webnovel

0171 ปราณดาบ

ตอนที่ 171 ปราณดาบ 

ยามค่ำคืน 

กู่ฉิงซานนั่งอยู่ในเต็นท์ทหาร 

เบื้องหน้าเขาวางเรียงรายไปด้วยชุดเกราะรบสีทองคำ ลูกศรสีดำอีกสองตะกร้า และใบหยกอีกหนึ่ง 

ใบหยกนี้เขาได้มันมาจากนักพรตเป่ยหยวน เพื่อแสดงถึงคำขอบคุณในคำแนะนำด้านกลยุทธ์ของเขา 

แนะนำโดยการบอกกล่าวนางเซียนไป่ฮั่วให้สร้างสามปราชญ์ตัวปลอมขึ้นมา และล่อลวงซินจุนจีจนติดกับ 

ถ้าหากไม่เกิดอุบายดังกล่าวขึ้น เกรงว่าแม้กระทั่งตัวนักพรตเป่ยหยวนเอง ก็ยังมีความเป็นไปได้สูงที่จะถูกดูดกลืนเข้าไปยังโลกของมารสวรรค์ 

กู่ฉิงซานหยิบใบหยกขึ้นมา 

บนหน้าต่างเทพสงคราม ปรากฏเส้นแสงที่บรรจงร้อยเรียงไปด้วยคำเล็กๆ ขึ้นอย่างฉับพลัน 

“ค้นพบเทคนิคลับ การปกปักของทวยเทพ ต้องการจ่ายสามสิบแต้มพลังวิญญาณเพื่อทำการเรียนรู้หรือไม่?” 

กู่ฉิงซานเผยท่าทีลังเล เขากำลังพิจารณาว่าสมควรจะเรียนรู้มันดีหรือไม่ 

หากอิงตามที่นักพรตเป่ยหยวนกล่าว หลังจากที่ทำการฝึกฝนเรียนรู้วิชานี้ มารสวรรค์หรืออะไรที่เกี่ยวข้องกับการสะกดจิต จะไม่อาจใช้ช่องว่างในจิตใจฉวยผลประโยชน์จากเขาได้ 

กู่ฉิงซานคิด และสุดท้ายเขาก็เลือก “เรียนรู้” 

“ทำการเรียนรู้เทคนิคลับ การปกปักของทวยเทพ แต้มพลังวิญญาณคงเหลือสองร้อยเจ็ดสิบแต้ม” 

กระแสไอร้อนจากใบหยกได้ไหล่ออกมา ผ่านเข้าสู่มือของกู่ฉิงซานและในที่สุดก็ตกลงไปในทะเลแห่งห้วงสติ 

ทันใดนั้น กู่ฉิงซานก็เข้าใจถึงความลึกล้ำของวิชานี้ 

มันเป็นเรื่องยากที่จะสามารถได้ครอบครองเทคนิคมนตราที่ใช้ปกป้องจิตเทวะจากการถูกล่อลวงโดยพวกมารสวรรค์ โดยทั่วไปแล้วมีเพียงวิชาจากนิกายพุทธะเท่านั้นที่จะสามารถสะกดพวกมันลงได้ 

คราวนี้ หากไม่ใช่เพราะความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของเขาแล้วล่ะก็ กู่ฉิงซานเองก็คงจะไม่ได้รับความเมตตาจากนักพรตเป่ยหยวน และตนเองก็คงจะไม่ได้รับวิชานี้มาครอบครอง 

“ช่างลึกล้ำเสียจริงๆ…” เขาเอ่ยงึมงำ 

หลังจากที่ได้ทำการเรียนรู้วิชานี้ เขาก็ไม่จำเป็นต้องไปยุ่งวุ่นวายอะไรกับมันเลย 

เนื่องเพราะยามเมื่อจิตเทวะถูกโจมตี หรือมารสวรรค์กำลังใกล้เข้ามา วิชานี้ก็จะถูกใช้ออกไปเองเลยโดยอัตโนมัติ 

มันจะถูกเปิดใช้งาน เมื่อใดก็ตามที่มารสวรรค์เข้ามาใกล้ หรือตัวเขาโดนเทคนิคลับบางอย่างล่อลวง เทคนิคมนตรานี้ก็จะกระตุ้นธรรมพิทักษ์ ช่วยปกปักจิตเทวะมิให้ถูกบุกรุก 

นับได้ว่าเป็นวิชาที่ช่วยรับประกันความปลอดภัยได้ดีเยี่ยม 

กู่ฉิงซานรู้สึกพอใจกับสิ่งนี้มาก 

เขาก้มลงอีกครั้ง สายตาสาดส่องลงมายังเกราะทองคำ 

มองไปยังชุดเกราะทองคำ เกราะอก เกราะไหล่ แขน มือ เข็มขัด รองเท้ายาว ล้วนเป็นของใหม่คุณภาพเยี่ยม ความตื้นลึกหนาบางอยู่ในระดับปานกลาง ยามถูกฟาดฟันด้วยคมอาวุธ ก็มิทิ้งร่องรอยใดๆ เอาไว้ 

ในชุดเกราะของกู่ฉิงซาน ยังมีหน้ากากเกราะเงินอยู่อีกด้วย 

ครั้งแรกในยามที่เขาได้พบเจอกับหนิงเยว่ฉาน เขาก็เห็นว่าเธอสวมใส่หน้ากากเงินเพื่อปิดบังใบหน้าของตนเองอยู่เช่นกัน 

เดิมกู่ฉิงซานคิดว่ามันเป็นสิ่งที่หนิงเยว่ฉานตระเตรียมเอาไว้ใช้เอง ทว่าตอนนี้ดูเหมือนว่ามันจะเป็นส่วนหนึ่งในชุดเกราะรบระดับนายพล 

เขาหยิบหน้ากากเงินที่บางเบาราวกับปีกจักจั่นขึ้นมา ลองทุ่มใช้มือบีบเต็มกำลังก็ยังมิปรากฏความเสียหายใดๆ แม้กระทั่งกวาดจิตสัมผัสเทวะลงไปก็ยังไม่อาจทะลุมันเข้าไปได้ 

“หน้ากากที่ดี!” เขาเอ่ยสรรเสริญคำหนึ่ง 

นี่คืออุปกรณ์ของนายพลชั้นโหยวจี บนแต่ละชิ้นส่วนชุดเกราะทองคำถูกสลักเอาไว้ด้วยอักษรรูน แต่หากต้องการจะมองเห็นมันได้อย่างชัดเจนก็คงจะไม่ง่ายนัก เนื่องจากพวกอักษรรูนได้ถูกซ่อนเอาไว้ จึงมิสามารถมองเห็นมันได้ 

ชุดเกราะทองคำนี้สมควรมีค่าใช้จ่ายในการสรรค์สร้างที่สูงยิ่ง และมันอาจจะต้องใช้เวลาถึงห้าหรือหกปีหลอมกลั่นโดยเหล่าปรมาจารย์ และคงใช้เวลาราวๆ สามเดือนในการประกอบ จึงจะเสร็จสมบูรณ์ได้ในที่สุด 

ชุดเกราะรบนี้จะช่วยเสริมความสามารถในการป้องกันของผู้ฝึกยุทธได้อย่างมหาศาล 

ในสนามรบ พลังป้องกันนั้นคือชีวิต 

ผู้ฝึกดาบนั้นมีอำนาจในการทำลาย ทว่าหากคุณสวมใส่ชุดเกราะรบนี้เสริมเข้าไปด้วยล่ะก็ จะสามารถละความสนใจโดยสิ้นเชิงจากการป้องกันขั้นพื้นฐาน และทุ่มโจมตีได้เลยอย่างสุดกำลัง 

สำหรับศัตรูของผู้ฝึกดาบ นี่นับว่าเป็นเรื่องที่น่าสะพรึงกลัวยิ่ง 

ถัดจากชุดเกราะทองคำ คือลูกศรสีดำสองตะกร้า 

มันคือศรทำลายมาร 

กู่ฉิงซานเคยไปยังคลังอาวุธชั้นนายพลแล้ว และแม้จะพบว่าอาวุธต่างๆ ภายในนั้นไม่เลวร้ายเลย ทว่ามันก็ไม่ได้ดีไปกว่าดาบพิภพและธนูเย่หยู 

อาวุธเหล่านั้นแทบทั้งหมดล้วนแล้วแต่อยู่ในระดับอาวุธมนตรา ทว่าดาบพิภพนั้นเหมาะมือกับเขามากกว่า แถมมันยังเป็นมรดกตกทอดมาจากโบราณ และตามที่ท่านอาจารย์ได้กล่าว ตอนนี้มันก็ยังมิได้ปลดปล่อยพลังที่แท้จริงออกมาโดยสมบูรณ์ 

ส่วนธนูเย่หยู มันเป็นธนูที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษของหนิงเยว่ฉาน จากรุ่นสู่รุ่น แม้ในด้านพลังอำนาจจะด้อยอยู่บ้าง ทว่ามันกลับมีความหมายและความสำคัญต่อเขามากเป็นพิเศษ 

อาวุธทั้งสองนี้ กู่ฉิงซานไม่มีความคิดใดๆ จะเอาอาวุธอื่นเข้ามาแทนที่ 

ดังนั้นเขาจึงหยิบเอาศรทำลายมารสองตะกร้ามาแทน 

เพียงแค่ได้รับเกราะและลูกศร แค่นี้ก็ทำให้หัวใจของกู่ฉิงซานอิ่มเอมมากพอแล้ว 

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่สำคัญกว่าก็คือ 

กู่ฉิงซานได้เปิดหน้าต่างระบบเทพสงคราม และก้มลงมองไปยังในส่วนภารกิจของเขา 

“ภารกิจแห่งโชคชะตา การสู้รบขั้นแตกหักครึ่งแรก” 

“เป้าหมายภารกิจ มีเพียงแค่ตัวตนระดับสูงเท่านั้นจึงจะมีอิทธิพลและเชิดหน้าชูตาได้ ในการสู้รบขั้นแตกหักช่วงครึ่งแรกนี้ คุณจะต้องเลื่อนยศทางกองทัพของตน ก้าวขึ้นไปสู่ขั้นนายทหารยศพันเอกให้จงได้” 

“หากภารกิจล้มเหลว รางวัลจะถูกถอดถอนออก และผู้เล่นจะไม่สามารถยกระดับพื้นฐานวรยุทธ์ได้เป็นเวลาสามปี” 

หลังจากที่เขาได้อ่านคำแนะนำของภารกิจทั้งหมดอีกครั้งหนึ่ง ทันใดนั้นเอง กระแสแสงตัวอักษรก็จางหายไป 

และถูกแทนที่ด้วยเส้นแสงหิ่งห้อย 

“ท่านได้บรรลุภารกิจแห่งโชคชะตา การสู้รบขั้นแตกหักครึ่งแรก” 

“ขณะนี้ ท่านก็ยังคงมีสิทธิ์ที่จะสามารถใช้สมญาเทพสงครามได้ชั่วคราวจนกว่าจะสามารถบรรลุภารกิจทั้งหมดได้เสร็จสมบูรณ์” 

“เนื่องเพราะท่านสามารถบรรลุภารกิจได้ดีเกินกว่าที่กำหนด ได้รับเกียรติยศอันยิ่งใหญ่จากการต่อสู้ ดังนั้นท่านจึงได้รับสมญานามใหม่” 

“เนื่องเพราะท่านสามารถบรรลุภารกิจได้ดีเกินกว่าที่กำหนด ระบบจึงมอบรางวัลให้ท่านสามารถพักผ่อนในโลกจริงได้เป็นเวลาเจ็ดวัน หลังจากเจ็ดวันต่อมาท่านจำต้องเข้าสู่โลกแห่งผู้ฝึกยุทธอีกครั้ง และยังคงกลับมายังช่วงเวลาที่ท่านถูกทิ้งไว้ที่นี่” 

กู่ฉิงซานละความสนใจจากประโยคสุดท้ายโดยสิ้นเชิง เขารีบเลือกไปยังไอค่อน ‘สมญาเทพสงคราม’ ทันที 

“สมญาแห่งเทพสงคราม สะท้อนก้องไกลไปทั่วทั้งสวรรค์และโลก แพร่กระจายออกไปยังโลกทั้งสิบ และนี่คือสมญาในปัจจุบันที่ท่านกำลังครอบครอง” 

“ผู้เล่นกู่ฉิงซาน สมญาที่ครอบครองในปัจจุบัน สาม” 

“โปรดทราบว่าท่านสามารถสวมใส่สมญาได้เพียงครั้งละหนึ่งเท่านั้น” 

“สมญาที่ หนึ่งต่อสิบห้าดาบ สมญาเฉพาะตัว” 

“คำอธิบาย ในวันที่มีการทดสอบประจำปี ท่านได้ใช้กระบวนท่าดาบโถมโจมตีเข้าใส่ฝูงสิบห้าผู้ฝึกยุทธ ในยี่สิบอันดับแรกจนแตกกระเจิง ดังนั้น เหล่ามือใหม่และนิกายน้อยใหญ่จึงต่างตั้งสมญาให้แก่ท่านว่าสิบห้าดาบ” 

“ต้องการสวมใส่สมญานี้หรือไม่ หากสวมใส่ ท่านจะได้รับสกิลพิเศษ คลื่นสั่นสะเทือนขั้นต้น” 

“คลื่นสั่นสะเทือนขั้นต้น ในระหว่างกระบวนการโจมตี ท่านจะสามารถสร้างความเสียหายแก่จิตเทวะของศัตรูได้เล็กน้อย” 

“สมญาที่สอง นายพลชั้นโหยวจี ครอบคลุมไปถึงสมญานายทหารชั้นพันตรี” 

“คำอธิบาย นี่คือยศนายพลระดับสี่แห่งกองทัพพันธมิตรมนุษยชาติ” 

“ต้องการจะสวมใส่สมญานี้หรือไม่ หากสวมใส่ ท่านจะได้รับสกิลพิเศษ โจมตีฉับไว (ขั้นกลาง)” 

“โจมตีฉับไวขั้นกลาง ช่วยเพิ่มความว่องไวในการโจมตีของผู้เล่นสิบห้าเปอร์เซ็นต์” 

“สมญาที่สาม ผู้บัญชาการรบมากพรสวรรค์” 

“คำอธิบาย เนื่องเพราะท่านสามารถเข้าใจได้ถึงสถานการณ์ของสงคราม และสามารถคว้าโอกาสในการกำหนดกลยุทธ์เพื่อล่อลวงศัตรู ส่งผลให้เผ่ามารได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรง วางรากฐานนำไปสู่ชัยชนะในสงคราม” 

หนึ่งในสามปราชญ์แห่งโลก นางเซียนไป่ฮั่วได้ยกย่องท่านต่อหน้าสาธารณชน ว่ามีพรสวรรค์ในด้านการบัญชาการรบ ดังนั้นสมญานี้จึงได้รับการยอมรับจากเหล่าผู้ฝึกยุทธทั่วโลกไปตามลำดับ 

“สวมใส่สมญานี้ จะได้รับสกิลพิเศษ ปราณดาบสุดขอบฟ้า” 

“ปราณดาบสุดขอบฟ้า เมื่อใดก็ตามที่ดาบของท่านถูกปกคลุมไปด้วยปราณดาบ และท่านได้เปิดใช้งานสกิลนี้ ปราณดาบและสกิลดาบจะหลอมรวมกันพร่ามัวเป็นเงา ยามฟาดฟันพลังโจมตีจะเพิ่มสูงขึ้น และปรากฏการณ์โจมตีขึ้นอีกระลอก เมื่อใช้สมญานี้ ท่านจะถูกจำกัดให้ใช้เฉพาะอาวุธดาบเท่านั้น” 

กู่ฉิงซานจ้องมองสองสมญาใหม่ และอดไม่ได้ที่จะเดาะลิ้นออกมา 

สกิลปราณดาบนี้ไม่เลวเลย สกิลโจมตีฉับไวขั้นกลางก็เช่นกัน 

สกิลพิเศษของสมญานายทหารชั้นพันตรี ช่วยเพิ่มความว่องไวในการโจมตีขึ้นสิบเปอร์เซ็นต์ ในครานั้นกู่ฉิงซานสามารถฆ่าสังหารกระเรียนเมฆาเพลิงได้ในกระบวนท่าเดียว ดังนั้นมิจำเป็นต้องกล่าวถึงสกิลพิเศษของสมญานายพลชั้นโหยวจี ที่เพิ่มพูนความว่องไวมากถึงสิบห้าเปอร์เซ็นต์! 

สำหรับผู้ฝึกดาบที่ทรงพลัง การได้รับความเร็วที่เพิ่มพูนขึ้นแม้เพียงนิด จะส่งผลต่อการต่อสู้ให้แตกต่างออกไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง 

กู่ฉิงซานจดจ้องไปยังความสามารถของสองสมญานี้ ภายในหัวใจรู้มั่งคั่งไปด้วยความอิ่มเอม สัมผัสได้ถึงผลกำไรอันมหาศาลที่ได้รับ

........................................