าวมองไปยังนาฬิกา ปากเอ่ยกล่าว

กู่ฉิงซานพูดอย่างช่วยไม่ได้ “ก็นายนั่นแหละกระตือรือร้นเกินไป รีบมาก่อนเวลา”

ขณะนั้นเอง ทั้งสองก็ได้ยินเสียงเคาะประตูจากด้านนอก

“เชิญเข้ามาได้” กู่ฉิงซานกล่าว

ร่างเงาที่ดูผอมเพรียวพรวดเข้ามา และปิดประตูลงอย่างรวดเร็ว

เธอครอบครองผมยาวสีแดงเพลิง รูปร่างสูงใหญ่ ใบหน้าละเอียดลอองดงาม

แอนนา

แอนนา เมดิซี

“ฉันมีเรื่องที่อยากจะคุยกับนายตามลำพัง” เธอหันไปมองกู่ฉิงซานและกล่าว

“เข้าใจแล้ว” กู่ฉิงซานเอ่ยรับ

ซางหยิงฮ่าวลุกขึ้น และเดินออกไป แต่เขาก็ไม่วายหันกลับมามอง และค่อยๆ แง้มประตูปิดลงอย่างช้าๆ

“ฉันต้องการให้นายช่วย” แอนนากล่าวอย่างตรงไปตรงมา

“ช่วยอะไรอย่างนั้นเหรอ แล้วฉันจะช่วยอะไรได้บ้าง?” กู่ฉิงซานถาม

“ฉันได้รู้มาว่านายเป็นผู้วิจัยและพัฒนาเพลิงนางฟ้า และยังรู้อีกด้วยว่านายมีพลังอำนาจบางอย่างที่พิเศษ นอกจากนี้เทพธิดากงเจิ้งก็ดูจะโปรดปรานในตัวนายไม่น้อยเลยด้วย” แอนนากล่าวอย่างเร่งรีบ

กู่ฉิงซานพยักหน้า

“ยิ่งไปกว่านั้น ฉันต้องขอบคุณนายจริงๆ ที่ช่วยฉันฆ่าสาวกศักดิ์สิทธิ์ ฮิวป์”

“ไม่จำเป็นต้องสุภาพหรอก ฉันยินดีที่จะทำเรื่องนั้นเอง อันที่จริงฉันรู้สึกดีไม่น้อยเลยที่ระดมยิงเขาจนพรุน”

แอนนาปิดปากลง เงียบไปสักพัก ดูเหมือนว่าเธออยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ยังไม่สามารถนึกคำที่มันเหมาะสมออกมาได้

บุคลิกของเธอนั้นเปรียบดั่งไฟ แต่ดูเหมือนว่าในตอนนี้ยังมีหลายจุดที่เธอไม่อาจเอ่ยปากออกมาได้

คิ้วเรียวงามขมวดมุ่น ผ่านไปสักพักก็ยังคิดไม่ตก จนตัวเธอเองเริ่มที่จะหงุดหงิด

‘บ้าจริง เดิมทีฉันคิดเอาไว้แล้วแท้ๆ ว่าฉันควรจะเจรจาอย่างไรให้ผลลัพธ์มันออกมาดี แต่ในวินาทีสุดท้ายกลับไม่กล้าเผยความในใจออกมาซะอย่างนั้น’

กู่ฉิงซานจ้องมองเธออย่างเงียบๆ

แอนนาดูซีดเซียวและผ่ายผอมมาก ถึงแม้ว่าพื้นเพของเธอจะเป็นคนแข็งแกร่ง แต่ความรู้สึกอย่างอาการเหนื่อยล้าทางจิตใจ มันไม่สามารถปกปิดกันได้

ดวงตาของหญิงสาวนั้นพร่ามัว มันไม่กระจ่างใสดังเช่นก่อนหน้า ขณะนี้มันแลดูราวกับมีลมกรรโชกและน้ำแข็งค้างเกาะกุมอยู่เล็กๆ น้อยๆ เต็มไปด้วยความซับซ้อน

กู่ฉิงซานเฝ้ารออยู่ครู่หนึ่ง และเมื่อเห็นว่าเธอยังไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา จึงตัดสินใจเป็นฝ่ายถามเอง “เธอมากับจักรพรรดินีแห่งฟูซีใช่ไหม?”

“ใช่แล้วล่ะ” เมื่อแอนนาเห็นว่าเขาเป็นฝ่ายเอ่ยปากออกมา เธอก็อดไม่ได้ที่จะอ้าปาก ผ่อนลมหายใจโดยไม่รู้ตัว

“ช่วงที่เธออยู่ในอาณาจักรฟูซีเป็นอย่างไรบ้าง สะดวกสบายดีไหม?”

“ก็ดีนะ ป้าของฉันดูแลฉันทุกอย่างเลย ไม่มีปัญหาอะไรหรอก” แอนนากล่าว

“จริงๆ หรือ?” กู่ฉิงซานเพ่งมองเธออย่างใกล้ชิด ปากเอ่ยถาม

แอนนาเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้มออกมาอย่างขมขื่น “มีบางเรื่องที่มันแตกต่างออกไปจากที่ฉันคิดน่ะ”

“แล้วฉันพอจะช่วยอะไรเธอได้บ้างล่ะ?”

กู่ฉิงซานริเริ่มเค้นสอบถาม

“ฉัน…คือฉันต้องการกลับไปยังประเทศ” แอนนากล่าวพลางก้มหัวลง

“ไม่ใช่ว่าสาธารณรัฐฟูซีกำลังเตรียมที่จะทำสงครามกับคริสตจักรศักดิ์สิทธิ์หรอกเหรอ?” กู่ฉิงซานถาม

บนใบหน้าของแอนปรากฏร่องรอยของความประชดประชัน ปากเอ่ยกล่าว “ฉันต้องการที่จะกลับไปยังประเทศบ้านเกิด แต่ฉันก็ไม่ต้องการที่จะตกเป็นหุ่นเชิด และฉันไม่เต็มใจที่จะก่อปัญหาให้กับฟูซีเช่นกัน”

“แล้วตั้งแต่ที่ตัดสินใจมาพบกับฉัน สิ่งที่เธอต้องการมันคืออะไรกันล่ะ?” กู่ฉิงซานยิงคำถามต่อ

แอนนาเงยหน้าขึ้น สบตากับกู่ฉิงซาน รวบรวมความกล้าที่จะเอ่ยให้จบประโยค

“ฉันต้องการเทคโนโลยีหุ่นรบของนาย และฉันต้องการขอให้นายช่วยฉันเชื่อมต่อกับเทพธิดากงเจิ้ง ให้เธอมาช่วยฉันวางกลยุทธ์เพื่อเตรียมทำสงครามภายใต้พระราชบัญญัติการช่วยเหลือระหว่างประเทศ”

“ท่านประธานาธิบดีมีความสัมพันธ์อันดีกับนาย และเทพนักสู้แห่งรัฐบาลกลางก็เช่นกัน ฉันต้องการให้นายช่วยฉัน…ช่วยจัดการให้ฉันได้พูดคุยกับพวกเขาที”

กู่ฉิงซานตั้งใจฟังอย่างเงียบๆ

แอนนาเอ่ยต่อ “ถ้านายเต็มใจที่จะใช้อำนาจที่ตนมีช่วยเหลือฉัน ฉันสาบานเลยว่าจะให้ผลตอบแทนที่สมน้ำสมเนื้อ”

ราวกับพึ่งคิดได้ว่าสิ่งตอบแทนที่ตนว่ามานั้นมันฟังดูจะเล็กน้อยเกินไป เธอจึงเอ่ยเสริมอย่างเฉียบขาดว่า “ฉันขอสาบานด้วยชื่อเสียงเกียรติยศแห่งราชวงศ์เมดิซี ว่าตราบเท่าที่ฉันสามารถกู้คืนประเทศได้สำเร็จ ฉันสัญญาว่าจะทำตามที่นายต้องการสิ่งหนึ่ง ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นอะไรก็ตาม ฉันจะตั้งใจทำอย่างดีที่สุดโดยใช้อำนาจของทั้งประเทศเพื่อช่วยเหลือนาย”

“ฉันรู้ดีว่า ฉันกับนายไม่ได้เป็นเครือญาติกัน และไม่มีฐานะใดๆ ที่จะสามารถร้องขอความช่วยเหลือจากนายได้ด้วย” แอนนากล่าวอย่างช้าๆ

“ตั้งแต่ที่เรารู้จักกัน นายไม่เคยติดหนี้อะไรกับฉันเลย”

เมื่อเอ่ยถึงจุดนี้ เธอก็สูดหายใจฮึดฮัดเข้าจมูก ดูเหมือนว่ากำลังจะพยายามสงบสติอารมณ์ลง

“แต่ได้โปรดช่วยฉันด้วยเถอะ สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องยากมากสำหรับฉัน ถ้านายเต็มใจที่จะช่วยเหลือ จะดีจะร้ายฉันก็ยังพอจะมีความหวังขึ้นมาบ้างเล็กน้อย”

“ในอนาคต ฉันจะต้องชดใช้มันคืนให้แก่นายอย่างแน่นอนตามที่ได้ลั่นวาจาไว้”

เธอกล่าว ด้วยน้ำเสียงที่แฝงร่องรอยของการอ้อนวอน

“ถ้า…นายรู้สึกลำบากใจ...”

เธอต้องการที่จะบังคับตัวเองให้สงบลง และพูดอะไรบางอย่าง แต่มุมปากของเธอกลับกระตุกอย่างมิอาจระงับมันลงได้

กู่ฉิงซานมิได้เอ่ยสิ่งใด เพียงแค่จ้องมองเธออย่างเงียบๆ

‘ไม่หรอก ฉันจะไม่เคยเป็นหนี้เธอได้อย่างไรกัน’ นี่คือสิ่งที่เขาคิด ก่อนที่ตนเองจะจมลงไปสู่ในห้วงคะนึง

ฉันยังเป็นหนี้ชีวิตเธออยู่

ในห้วงคะนึง ย้อนรอยกลับไปยังช่วงชีวิตก่อนหน้า

ร่างไร้วิญญาณของเผ่ามารร่วงกระแทกลงกับพื้นดิน

กู่ฉิงซานใช้ดาบยันตัวเองให้ลุกขึ้นยืนและกล่าว “ขอบคุณสำหรับน้ำใจที่ช่วยชีวิตนี้ไว้”

“แล้วทำไมนายถึงมาอยู่ที่นี่? ด้วยระดับวรยุทธของนาย การบุกเข้ามาที่นี่ก็เท่ากับนำตัวเองมาสู่ความตายเท่านั้น” หญิงสาวผู้ครอบครองผมสีแดงเพลิงเอ่ยกับเขา

“ผมมาเก็บหญ้าวิญญาณน่ะ...” เขากล่าว

“หญ้าวิญญาณ?” หญิงสาวอุทาน เห็นได้ชัดว่าเธอกำลังตกใจ ก่อนจะก้มลงมองและสังเกตเห็นว่ามีหญ้าวิญญาณสองสามต้นอยู่บนพื้นดิน

หญ้าวิญญาณเหล่านี้สามารถนำไปขายเพื่อแลกกับเงินจำนวนหนึ่งได้จริงๆ แต่สำหรับหญิงสาว การกระทำเช่นนี้ก็ยังทำให้เธอค่อนข้างประหลาดใจอยู่ดี

จ้องมองไปยังชายหนุ่มอีกครั้ง ตามร่างกายของเขาปรากฏรอยฟกช้ำ บาดแผลมีเลือดไหลออกมาอย่างต่อเนื่อง

หญิงสาวก็ตระหนักได้ทันทีว่าตนเองสมควรจะทำสิ่งใด

“ไม่เลวนี่นา เจ้าหนุ่มผู้กล้าหาญ ฉันกำลังจะย้อนกลับไปพอดี นายจะมาด้วยกันกับฉันไหม” เธอเอ่ย

“…น้อมรับด้วยความเต็มใจ”

แคมป์เล็กๆ ถูกตั้งขึ้น ทั้งสองล้อมวงรอบกองไฟ

พวกเขากำลังนั่งรับประทานอาหาร และพูดคุยกัน

“ผมเรียกว่ากู่ฉิงซาน แล้วคุณล่ะเรียกว่าอะไร?”

“อะฮ่า! บทสนทนาธรรมดาๆ แบบนี้มันไม่ตรงกับบุคลิกความกล้าหาญที่นายมีเลย แต่ก็เอาเถอะ ชื่อของฉันคือแอนนา”

“ขอบพระคุณที่ช่วยชีวิตผมเอาไว้ ผมจะจดจำชื่อของคุณและจะต้องชดใช้คืนให้ในอนาคตอย่างแน่นอน”

“ชดใช้คืนให้ฉัน? นายคิดว่าฉันช่วยนายเพราะต้องการรางวัลตอบแทนอย่างนั้นเหรอ นั่นไม่จำเป็นหรอก”

เธอโบกมือ เอ่ยปากกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ

“มันเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยสำหรับคุณ แต่สำหรับผม มันเป็นเรื่องสำคัญถึงชีวิต และผมไม่ต้องการที่จะติดหนี้บุญคุณก้อนใหญ่แก่ใครทั้งนั้น”

“ฮ่าๆๆ นายนี่มันจะจริงจังเกินไปแล้ว เป็นผู้ชายแต่ดันทำตัวน่ารักซะไม่มี” เธอเชิดหน้าขึ้น ปากอ้าหัวเราะ

“นี่ไม่ใช่เรื่องตลกนะ” กู่ฉิงซานก้มหัวลง ปากขมุบขมิบด้วยน้ำเสียงอู้อี้

เธอกลอกตามองบน และจู่ๆ ก็เอ่ยออกมา “ก็ได้ๆ ถ้าอย่างนั้นนายพอจะสามารถทำอะไรบางสิ่งบางอย่างให้ฉันจะได้ไหม?”

เขาเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายและกล่าว “แน่นอน ตราบใดที่มันอยู่ในขอบเขตความสามารถที่ผมทำได้”

“ถ้าอย่างนั้นก็ไปหาไวน์ที่มีรสชาติร้อนแรงที่สุด และอร่อยที่สุดในโลกมาให้ฉันสิ”

หญิงสาวเลียริมฝีปากของเธอและกล่าว “นำไวน์ดีๆ มาวางตรงหน้าฉัน เพื่อชดใช้หนี้ในครั้งนี้”

“ชีวิตของผม มันมีค่าแค่ไวน์ขวดเดียวเท่านั้นเองเหรอ” เขาเอ่ยเย้ยหยันตัวเองเล็กน้อย

“ไม่เลย มันไม่เกี่ยวอะไรกับชีวิตของนายหรอก เพียงแค่ว่าไวน์มันเปรียบเสมือนกับชีวิตของฉันก็เท่านั้นเอง” หญิงสาวส่ายหัว

“ผมไม่เข้าใจ ทำไมถึงพูดแบบนั้นล่ะ” เขาอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม

“เพราะฉันจะรู้สึกว่าตัวเองยังมีชีวิตอยู่ก็ต่อเมื่อในยามที่ตัวเองเมามายจริงๆ เท่านั้นน่ะสิ” น้ำเสียงของหญิงสาวฟังดูหดหู่ แววตาของเธอเต็มไปด้วยระลอกของความเจ็บปวดอันไร้ที่สิ้นสุด

และภาพในฉากนี้ก็หายไป

หลายปีต่อมา

บนท้องฟ้าในยามค่ำคืน สาดแสงสว่างลุกท่วมไปด้วยเปลวเพลิง

กู่ฉิงซานยืนนิ่งงันอยู่บนต้นไม้เก่าแก่ ตัวเขาบัดนี้แลคล้ายประติมากรรมที่สูญสิ้นซึ่งจิตวิญญาณ

เขาจ้องมองไปยังประกายเพลิงจากระยะไกล และรับรู้ว่าตนเองนั้นมาสายเกินไป

ในมือของเขาถือไวน์ขวดหนึ่งที่จุกของมันถูกปิดสนิท

ภายในขวดคือไวน์วิญญาณที่เขาปรุงแต่งมันขึ้นมาอย่างระมัดระวัง แม้กระทั่งปรมาจารย์ด้านอาหารวิญญาณในโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ ผู้ใดได้ชิมลิ้มรสมันต่างก็กล่าวชื่นชมยกย่องเป็นเสียงเดียวกัน

หลังจากห้าปีแห่งความพยายาม ในที่สุดเขาก็สามารถทำตามคำขอของเธอได้สำเร็จ

และเขาก็ออกเดินทางตามหาเธอด้วยความมั่นใจที่เปี่ยมล้น

อย่างไรก็ตาม ความผันผวนทางพลังวิญญาณที่อยู่ห่างไกลออกไป ระบุได้อย่างชัดเจน ว่าพลังชีวิตของเธอได้ถูกแผดเผาจนมอดไหม้ไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว

เปลวเพลิงที่ลุกโชติช่วงกำลังมอดดับลง

ทั่วทุกสารทิศ จมอยู่ในความตาย กระแสไอร้อนพวยพุ่ง เปลี่ยนสายลมหนาว ให้กลายเป็นร้อนชื้น พัดผ่านไกลออกไป

ฉากตรงหน้าถูกปกคลุมด้วยความมืดมิดในยามค่ำคืนอีกครั้ง

แสงอันอบอุ่นที่แต่เดิมคาดหวังว่าจะได้พบเจอกันได้พัดผ่านไปแล้ว ช่วงเวลานี้ตัวเธอได้จากไป ไม่มีทางที่จะได้พบเจอกับเธอในโลกใบนี้อีกแล้วตลอดกาล

“ทำไมกัน ทำไมคนอย่างคุณถึงต้องตายด้วย…”

ปากขยับงึมงำ เปล่งเสียงบางเบาราวกระซิบ มือที่กำลังกำแน่นค่อยๆ คลายลงโดยไม่รู้ตัว

และขวดไวน์ที่ยังมิได้ถูกเปิดจุกก็ร่วงหล่นลงจากต้นไม้ แตกกระจัดกระจายเป็นชิ้นๆ

............................................................