webnovel

0150 ทั้งสอง

ตอนที่ 150 ทั้งสอง

กู่ฉิงซานเอ่ยไขถึงเรื่องราวจนกระจ่างแจ้ง เพียงได้ฟังเหล่าผู้ฝึกยุทธต่างก็คิดว่าที่เขากระทำนั้นถูกต้องแล้ว

อาวุโสที่เห็นว่าอีกฝ่ายเป็นเพียงผู้ฝึกยุทธขอบเขตก่อตั้งจึงคิดจะตำหนิสักคำสองคำ แต่ดันกลับกลายเป็นเขาที่โดนสวนด้วยคำไม่กี่คำของอีกฝ่ายจนถูกฝูงชนโดยรอบโห่ร้องแทน

เขาส่งเสียงฮึฮะในลำคอ ผินตัวกลับ เดินนำกลุ่มสาวก

“อ้ายทารก จงจำเอาไว้ให้ดี โลกใบนี้มันเล็กนัก”

ความผันผวนทางแรงดันวิญญาณขั้นก่อกำเนิดพลันลุกพรึบออกจากร่างอาวุโส เขาเอ่ยปากข่ม เดินจากไปโดยไม่คิดเหลียวหลัง

หลังจากที่ผู้ฝึกยุทธนิกายหลิงเฉาได้จากไป ไป่ไฮ่ตงก็เหลือบมองกู่ฉิงซานด้วยความกังวล ปากเอ่ยกระซิบ “นับจากนี้ไป ท่านคงต้องระมัดระวังพวกเขาให้มาก”

“ไม่เป็นไรหรอก”

กู่ฉิงซานกล่าว โยนปัญหานี้ทิ้งไว้ข้างหลัง

ผู้ฝึกยุทธบังคับกฎนำทั้งสองมาส่งถึงเต็นท์ทหาร

ต่างฝ่ายต่างร่ำลากัน แหวกม่านประตู และในที่สุดก็ได้พบกับเหลิงเทียนสิง

ขณะนี้เหลิงเทียนสิงกำลังเอ่ยกล่าวถึงคำสั่งที่ได้รับและเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้น บนตัวสวมใส่ชุดเกราะรบชั้นพันเอกส่งผลให้เขาช่างแลดูทรงอำนาจ

ผู้ฝึกยุทธมากมายรายล้อมรอบตัวเขา ตั้งใจฟังอย่างเคร่งขรึม เตรียมที่จะปฏิบัติงานที่ได้รับมอบหมายอย่างรอบคอบ

กู่ฉิงซานลองสังเกตดู และค้นพบว่าภายในกลุ่มคนเหล่านี้ มีแม้กระทั่งผู้ฝึกยุทธที่อยู่ในขอบเขตแก่นทองคำขั้นปลาย

บนตัวของผู้ฝึกยุทธแก่นทองคำขั้นปลายนั้นสวมใส่เสื้อคลุมนายทหารชั้นพันโท เขากำลังตั้งใจฟังสิ่งที่เหลิงเทียนสิงกล่าว พยักหน้าไม่หยุด

ในกองทัพ พื้นฐานวรยุทธของผู้ฝึกยุทธจะถูกใช้เป็นข้อมูลอ้างอิงสำหรับภารกิจที่พวกเขาจะได้รับมอบหมาย ส่วนสำหรับในด้านการทำงานเป็นทีม แน่นอนว่าจะต้องเป็นผู้ที่มีความสำเร็จทางกองทัพมากที่สุด อันดับสูงที่สุดเป็นคนสั่งการ

ผู้ฝึกยุทธที่มียศทางกองทัพสูงที่สุด มิจำเป็นต้องมีพื้นฐานวรยุทธที่สูงที่สุดเสมอไป ทว่าต้องมั่นใจว่าคนผู้นั้นจะต้องมีความรอบรู้เกี่ยวกับเผ่ามารมากที่สุด มีวิสัยทัศน์ในเชิงกลยุทธ์ มั่งคั่งไปด้วยประสบการณ์การต่อสู้ เพื่อให้ผลลัพธ์ในการต่อสู้ออกมาในทางที่ดี 

หากมีอะไรเกิดขึ้น เหมือนดั่งเช่นในกรณีของกู่ฉิงซาน เขาก็สามารถใช้ดาบตัดหัวหลี่ชูเฉินที่ขัดขืนคำสั่งทางทหารได้เลย แต่ก็ต้องถูกทำการสอบปากคำ ทว่าสุดท้ายหากอีกฝ่ายผิดจริง เขาก็ไม่ต้องรับผิดชอบใดๆ แถมยังได้รับสิบแต้มความสำเร็จทางกองทัพกลับมาอีกด้วย

ดังนั้นในช่วงสงคราม ยศทางกองทัพยิ่งสูง ก็ยิ่งเป็นการดำรงอยู่ที่น่าเกรงขามที่สุด

ทันทีที่ทั้งสองก้าวเข้ามา เหล่าผู้ฝึกยุทธก็หันหน้าไปมอง

“ไฮ่ตง? ฉิงซาน พวกเจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร?” ใบหน้าของเหลิงเทียนสิงแสดงออกถึงความสุข

เขาก้าวแหวกฝูงชนออกมา กอดคอกู่ฉิงซาน ลากตัวเขาไปแนะนำให้ผู้ฝึกยุทธในสำนักเหยากวางได้รู้จัก

ทั้งหมดประสานมือทักทายอย่างมีชีวิตชีวา

ไป่ไฮ่ตงได้เล่าถึงสิ่งที่พวกเขาพบเจอมา พอได้ฟังทุกคนต่างก็พากันถอนหายใจ

“แล้วเจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

“สถานการณ์คล้ายคลึงเช่นเดียวกับเจ้า ดิสก์ค่ายกลเกิดความผิดปกติ เผ่ามารฉวยโอกาสนั้นโจมตี จนค่ายมิอาจตั้งรับได้ไหว” เหลิงเทียนสิงกล่าว

หลายคนเหลือบมองกันและกันวูบหนึ่ง ทว่ามิมีผู้ใดคิดเอ่ยปาก

ความหมายที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์เหล่านี้ กล่าวได้ว่ามิมีผู้ใดอาจสงบใจได้

ด้วยเหตุผลที่ว่า แม้มนุษยชาติจะกำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่ฝ่ายตนมีน้อยกว่าอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็ยังสามารถต้านทานเผ่ามารได้ไหว โดยการอาศัยการตกผลึกทางอารยธรรมที่พัฒนามาหลายพันหลายหมื่นปีที่ถูกเรียกกันว่า ‘หกศิลป์’ นั่นเอง

หนึ่งในหกศิลป์ ‘ค่ายกล’ จึงเป็นรากฐานสำคัญของผู้ฝึกยุทธในแง่ระบบป้องกัน หากค่ายกลเกิดความผิดปกติใดๆ ขึ้นในช่วงสงคราม แผนการบุกโจมตีของมนุษยชาติก็อาจจะเกิดปัญหาได้

ยิ่งไปกว่านั้น นี่มิใช่เพียงการลดความสามารถในด้านการป้องกัน แต่มันยังเป็นการโจมตีเข้าไปในจิตใจของผู้คนทางอ้อมอีกด้วย

แท้จริงแล้วคือสิ่งใดกันที่ทำให้ดิสก์ค่ายกลมีปัญหา?

เผ่ามารที่อยู่นอกค่าย สามารถก้าวข้ามผ่านค่ายกล บุกเข้ามาทำลายดิสก์ค่ายกลได้อย่างไร?

หรือว่าจะมีคนทรยศ?

คราวก่อนก็จับตัวคนทรยศอย่างจ้าวกระบี่ได้ไปแล้ว คราวนี้ยังมีอีกหรือ เหตุผลคนทรยศจึงมีมากมายนัก?

เมื่อขบคิดอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับปัญหาอันน่าหนักใจนี้ จิตใจของแต่ละคนก็ล่องลอยออกไป

กู่ฉิงซานเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้ามิได้พูดคุยกับเจ้าเป็นจริงเป็นจังมานานนมแล้ว พวกเราออกไปเดินกินลมข้างนอกกันดีกว่าไหม”

เหลิงเทียนสิงพยักหน้า “ดีแน่นอน ข้าก็ต้องการจะไปสูดอากาศข้างนอกพอดิบพอดี”

ทั้งสองออกจากค่ายทหารเดินข้ามผ่านทุ่งหญ้ารกร้าง

ดวงตะวันสาดแสง ตกกระทบลงมาให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย

“เจ้าคิดเห็นเช่นไรเกี่ยวกับเรื่องนี้” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

“ไม่อยากจะเชื่อเลยสักนิด” เหลิงเทียนสิงกล่าว

“ข้าคาดเดาว่าคนจำนวนมากก็คงจะคิดเห็นเหมือนกับเจ้าเช่นกัน”

“นั่นสินะ หากยังคงเป็นเช่นนี้ต่อไป มิอาจหาสาเหตุของปัญหาที่เกิดขึ้นได้ เรื่องการสู้รบขั้นแตกหักคงจะไม่มีหวัง”

เหลิงเทียนสิงเอ่ยถามทันที “แล้วเจ้าเล่า? คิดเห็นเช่นไรเกี่ยวกับเรื่องนี้”

สองตาของกู่ฉิงซานหรี่แคบลง แหงนหน้าเพ่งมองดวงอาทิตย์ที่สาดแสงอยู่บนท้องฟ้า “ดูท่าวันนี้สภาพอากาศจะไม่เลว เหมาะสมแก่การที่เจ้ากับข้าจะออกไปสืบเสาะปัญหา และช่วยกันหาทางออก”

เหลิงเทียนสิง “ทางออก? กล่าวเช่นนี้แสดงว่าเจ้าคิดอะไรบางอย่างออกแล้วใช่หรือไม่?”

กู่ฉิงซานยิ้มและกล่าว “ตัวข้านั้นมีคนรู้จักไม่มากนัก ทว่าเจ้านั้นตรงกันข้าม เจ้าเป็นถึงผู้ที่อยู่ในขอบเขตแก่นทองคำ ครอบครองยศนายทหารชั้นพันเอก หากเจ้าออกไป จะมิมีผู้ใดออกตามหาตัวหรอกหรือ”

เหลิงเทียนสิงกล่าว “ไหนๆ เจ้าก็อุตส่าห์เอ่ยปากแล้ว ข้าย่อมมีวิธีแก้ปัญหา”

ว่าแล้วทั้งสองก็กลับมายังค่ายทหาร ตรงไปยังแผ่นป้ายที่เต็มไปด้วยแผ่นกระดาษ สายตาสาดส่องดูทีละอัน ทีละอัน

นี่คือใบแจ้งภารกิจทางทหาร

โดยทั่วไปแล้ว นอกเหนือจากพวกหน้าใหม่และภารกิจเร่งด่วน นายพลจะเป็นคนจัดสรรทุกภารกิจ และทำการมอบหมายลงไปด้วยตนเอง โดยอ้างอิงจากยศทหารของผู้ฝึกยุทธ

ในช่วงเวลาอื่นๆ นอกเหนือจากภารกิจลับทางทหารทั้งหมด จะถูกจัดแสดงไว้ที่นี่เพื่อให้เหล่าผู้ฝึกยุทธเลือกสรร

สถานการณ์เช่นนี้จะยังคงดำเนินต่อไปจนกว่าการสู้รบขั้นแตกหักจะเริ่มต้นขึ้น

“ภารกิจนี้เล่า คิดว่าอย่างไร?” เหลิงเทียนสิงชี้ไปที่ใบภารกิจ

กู่ฉิงซานกวาดสายตาอ่านเนื้อหามัน

“จำเป็นต้องใช้สองผู้ฝึกยุทธ มุ่งหน้าไปทางทิศเหนือ เพื่อค้นหาร่องรอยของเผ่ามารจนกระทั่งถึงหานกู่กวน จึงจะสามารถกลับมาได้ *รางวัลคือแต้มความสำเร็จทางกองทัพสามแต้ม*”

กู่ฉิงซานคิดเพียงเล็กน้อย ในใจเขาก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวชื่นชม

สมกับเป็นเหลิงเทียนสิงที่ครอบครองสมองอันชาญฉลาด เนื้อหาของภารกิจนี้แสนจะธรรมดา ทว่ากลับมีอิสระในการเดินทางค่อนข้างสูง แต้มความสำเร็จทางทหารก็ได้น้อย จึงไม่ค่อยดึงดูดความสนใจจากผู้อื่นนัก

กู่ฉิงซาน “ข้าคิดว่าอันนี้แหละ”

พวกเขาทำการเลือกใบภารกิจ ยื่นเรื่องทำรายการที่สำนักเลขาธิการ

ผู้บังคับกฎที่รับมอบหมายภารกิจให้แก่ทั้งสองเอ่ยปากกระตุ้นเตือน “จงเร่งกลับมาโดยเร็ว วันพรุ่งทางกองทัพจะมีการระดมบุคลากร เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการสู้รบขั้นแตกหัก หากเจ้าล่าช้า จงระวังโดนบังคับวินัยทางทหาร”

“มิต้องกังวลไป พวกเรามิได้คิดหนีทหารหรอก” เหลิงเทียนสิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม

ผู้บังคับกฎมองไปยังเกราะรบของทั้งสองที่พึ่งรับมอบภารกิจไป จากนั้นจึงวางใจ และลงนามตนเองลงในใบภารกิจ

หากเขาได้ทำการลงนามแล้ว นั่นหมายความว่าทั้งสองได้รับการอนุญาตให้ทำภารกิจแล้วโดยสมบูรณ์

กู่ฉิงซานกับเหลิงเทียนสิงประสานมือขอบคุณผู้บังคับกฎ และเดินออกจากสำนักเลขาธิการไป

“ก่อนอื่นก็กลับไปยังที่พำนักของสำนักเหยากวางกันก่อน ข้าจะไปบอกกล่าวทุกคน มิฉะนั้นพวกเขาคงจะเป็นห่วง และเริ่มทำการควานหาตัวข้าไปซะทุกที่” เหลิงเทียนสิงกล่าว

สมควรจะเป็นเช่นนั้น กู่ฉิงซานพยักหน้า และกล่าว “ตกลง ไว้หลังจากไปกินอาหารเย็นที่นั่น พวกเราจึงจะออกเดินทาง”

พวกเขากลับไปยังที่พำนักสำนักเหยากวางและเล่าถึงเรื่องราวต่างๆ

ถึงแม้ว่าผู้คนทั้งหมดจะรู้สึกประหลาดใจ แต่พวกเขาทั้งสอง หนึ่งคือนายทหารชั้นพันเอก อีกหนึ่งคือนายทหารชั้นพันตรี ที่มียศค่อนข้างสูง หากพวกเขาคนใดคนหนึ่งกล่าวว่าจะออกไปทำภารกิจนี้เพียงลำพัง ก็คงจะมิมีผู้ใดเอ่ยห้ามได้

ไป่ไฮ่ตงค่อนข้างที่จะคุ้นเคยกับกู่ฉิงซาน หลังจากที่ได้รับฟังถึงเนื้อหาภารกิจ เขาก็เข้าใจถึงเจตนาของอีกฝ่ายในทันที ภารกิจเช่นนี้นับว่าง่ายดายยิ่ง พวกเขาคงคิดทำเพื่อเอารางวัลอย่างความสำเร็จทางทหารเสียมากกว่า

เขาหันไปกล่าวกับกู่ฉิงซาน “สิบห้าดาบ ข้าจะไปกับเจ้าด้วย”

กู่ฉิงซานปฏิเสธด้วยรอยยิ้ม “ภารกิจนี้อนุญาตให้ไปเพียงแค่สองคนเท่านั้น หากเจ้าต้องการจะติดตามข้ามาด้วย เกรงว่าศิษย์พี่เจ้าก็คงจะไม่ได้ไป”

ไป่ไฮ่ตงหันไปมองเหลิงเทียนสิงและกล่าว “ศิษย์พี่”

เหลิงเทียนสิงเอ่ยขัดโดยตรง “เจ้าไม่เหมาะกับภารกิจนี้หรอก ข้าจะไปเอง”

“เหตุใดข้าจึงไม่เหมาะสมเล่า?” ไป่ไฮ่ตงกล่าว

“ก็หากเปรียบเทียบระหว่างเจ้ากับข้า ผู้ใดเล่าเหมาะสมมากกว่ากัน?” เหลิงเทียนสิงตบลงบนเกราะรบชั้นพันเอกบนร่างกาย

“แต่ๆ ดาบเขากลับ” ไป่ไฮ่ตงกล่าวอย่างไม่ยินยอม

“นี่คือภารกิจของสิบห้าดาบ ดังนั้นเขาจึงต้องไปด้วยตัวเอง ส่วนเจ้ากับข้า เทียบกันแล้วย่อมเป็นข้าที่เหมาะสมกว่า หรือเจ้าคิดว่าเอาตนเทียบมากันกับเขา? เจ้ากำลังจะบอกว่า เจ้าคิดจะฉกชิงภารกิจของสิบห้าดาบกระนั้นหรือ”

“ข้า ข้ามิได้คิดฉกชิง…”

ไป่ไฮ่ตงเอ่ยปากเพียงไม่กี่คำก็เงียบเสียงลง ถอนหายใจอย่างเศร้าสลด เบนหน้าหันหนีไปอีกทิศทาง

.......................................