webnovel

0152 มารสวรรค์จำพวกมองเห็นได้

ตอนที่ 152 มารสวรรค์จำพวกมองเห็นได้ 

เหลิงเทียนสิงจับจ้องไปยังเบื้องหน้า ปากเอ่ยพึมพำ “นั่นมันอะไรกันน่ะ?” 

ทางฝั่งกู่ฉิงซานทั้งร่างของเขาพลันแข็งค้าง กัดฟันกรอด สีหน้าหนักอึ้ง 

ภายในค่ายทหาร เห็นเพียงเงาสีดำกำลังล่องลอยอยู่กลางอากาศอย่างเงียบๆ 

บนพื้นดินเต็มไปด้วยโครงกระดูกสีขาว มีบ่อยครั้งที่จะปรากฏแสงสีดำสาดยาวออกมา ราวกับกำลังมีบางสิ่งบางอย่างในแสงสีดำกำลังดิ้นรนอย่างต่อเนื่อง 

แสงสีดำลอยตัวขึ้น และถูกดูดกลืนโดยเงาดำๆ ที่ลอยอยู่กลางอากาศ 

เงาดำๆ ที่พวกเขาเห็นครั้งแรกนั้นมีเค้าโครงคล้ายกับมนุษย์ 

อย่างไรก็ตาม หากสังเกตอย่างรอบคอบจะเห็นว่าเงาดำๆ นี้ แท้จริงแล้วคล้ายกับเค้าโครงของมนุษย์จำนวนนับไม่ถ้วนที่ถูกเปลี่ยนความหนาให้กลายเป็นบางเท่ากับกระดาษ และนำมาซ้อนทับๆ เข้าด้วยกัน 

เงาดำเปล่งเสียงร้องของมนุษย์ น้ำเสียงของมันเต็มไปด้วยความสุข 

“ดี ดีมากๆ เลย…” 

“แต่ข้าต้องการมันอีก” 

“ต้องการมากกว่านี้!” 

ทว่าเสียงนี้กลับฟังดูเหมือนเป็นเสียงของหลายพันคน ไม่ว่าจะชาย หญิง เด็กเล็ก คนแก่ เอ่ยกล่าวขึ้นพร้อมๆ 

ด้วยเสียงอันพิกลนี้ ทำให้สันหลังของเหลิงเทียนสิงเย็นวาบ 

“ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าข้าจะได้พบกับมันจริงๆ” กู่ฉิงซานคิดในใจ 

เขาดึงเหลิงเทียนสิง และค่อยๆ ก้าวถอยฉากออกมาอย่างเงียบๆ 

เหลิงเทียนสิงมองมาที่เขา และเห็นว่าสีหน้าของกู่ฉิงซานบัดนี้หนักอึ้ง เหงื่อเย็นผุดขึ้นมาเต็มหน้าผาก 

ด้วยประสบการณ์ของเหลิงเทียนสิง เพียงแค่มองท่าทีที่แสดงออกมาของกู่ฉิงซาน เขาก็พอจะทราบสถานการณ์คร่าวๆ ทันที 

กู่ฉิงซานดูเหมือนจะรู้จักกับเจ้าตัวพิกลนี้ ยิ่งไปกว่านั้นดูจากสีหน้าหนักอึ้งของเขาแล้ว ก็พอจะบอกได้ว่ามารตัวนี้ส่อแววลางร้ายอย่างชัดเจน มิสมควรต่อกรด้วย 

เหลิงเทียนสิงตอบสนองทันที เขาค่อยๆ ถอยตามกู่ฉิงซานออกไปอย่างช้าๆ 

เมื่อทั้งสองเว้นระยะห่างออกมาได้ราวๆ ห้าจั่ง จู่ๆ กู่ฉิงซานก็ระเบิดเสียงคำรามดังสนั่นออกมา 

“ทุ่มเต็มกำลัง!” 

ก่อนที่จะทันได้สิ้นเสียง ดาบพิภพในมือก็ถูกง้างขึ้นสูงแล้ว 

ตามใบดาบพิภพ ถูกห่อหุ้มด้วยชั้นสายฟ้าแปลบปลาบ บังเกิดเสียงเปรี๊ยะๆ ตามมาด้วยรังสีดาบที่พร่างพราว 

ประกายแสงวาววับสะดุดตาเห็นได้ชัดว่านี่คือเทคนิคลับแห่งดาบ ตัดจันทรา การกระทำเช่นบ่งบอกว่าเขาได้ทุ่มสุดตัวแล้วอย่างแท้จริง  

ท่ามกลางความมืดมิด รังสีดาบอันหาที่ใดเปรียบถูกระเบิดออก สาดแสงในป่าทึบ แปรเปลี่ยนมันจนแลคล้ายตะวันยามรุ่ง 

ดาบพิภพถูกสับวาดลงมาอย่างรวดเร็วและดุดันจนเห็นเป็นเส้นโค้งมน ทว่าในวินาทีสุดท้ายมันกลับตวัดเฉือนเบนทิศทางเบื้องหลังของทั้งสอง 

เสี้ยววินาทีต่อมา พลันปรากฏเงาดำขึ้นเบื้องหลังทั้งสองจริงๆ และมันก็ถูกสับสะบั้นโดยรังสีดาบที่ตวัดเป็นเส้นโค้งทั้งๆ อย่างนั้น 

กู่ฉิงซานใช้พลังวิญญาณกระตุ้นสายฟ้าเล่ยเดี๋ยน “เปิดใช้งาน ชิกงสูญสิ้นการควบคุม!”  

พริบตานั้นเงาดำก็นิ่งค้างกลางอากาศอย่างฉับพลัน 

วินาทีต่อมา ปรากฏเสียงกรีดร้องลั่นของผู้คนนับหมื่นพัน ก็หวีดดังออกมาจากเงาดังกล่าวนั้น 

เสียงนี้ราวกับเป็นค้อนยักษ์ที่มองไม่เห็น สั่นประสาทกู่ฉิงซานและเหลิงเทียนสิงจนทั้งสองต้องกระอักเลือดออกมา 

ทว่าเงาดำก็ถูกโจมตีจนได้รับบาดเจ็บเช่นกัน 

กู่ฉิงซานมิเพียงใช้เทคนิคลับตัดจันทรา แต่ยังใช้สายฟ้าเล่ยเดี๋ยน ‘ชิกง’ อันทรงพลังออกไปด้วย 

สายฟ้าเล่ยเดี๋ยนนั้นแฝงไว้ด้วยสกิลที่เรียกกันว่า ทัณฑ์ปีศาจ ที่เป็นอริต่อพวกเผ่ามารโดยธรรมชาติ ส่งผลให้พวกมันได้รับความเสียหายเพิ่มขึ้นถึงสามสิบเปอร์เซ็นต์ 

ดังนั้นด้วยคมดาบนี้ แม้จะไม่สามารถเอ่ยได้ว่าทำให้เงาดำได้รับบาดเจ็บหนัก ทว่าอย่างน้อยก็ต้องสร้างความเจ็บปวดมหาศาลให้แก่มันได้อย่างแน่นอน 

จิตเทวะของเหลิงเทียนสิง ปวดร้าวอย่างรุนแรง ในมือเร่งจีบออกด้วยเทคนิคลับ 

กู่ฉิงซานตะโกนเตือนออกไปในยามแรก เพราะเขารู้ว่าสถานการณ์จะต้องเกิดการแปรเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว จึงต้องทุ่มพลังที่มีทั้งหมดออกไป 

ทางด้านเหลิงเทียนสิงจึงไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อยที่จะใช้ออกด้วยเทคนิคลับ 

เขาเชื่อมั่นว่ากู่ฉิงซานจะต้องซื้อเวลาให้เขาได้เพียงพออย่างแน่นอน เพื่อที่จะมีเวลาร่ายเทคนิคลับของธาตุทั้งห้า 

ทั้งสองฟันฝ่าความท้าทายต่างๆ ในโลกเทวะมาด้วยกัน  ฆ่าสังหารดงทะเลมาร จนก่อให้เกิดความเข้าใจและไว้วางใจซึ่งกันและกัน 

แน่นอนว่าพอเงาดำกำลังจะเริ่มฉวยโอกาสโจมตี มันก็ถูกหยุดลงเล็กน้อยโดยรังสีดาบตวัดผ่านอากาศของกู่ฉิงซาน เปิดโอกาสในการร่ายเทคนิคลับให้แก่เขา 

เหลิงเทียนสิงตะคอกออกคำหนึ่ง “จงตายเพื่อข้า!” 

ผนึกมนตราถูกปลดปล่อยออกมาอย่างเต็มกำลัง โถมเข้าใส่ร่างเงาดำ 

ยามเมื่อเทคนิคลับธาตุทั้งห้าถูกปลดปล่อยออกมา ทุกสรรพสิ่งก็จมลงสู่ความเงียบ! 

นี่คือสกิลธาตุน้ำจากผู้ที่สามารถปลดผนึกธาตุน้ำขั้นสามในระดับสูงสุด หนุนเสริมด้วยมันได้รับการฝึกฝนและทำความเข้าใจจนถ่องแท้โดยเหลิงเทียนสิง ยิ่งทำให้มันสามารถระเบิดพลังออกมาได้เหนือยิ่งกว่าขอบเขตปกติ 

ปรากฏหมอกเย็นยะเยียบสีขาวโปร่งใส จากนั้นร่างเงาดำแปลกๆ ที่ลอยบนอากาศที่ว่างเปล่าก็ค่อยๆ ถูกแช่แข็งไปโดยสมบูรณ์ 

จากการลงมือของกู่ฉิงซาน จนกระทั่งเหลิงเทียนสิงใช้ออกด้วยเทคนิคลับ ทั้งหมดผ่านพ้นไปเพียงสองวินาทีเท่านั้น 

นี่คือปฏิกิริยาตอบสนองและความร่วมมือร่วมใจกันอย่างสมบูรณ์แบบ ทำให้ทั้งสองรอดชีวิตมาได้! 

เสียงหวีดของเงาดำหยุดลงอย่างฉับพลัน 

มันถูกแช่แข็งในลูกบอลน้ำโปร่งใสขนาดยักษ์ และไม่ขยับเขยื้อนใดๆ อีกเลย 

ชั้นน้ำแข็งค่อยๆ เกาะกุมลงไปบนเงาดำ แปรเปลี่ยนมันให้กลายเป็นสีขาวราวหิมะ 

เหลิงเทียนสิงจ้องมองไปที่ผลงานของตัวเองอย่างพึงพอใจ ปากอ้าเตรียมจะเอ่ยอะไรบางอย่าง ทว่าเขากลับได้ยินเสียงเรียกของกู่ฉิงซานเสียก่อน 

“วิ่ง!” 

สิ้นเสียง กู่ฉิงซานก็สับฝีเท้าวิ่งออกไปทันที 

เหลิงเทียนสิงตกใจเล็กน้อย แต่เขาก็ถูกลากมาโดยกู่ฉิงซาน ก่อนจะเร่งฝีเท้าตามกลายเป็นสองเส้นแสง ล่าถอยกลับไปยังเส้นทางที่เคยผ่านมา 

สุดท้ายแล้วจากตกใจก็เริ่มที่จะกลายเป็นสับสน 

นั่นคือเทคนิคลับจากธาตุทั้งห้าของข้าที่สามารถระเบิดพลังของมันออกมาได้เกินขอบเขตเลยเชียวนะ ด้วยสกิลเต๋าอันแสนจะทรงพลังนี้ ต่อให้เป็นผู้ที่อยู่ในระดับแก่นทองคำ ย่อมตกตายอย่างไม่ต้องสงสัย  นี่หรือว่าเจ้าจะไม่มั่นใจในฝีมือของข้าใช่หรือไม่? 

เหลิงเทียนสิงกำลังเตรียมจะเอ่ยปากถึงสกิลเต๋าอันทรงพลานุภาพของเขา ทว่าในตอนนั้นเอง ก็พลันปรากฏเสียงเล็กๆ เบาๆ ขึ้นจากเบื้องหลัง 

เปรี๊ยะ! 

บนบอลน้ำแข็ง รอยปริร้าวเริ่มผุดขึ้นมาเป็นเส้นบางๆ ก่อนจะเริ่มขยับแตกขยายออกไปอย่างรวดเร็ว 

สีหน้าของเหลิงเทียนสิงซีดขาว เหงื่อเย็นเริ่มผุดขึ้นมาบนแผ่นหลังเขา ยามนี้เขาตระหนักได้อย่างถ่องแท้แล้วว่าเจ้าเผ่ามารตัวนี้มันน่าหวาดกลัวขนาดไหน! 

เผ่ามารก็คือเผ่ามาร โดยทั่วไปแล้วพวกมันคือมอนสเตอร์ 

มารที่แท้จริงนั้นจะหาได้ยากยิ่ง และมารแต่ละตัวก็มีความสามารถอันน่าทึ่งยากที่จะเชื่อ 

และเจ้ามารตัวนี้ ดูจะก้าวล้ำเหนือขึ้นไปยิ่งกว่ามารประเภทอื่น 

เหลิงเทียนสิงมิกล้าชะลอฝีเท้าอีกต่อไป เขาสับขาอย่างเต็มกำลังจนเผลอวิ่งแซงกู่ฉิงซาน 

ทว่าพวกเขาวิ่งออกมาได้เพียงไม่กี่สิบจั่ง กลับได้ยินเสียงปัง!ดังขึ้นมาจากเบื้องหลัง 

จะเร็วเกินไปแล้ว! 

สีหน้าของเหลิงเทียนสิงแปรเปลี่ยนกลับกลาย 

ทว่าทางฝั่งกู่ฉิงซาน เขากลับตอบสนองฉับพลัน กระโจนเหินขึ้นในไปอากาศ พลิกตัวเอี้ยวไปยังเบื้องหลังพร้อมกับธนูเย่หยูที่ปรากฏขึ้นในมือ 

บรัช! 

ศรที่สาดประกายสีดำหมึกไร้ซึ่งลวดลายสีขาวใดๆ ถูกแนบลง ง้างจนสายตึง 

ร้อยก้าวผ่านหยาง! 

ยิงต่อเนื่อง! 

กังหันลม! 

ยิงระเบิด! 

ทุกสกิลถูกใช้ออก ธนูทั้งสามดอกนี้ก็ถูกยิงออกไป 

กู่ฉิงซานร่วงลงกับพื้น ล้มกลิ้งขลุกๆ ม้วนตัวไปสองตลบทว่าเขากลับยังไม่ลุกขึ้นยืน 

ด้วยสกิลยิงระเบิดที่เป็นสกิลธนูที่แกร่งเกินขอบเขตของเขานี้ สามารถฆ่าสังหารได้แม้กระทั่งมอนสเตอร์ระดับสูง ทว่ากู่ฉิงซานกลับใช้มันออกไปถึงสามครั้งในลมหายใจเดียว หนุนเสริมด้วยเทคนิคลับตัดจันทราและสายฟ้าเล่ยเดี๋ยนก่อนหน้านี้ ผลพวงของมันทำให้เขาเกิดความอ่อนล้าและไม่สามารถรีดกำลังออกมาได้ชั่วคราว 

เหลิงเทียนสิงเห็นเช่นนั้น ก็รีบพุ่งไปแบกอีกฝ่ายและวิ่งหนีต่อทันที 

สามศรทำลายมารหวีดหวิวกรีดอากาศพุ่งตรงไปยังเงามืด ขณะนี้มันพึ่งจะหลุดรอดออกมาจากบอลน้ำแข็งได้ ตามร่างกายยังปรากฏชั้นเกล็ดน้ำแข็งเกาะกุมไม่อาจที่จะหลบเลี่ยง 

ศรทั้งสามยิงแสกเข้ากลางร่างเงา! 

บังเกิดเสียงคำรามลั่นด้วยความโกรธ สั่นสะเทือนไปทั้งผืนป่า 

ศรทำลายมารเจาะเข้าลงไปในหน้าอกของร่างเงา ทันใดนั้นมันก็ค่อยๆ ชะลอความเร็วลงอย่างช้าๆ 

เสียงหวีดร้องแห่งความตายดังกึกก้องออกมาจากเงามืด 

ทุกครั้งที่ศรทำลายมารยิ่งเจาะลึกเข้าไป จะปรากฏร่างเงาของมนุษย์นับไม่ถ้วนที่บางเบายิ่งกว่ากระดาษ หลุดออกมาจากเงามืดและสลายหายไป 

สามศรทำลายมารปักลึกเข้าไปในเงาดำ ทั้งมันทั้งศรพลันหยุดนิ่ง 

หลังจากนั้นสิบลมหายใจ สามศรทำลายมารก็แปรเปลี่ยนเป็นขี้เถ้า ปลิดปลิวหายไปกับสายลม 

ร่างเงาก็แปรเปลี่ยนไปเช่นกัน มันดูผอมโซ และเหมือนจะกำลังสั่นสะท้านเล็กน้อย 

เสียงร่ำไห้ของชายหญิงนับไม่ถ้วนที่ดังออกมาจากเงาดำ ค่อยๆ กระจัดกระจายตัวออกไป 

เงาดำเคลื่อนตัวอย่างช้าๆ ราวกับว่ามันกำลังมองหาร่องรอยของศัตรูอยู่ 

ไม่นานนัก เงาดำก็ดูเหมือนว่าจะยอมแพ้ในการมองหา มันเริ่มต้นทำเสียงอันแปลกประหลาดออกมา 

ราวกับว่ามันกำลังพูดคุยอยู่กับการดำรงอยู่ของตัวตนนับไม่ถ้วนในอากาศที่ว่างเปล่า 

อีกด้านหนึ่ง 

กู่ฉิงซานที่ถูกแบกอยู่บนหลังของเหลิงเทียนสิงรับเม็ดยากระเรียนแดงมาและกลืนมันลงไป 

“ดูเหมือนว่าเจ้าจะมีอะไรบางอย่างที่อยากจะเอ่ยนะ” เขามองไปยังท่าทีลังเลของเหลิงเทียนสิง จึงชิงเอ่ยปากกล่าวออกมา 

“แน่นอนว่าย่อมเป็นเรื่องเมื่อครู่” เหลิงเทียนสิงกำลังเหินทะยานอย่างเต็มกำลัง ปากพะงาบๆ เอ่ยกล่าวอย่างเหนื่อยหอบ “เมื่อครู่ข้าเห็นเจ้ายิงศรทำลายมารออกไปถึงสามดอก โดนไปขนาดนั้นมันสมควรตกตายแล้วหรือไม่?” 

“ยังมิตกตาย” กู่ฉิงซานกล่าว “ร่างกายของมันประกอบด้วยจิตวิญญาณนับไม่ถ้วน อย่างน้อยคงสักหมื่นจิตวิญญาณมนุษย์ ด้วยความแข็งแกร่งของข้าในยามนี้ มิอาจสังหารมันลงได้” 

“ทว่าตอนนี้ดูเหมือนว่ามันจะไม่อาจติดตามมาได้ทัน” เหลิงเทียนสิงกล่าว 

“นั่นเพราะมันไม่ถนัดการโจมตีระยะไกล ยิ่งไปกว่านั้นมันก็ไม่คิดว่าจำเป็นที่จะต้องไล่ล่า” กู่ฉิงซานกล่าว 

“เพราะเหตุใด?” 

“เพราะมันสามารถสั่งให้กองทัพมารให้ไล่ล่าเราได้เลยโดยตรง” 

กู่ฉิงซานถอนหายใจ อธิบายต่อ “เจ้าตัวเมื่อครู่มันคือมารที่แท้จริง มิใช่มารที่บังเอิญปลุกภูมิปัญญาทางจิต หรือ ปฐมบทแห่งความโกลาหล จะสามารถนำมาเทียบเปรียบได้” 

กล่าวจบ กู่ฉิงซานก็หุบปากลง และเริ่มระดมพลังวิญญาณของเขา เร่งละลายประสิทธิภาพของเม็ดยารักษา 

สิ่งต่างๆ เริ่มกลายเป็นอย่างที่เขาคาดเดามากขึ้น มากขึ้นเรื่อยๆ 

ทว่าการปรากฏตัวของมารตนนี้ เป็นสิ่งที่เขาไม่คาดว่าจะเกิดขึ้นเลยจริงๆ 

มารสวรรค์จะแบ่งออกเป็น จำพวกที่มองไม่เห็น และจำพวกที่สามารถมองเห็นได้ 

มารสวรรค์จำพวกมองไม่เห็นนั้นจะสามารถดูดกลืนจิตวิญญาณมนุษย์เป็นมื้ออาหารเพื่อการเจริญเติบโต ทว่าจำพวกที่มองเห็นนั้นจะกักตุนวิญญาณมนุษย์เอาไว้ โดยใช้เป็นแหล่งพลังงานให้แก่ตนเอง 

โชคยังดีที่เมื่อครู่เป็นเพียงมารสวรรค์จำพวกมองเห็นได้ในร่างวัยเยาว์เท่านั้น 

มองไปยังสภาพปัจจุบันของมัน ก็พอจะบอกได้ว่าภายใน ได้กักเก็บจิตวิญญาณเอาไว้กว่าหนึ่งหมื่นดวงแล้วและยังคงคิดจะสะสมจิตวิญญาณต่อไป 

หากมารสวรรค์จำพวกมองเห็นได้สามารถกักเก็บจิตวิญญาณได้ครบหนึ่งแสนดวงเมื่อไหร่ล่ะก็ มันจะวิวัฒนาการขึ้นเป็นราชามาร! 

หากเป็นในกรณีนั้น ทั้งกู่ฉิงซานและเหลิงเทียนสิงก็คงจะหนีไม่พ้น 

จากประสบการณ์การต่อสู้ครั้งก่อนหน้านี้ มีเพียงบทสวดภาวนาของนิกายพุทธะเท่านั้น ที่จะสามารถยับยั้งมารสวรรค์ได้ 

หากใช้เทคนิคมนตราอื่นๆ ปะทะกับร่างกายของมัน คงจำต้องใช้ความพยายามอย่างมาก จึงจะบรรลุผล 

เนื่องเพราะมันสามารถเบิกภูมิปัญญาทางจิต และสามารถอ่านความทรงจำของทุกดวงได้ ดังนั้นมันจึงมีความคุ้นเคยกับการรับมือมนุษยชาติในสนามรบ 

การที่มารสวรรค์จำพวกมองเห็นได้ ปรากฏตัวขึ้นในแนวหน้าเช่นนี้ ย่อมอธิบายได้เพียงประการเดียวว่า…กองทัพมารได้เตรียมพร้อมแล้ว! 

เตรียมพร้อมที่จะทำการสู้รบขั้นแตกหัก!! 

ข้อเท็จจริงนี้ทำให้คิดไม่ตกจริงๆ 

เห็นได้ชัดว่ามนุษย์ต่างหากที่เป็นฝ่ายริเริ่มทำการตอบโต้และสู้รบขั้นแตกหัก ทว่าใครจะรู้ ทางฝั่งกองทัพมารก็กำลังตระเตรียมการไว้แล้วเช่นเดียวกัน 

มิใช่ว่าพวกมันเบนเข็มความสนใจไปยังโลกจริงแล้วหรอกหรือ? 

หากพวกมันยังคิดริเริ่มสงครามในครั้งนี้ เช่นนั้นพวกมันจะไปเอาพลังงานมาจากที่ไหน? 

สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ ฉันแค่มาสำรวจค่ายทหารเพียงไม่กี่แห่งเท่านั้น ทำไมฉันจึงต้องมาเจอมันด้วย 

กู่ฉิงซานขบคิดอย่างรวดเร็ว ขณะที่ความจริงตรงหน้าได้เริ่มเผยคำตอบที่น่าสะพรึงกลัวออกมา 

“แล้วพวกเราจะทำอย่างไรกันดีตอนนี้?” เหลิงเทียนสิงอ้าปากถาม 

“เจ้าเป็นพันเอก ส่วนข้าเป็นเพียงพันตรี ดังนั้นเจ้าย่อมต้องเป็นคนตัดสินใจเป็นธรรมดา” กู่ฉิงซานขบคิดอย่างกังวล จนไม่มีเวลามาสนใจจะตอบ 

“บางทีอาจเป็นเพราะข้าอยู่กับเจ้าจนเคยชิน ข้าเลยมิรู้ว่าจะต้องออกคำสั่งอย่างไร” เหลิงเทียนสิงตอบกลับอย่างจริงจัง 

“งั้นอันดับแรกพวกเราก็หยุดกันก่อน” กู่ฉิงซานกล่าว 

เหลิงเทียนสิงหยุดฝีเท้า 

“ข้ายังมีบางสิ่งเล็กๆ น้อยที่ต้องทำ” กู่ฉิงซานกล่าว 

เหลิงเทียนสิงมองเขาเป็นเชิงคำถาม “เพียงลำพัง?” 

“ถูกต้อง ดังนั้นภารกิจที่รับมานี้ เกรงว่าคงต้องให้เจ้าแบกรับมันด้วยตนเองเสียแล้ว ส่วนแต้มความสำเร็จทางทหารก็ยกให้เจ้าทั้งหมดเลย” กู่ฉิงซานกล่าว 

“เรื่องภารกิจไม่นับว่าเป็นปัญหา แต่...” เหลิงเทียนสิงกล่าว 

“อีกอย่าง” กู่ฉิงซานไตร่ตรองเกี่ยวกับมันและกล่าว “ข้าจำต้องหยิบยืมอสูรวิญญาณของเจ้าสักพัก จะได้หรือไม่” 

“เอ่ยถามอะไรเช่นนั้น เจ้ากับข้าฝ่าฟันภยันตรายมาด้วยกันจนก่อเกิดซึ่งมิตรภาพ หากมิใช่เพราะเจ้า ข้าคงสิ้นชื่อในโลกเทวะไปแล้ว” 

เหลิงเทียนสิงถอดถุงอสูรวิญญาณออกมา และโยนมันให้แก่กู่ฉิงซาน

.........................................