webnovel

0143 สวดภาวนา

ตอนที่ 143 สวดภาวนา 

กู่ฉิงซานเบนสายตาไปยังทิศทางที่อีกฝ่ายชี้ออกไป 

ทั้งสามหันมามองหน้ากันด้วยความตกใจ ซางฟางอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามออกมา “เช่นนั้นพวกเราควรจะทำอย่างไรดี?”

การที่จู่ๆ ก็ต้องได้พบเจอกับเผ่ามารอย่างไม่คาดคิด แถมสถานการณ์ก็ยังไม่แน่นอน ทั้งสามจึงค่อนข้างที่จะลังเลไปสักพักหนึ่ง 

ที่นี่มันยังคงห่างไกลจากแนวหน้า แถมเผ่ามารที่ทรงพลังไม่กี่ตนที่สัญจรไปมาอยู่ในบริเวณนี้ ส่วนใหญ่ก็ได้ถูกล้างบางไปแล้วโดยผู้ฝึกยุทธรุ่นใหญ่ 

ทว่ามันก็เป็นเรื่องยากสำหรับผู้ฝึกยุทธรุ่นใหญ่ที่จะต้องมาคอยจัดการกับเผ่ามารระดับสูงหลายต่อหลายครั้ง ด้วยพลังงานของพวกเขาที่มีจำกัด ดังนั้นเมื่อเสร็จสิ้นการล้างบางแล้ว พวกเขาก็ส่งต่อภารกิจเก็บกวาดมารที่ยังหลงเหลือให้แก่ผู้ฝึกยุทธระดับแก่นทองคำและก่อตั้งแทน 

“ข้าคิดว่ามันน่าจะเกิดจากการโจมตีของเผ่ามารจำนวนหนึ่ง พวกมันคงคิดรุมล้อมมนุษย์และค่อยๆ กลืนกินอีกฝ่ายอย่างช้าๆ” 

“พวกเราเดินทางกันต่อเถอะ” 

กู่ฉิงซานกล่าวจบ หนึ่งเท้าก็ย่ำลงบนพื้นดิน ทะยานออกไปยังเบื้องหน้า 

ทั้งสามคนยังคงสับสนว่าควรจะทำอย่างไรดี ทว่ากู่ฉิงซานกลับตัดสินใจกระทำการโดยพลการไปเสียแล้ว 

ซางฟางกล่าว “เฮ้ นี่พวกเรายังไปไม่ถึงค่ายเลยนะ เจ้ากลับคิดจะไปยุ่งกับธุระของผู้อื่นเสียแล้วหรือ” 

เขาตบลงบนถุงสัมภาระ ดึงเอาหอกยาวออกมาวางพาดบนไหล่ และไล่ติดตามกู่ฉิงซานไป 

“เฮ้อ ไปก็ไปสิ” 

ไป่ไฮ่ตงกล่าว ยื่นมือออกไปคว้าจับกริชที่สลักไว้ด้วยรูนที่เปล่งประกายแสงสีฟ้า ทะยานไล่ตามติดไปอย่างใกล้ชิด 

เมื่อทั้งสามได้จากไปไกลแล้ว หลี่ชูเฉินที่เหลืออยู่เพียงลำพังก็ตบลงบนถุงอสูรวิญญาณ ปลดปล่อยพยัคฆ์ที่มีดวงตาสีฟ้าออกมา 

กระโดดขึ้นบนหลังพยัคฆ์ ปากตะโกนกล่าว “รอข้าด้วย!” 

พยัคฆ์ตาฟ้า สับฝีเท้าออกไปอย่างรวดเร็ว 

หลี่ชูเฉินโน้มตัวลง ก้มหัวกระซิบข้างหูพยัคฆ์ตาฟ้า “วิ่งช้าลงหน่อย” 

พยัคฆ์ตาฟ้าคำรามต่ำ ก่อนจะค่อยๆ ชะลอฝีเท้าลง 

แม้ว่ากู่ฉิงซานจะเร่งทำเวลาตลอดทั้งเส้นทาง แต่เขาก็ยังเกรงว่ามันจะสายเกินไปจึงตบลงบนถุงอสูรวิญญาณ เรียกกระเรียนเมฆาเพลิงออกมา 

“ผู้น้อยคงต้องรบกวนผู้อาวุโสแล้ว โปรดเร่งตะโกนออกมาคำหนึ่งโดยเร็ว” เขากล่าว 

กระเรียนเมฆาเพลิงมองเขาด้วยท่าทีลังเลเล็กน้อย ครู่หนึ่งจึงตะโกนเปล่งเสียงออกไป 

เสียงหวีดของกระเรียน ถูกส่งไกลออกไปในผืนป่า 

ทันทีที่รับรู้ได้ถึงเสียงหวีดของกระเรียน จู่ๆ ก็ปรากฏชั้นความผันผวนของพลังวิญญาณขึ้น ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะทำการปลดปล่อยเทคนิคมนตราออกมา ส่งสัญญาณให้กู่ฉิงซานว่าพวกเขาอยู่ที่นี่ 

“ดีล่ะ พวกเราจะมุ่งหน้าไปยังทิศทางนั้น รีบไปเร็วเข้า” กู่ฉิงซานหันมากล่าวกับคนอื่นๆ กระโจนขึ้นบนหลังกระเรียนเมฆาเพลิง 

กระเรียนเมฆาเพลิงสยายปีกของมัน จนป่ารกทึบโดยรอบเกิดสะเก็ดไฟลุกไหม้ 

มันสับฝีเท้าทะยานอย่างรวดเร็ว เพียงสิบลมหายใจ ก็มาถึงที่หมายในที่สุด 

กู่ฉิงซานนั่งอยู่บนหลังกระเรียน จ้องมองออกไปไกลสุดสายตา 

เห็นแค่เพียงเผ่ามารที่กำลังรุมล้อมเหล่าผู้ฝึกยุทธที่ทั้งร่างท่วมไปด้วยเลือด ทั้งหมดยืนหยัดเอนอิงแผ่นหลังกันและกัน พยายามสนับสนุนกันและกันอย่างเต็มที่ 

“เป็นพวกเธอไปได้อย่างไร?” 

กู่ฉิงซานประหลาดใจ ในหัวใจของเขาเริ่มวิตก 

ผู้ฝึกยุทธที่กำลังถูกรุมล้อมอยู่นี้ เขาเคยเจอกับพวกเธอมาแล้วในการทดสอบประจำปี พวกนางคือศิษย์น้องทั้งห้าของหนิงเยว่ฉาน! 

เบื้องหน้าของพวกนาง เป็นภิกษุที่ตกอยู่ในสภาพบอบช้ำ แขนหัก ร่างกายอาบไปด้วยเลือด ขณะนี้คนคนนั้นกำลังนั่งสวดภาวนา ก่อร่างชั้นแสงสีทองขัดขวางพวกมารเอาไว้อยู่

เมื่อตระหนักได้ถึงใครบางคนที่ใกล้เข้ามา สองตาของเขาก็เปล่งประกายสดใส 

พริบตาที่ทั้งสองสบตากัน แต่ละฝ่ายต่างก็เข้าใจถึงสถานการณ์ในทันที 

ในหัวใจของกู่ฉิงซานเต้นครึกโครม ปากเอ่ยตะโกนกล่าว “อดทนไว้!” 

ภิกษุมองมายังเขาด้วยความกังวล ทว่าจู่ๆ ก็ยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน 

เขาบีบผนึกมนตราในมือข้างหนึ่ง ปากเอ่ยสวดภาวนาเป็นภาษาทางพุทธะ 

นี่คือการสวดภาวนาของภิกษุแห่งนิกายพุทธะ 

การสวดภาวนาจะก่อให้เกิดพลังอำนาจอันยิ่งใหญ่ หากมิใช่สานุศิษย์ของนิกายพุทธะย่อมไม่อาจฝึกฝนมันได้ 

หลังจากที่คำสวดนี้สิ้นสุดลง ดาบสีทองหลายร้อยเล่มก็พลันปรากฏขึ้นบนพื้นดิน ทิ่มแทงและสับสะบั้นมวลมารทั้งหมดโดยรอบที่กระจุกกันอยู่ 

ดาบทองคำหลายร้อยเล่มฉวัดเฉวียนเวียนวนอยู่ในอากาศ หากมีเผ่ามารตนใดย่างกรายเข้ามาใกล้ ดาบทองคำก็จะโบกสะบัด สะบั้นหัวของมารตัวนั้นทันที 

เมื่อต้องเผชิญกับสิ่งที่ทรงพลังเช่นนี้ เผ่ามารก็เริ่มตื่นกลัว 

พวกมันตนแล้วตนเล่าหดฝีเท้ากลับ สั่นสะท้านไปทั่วทั้งร่าง มิกล้าเร่งร้อนโดยง่าย 

ส่วนภิกษุเมื่อจบการภาวนา สองตาของเขาก็ปิดลง ราวกับว่าเขากำลังนอนหลับอย่างสงบ 

คลื่นความผันผวนทางพลังวิญญาณของเขาจางหายไปอย่างฉับพลัน 

ภิกษุรูปนี้ มรณภาพลงเสียแล้ว 

กู่ฉิงซานตระหนักได้ถึงการเปลี่ยนแปลงทางพลังวิญญาณของอีกฝ่าย อดไม่ได้ที่จะตีอกชกหัวตัวเองอย่างเงียบๆ 

ช้าไปเพียงก้าวเดียวเท่านั้น 

เขาปล่อยดาบพิภพออกจากมือ มันหายกลับเข้าไปในความว่างเปล่า 

วินาทีต่อมา ธนูเย่หยูก็ปรากฏขึ้นในมือของกู่ฉิงซาน 

ยิงต่อเนื่อง! 

กังหันลม! 

ลูกศรแหวกฝ่าอากาศ ร่วงตกลงเข้าใส่เผ่ามารโดยรอบ 

ผู้นำมารกลุ่มนี้กรีดร้องคำหนึ่ง และล้มลงกับพื้น 

อย่างไรก็ตาม ขณะนี้เผ่ามารนับว่ามีจำนวนมากเกินไป ต่อให้เขากระตือรือร้นที่จะฆ่ามันเพียงใด เกรงว่าคงต้องกระทำต่อไปอย่างไม่รู้จบ 

กู่ฉิงซานเอ่ยปากอย่างรวดเร็ว “ขอเปลี่ยนสมญา ‘นายทหารพันตรี’ ไปเป็นสมญา ‘สิบห้าดาบ’” 

สิ้นคำกล่าว กู่ฉิงซานก็ดึงศรทำลายมารออกมาแนบลงกับคันธนูเย่หยู 

ยิงระเบิด! 

ร้อยก้าวผ่านหยาง! 

สกิลพิเศษจากสมญา คลื่นสั่นสะเทือน! 

สามสกิลถูกใช้ออกไปพร้อมกัน! 

ศรทำลายมารแปรเปลี่ยนเป็นเงาที่วูบไหว ก่อนถูกผละออกจากธนูเย่หยู 

ตูม! 

ศรดอกนี้ ทะลวงผ่านเผ่ามารที่กระจุกตัวกันชั้นแล้วชั้นเล่า กรีดอากาศผ่านร่างของมารเพลิงสีชาดที่ดุร้าย ฉีกกระชากมันจนเละเป็นชิ้นๆ และยังคงพุ่งทะลวงต่อไปยังเบื้องหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง 

มันแผดเผามวลมารนับไม่ถ้วนที่พุ่งผ่าน ฝากรูโหว่ขนาดใหญ่ไว้ตามเนื้อตัว เปิดทางให้วิ่งฝ่าเข้าใจยังใจกลางวง 

เสียงคำรนของศรทำลายมารที่เกิดจากสกิลยิงระเบิดดังหวีดหวิว ส่งผลให้เผ่ามารทั้งหมดจำต้องยกมือขึ้นกุมหัว กรีดร้องออกมาอย่างกระสับกระส่าย 

การโถมโจมตีรุมล้อมถูกชะลอตัวลงไปหนึ่งส่วน 

ทว่าขณะนั้นเอง ดาบทองคำนับไม่ถ้วนที่ฉวัดเฉวียนไปมากลับพลันสลายหายไป 

กู่ฉิงซาน ทะยานไปตามรูที่เปิดออก ก้าวเข้าสู่วงล้อมในทันใด  

ก่อนที่จะเข้ามาในวงล้อม ไม่กี่ลมหายใจก่อนหน้า กู่ฉิงซานได้กระทำถึงสามสิ่ง 

เขาลงจากหลังกระเรียน หนึ่งเก็บมันกลับคืนไปในถุงอสูรวิญญาณ สองเก็บธนูเย่หยูในมือ และสามสลับสับเปลี่ยนมาใช้สมญา ‘นายทหารพันตรี’ อีกครั้ง 

กู่ฉิงซานคว้าจับดาบพิภพที่ปรากฏขึ้นมาไว้ในมือ ขณะนี้ตัวเขาเปรียบดั่งเสือร้ายกระโจนหมายจะฉีกกระชากเหยื่อตรงหน้า 

มองไปยังร่างไร้วิญญาณของภิกษุที่อยู่ใกล้แค่เอื้อม ทว่ากลับสายเกินไปที่จะช่วยเหลือ ความโกรธแค้นในหัวใจของกู่ฉิงซานพุ่งทะยานสูงขึ้น 

“จงตายเพื่อฉันซะ!” 

ดาบพิภพที่สามารถส่งแรงกระแทกออกไปได้ถึงหกหมื่นจิน ถูกร่ายระบำจนเห็นเพียงภาพติดตาโดยเขา 

ภายใต้การโจมตีอันฉับไวนี้ เผ่ามารจึงไม่อาจตอบสนองได้ทัน 

เห็นแค่เพียงปราณเกราะที่เปล่งประกายพร่างพราวของกู่ฉิงซาน ปากเอ่ยตะโกนด้วยความโกรธแค้น พุ่งตรงไปยังเบื้องหน้าเพื่อฟาดฟันและฆ่าสังหาร 

ที่ใดก็ตามที่เขาพ้นผ่าน จะเห็นแค่เพียงเศษแขนขาและกระดูกที่ขาดสะบั้นของเผ่ามารดูกระเบิดออก ฝนเลือดโปรยปรายไปทั่ว 

ติ๊งๆๆ! 

ตามร่างกายของเขาปะทะเข้ากับการโต้กลับของเผ่ามาร 

อย่างไรก็ตาม กู่ฉิงซานกลับไม่แยแสมันอย่างสิ้นเชิง หลังจากทั้งหมดนี้เขานั้นกำลังสวมเกราะรบชั้นยอดอยู่ จึงสามารถมุ่งความสนใจไปที่การโจมตีได้อย่างเต็มรูปแบบ! 

เปรี๊ยะ! 

เกราะไหล่บังเกิดเสียงแตกหัก 

ทว่ากู่ฉิงซานกลับไม่คิดล่าถอย ดาบพิภพร่ายรำไปในอากาศ ตราบใดที่เผ่ามารอยู่ในรัศมีดาบยาว พวกมันไม่มีแม้กระทั่งโอกาสที่จะถอยหนีโดยสมบูรณ์ 

หนึ่งคนหนึ่งดาบทะลวงฝ่าเข้าไปในวงล้อม คมดาบวูบไหวไปที่ใด เผ่ามารก็จะถูกฆ่าสังหารลงที่นั่นอย่างสิ้นเชิง 

“นั่นมันศิษย์พี่กู่!” 

“ศิษย์พี่กู่แห่งนิกายร้อยบุปผา!” 

ห้าผู้ฝึกยุทธหญิงระเบิดเสียงกรีดร้องดังลั่น 

เมื่อคุณกำลังจะตกตาย ทว่ากลับได้รับการช่วยเหลือโดยบุคคลที่คาดไม่ถึงอย่างฉับพลันเช่นนี้ ก็เพียงพอแล้วที่คุณจะสามารถจดจำเหตุการณ์นี้ไปชั่วชีวิต 

“อย่าพึ่งประมาทไป จงเร่งกระชับอาวุธในมือปกป้องตัวเองเสีย” กู่ฉิงซานตะโกนอย่างเย็นชา 

ผู้ฝึกยุทธหญิงทั้งห้าชะงักงัน ทั้งหมดพลันกลับมาได้สติ และเร่งกระโจนเข้าสู่สภาวะสู้รบอีกครั้ง 

อย่างไรก็ตาม พวกเธอก็ยังอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองไปยังกู่ฉิงซานอย่างลับๆ 

ทว่ากลับเห็นแค่เพียงกู่ฉิงซานที่ราวกับปีศาจร้ายกำลังเข่นฆ่าเผ่ามารอย่างบ้าคลั่งดั่งหมูหมา สีหน้าของผู้ฝึกยุทธหญิงหลายคนก็ดูจะผ่อนคลายลง 

เนื่องเพราะเขาเป็นคนเดียวที่ต้านรับการโจมตีซะส่วนใหญ่ ดังนั้นแรงกดดันที่พวกเธอได้รับจึงลดลงไปมากโข 

ในตอนนั้นเอง จู่ก็พลันปรากฏเสียงพูดของชายหนุ่มดังมาจากระยะไกล “ข้าก็คิดว่าเรื่องอะไรซะอีก เจ้าจึงได้วิ่งอย่างเร็วรี่ขนาดนี้ ที่แท้ก็คิดทำตัวเป็นพระเอกมาช่วยเหลือสาวงามนี่เอง!” 

ปัง! 

เผ่ามารถูกกระแทกกระจัดกระจายออกไปคนละทิศทาง 

ตามมาด้วยการปรากฏตัวของชายคนหนึ่งที่สวมใส่เกราะรบระดับพันตรี พร้อมกับหอกยาวที่จ้วงโจมตีออกไป

........................................