webnovel

0118 ศิลาฟ้า

ตอนที่ 118 ศิลาฟ้า

 

“อามิตตาพุทธ” นักพรตเป่ยหยวนประกอบสองฝ่ามือเข้าหากัน ถอนหายใจเฮือกหนึ่งและกล่าว “นางถึงขั้นออกมากล่าวอธิบายให้ฟังเป็นการส่วนตัว แถมยังบอกเล่าเรื่องราวต้องห้ามของตนเองในอดีตอีกด้วย นี่นับว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ไม่เลวเลย” 

ซวนหยวนไตร่ตรองก่อนจะกล่าว “การเปลี่ยนแปลงของเซี่ยเต๋าหลิงในครั้งนี้ค่อนข้างใหญ่หลวงนัก หากเป็นกาลก่อนนางคง...” 

นักพรตเป่ยหยวนกล่าวต่อประโยคของอีกฝ่าย “หากมีศิษย์ฝึกหัดคนใดของข้า เผลอไปทำอะไรกับเด็กสาว นางก็คงจะฆ่าศิษย์ของเราสองอย่างไม่ลังเล” 

พวกเขามองหน้ากันและเห็นถึงแววตื่นตระหนกในสายตา 

“เข้าใจแล้ว ลืมมันเสียเถอะ” ซวนหยวนเอ่ยพึมพำ 

นักพรตเป่ยหยวนมองไปยังเขา และเห็นว่าอีกฝ่ายวางทิฐิลงได้แล้ว จึงบรรเทาลมหายใจออกมาอย่างลับๆ

หากสองนักปราชญ์ต้องเผชิญหน้ากัน เขาที่อยู่ตรงกลางนี่แหละจะเป็นผู้ที่ลำบากที่สุด 

อย่างไรก็ตาม การที่เซี่ยเต๋าหลิงยังคงใจเย็น และถึงกับพยายามอธิบายด้วยใจจริงเช่นนี้ หากบอกว่าดวงอาทิตย์ขึ้นจากทิศตะวันตกยังน่าเชื่อเสียกว่า 

เหตุใดนางจึงเกิดการเปลี่ยนแปลงถึงขนาดนี้? 

นักพรตเป่ยหยวนสับสนอย่างลึกซึ้ง 

กู่ฉิงซานเป็นธรรมดาว่าย่อมไม่รู้ถึงเรื่องราวหลายสิ่งที่เกิดขึ้นบนท้องฟ้า 

เขาพาซิวซิวไปบอกลาหนิงเยว่ฉาน เหลิงเทียนสิง และคนอื่นๆ ก่อนจะเข้าไปยืนบนค่ายกลเคลื่อนย้ายระยะไกล เพื่อเตรียมกลับอาณาจักรร้อยบุปผา 

เมื่อพวกเขายืนอยู่บนค่ายกลขนาดใหญ่ ผู้ฝึกยุทธทั้งหมดต่างก็หยุดฝีเท้า และพากันจ้องมองไปยังทั้งสองอย่างเงียบๆ 

กล่าวได้ว่ามันเป็นความเงียบที่เกิดจากความหวาดกลัว 

ในอดีตที่ผ่านมา สิ่งเดียวที่ทุกผู้คนให้ความเคารพในนิกายร้อยบุปผาก็คือนางเซียนไป่ฮั่ว 

อย่างไรก็ตาม นับจากวันนี้ไป โลกแห่งผู้ฝึกยุทธทั้งหมดจะได้รับรู้ว่า ลูกศิษย์ของนิกายร้อยบุปผาก็มีดีพอที่จะให้พวกเขาเคารพเช่นกัน 

บนค่ายกลเคลื่อนย้ายขนาดใหญ่ ปรากฏแสงสว่างวาบ ร่างของกู่ฉิงซานและซิวซิวก็หวนคืนกลับไปยังอาณาจักรร้อยบุปผาทันที 

กู่ฉิงซานจ้องมองลงบนหน้าต่างระบบเทพสงคราม ขณะนี้นาฬิกาทรายลดลงเพียงครึ่งหนึ่งเท่านั้น 

เขาเบนสายตาไปมองแต้มพลังวิญญาณ 

“แต้มพลังวิญญาณของกู่ฉิงซาน หกร้อยสี่สิบสองแต้ม” 

ถึงจะเป็นมนุษย์ แต่ก็ยังนับว่าเป็นสิ่งมีชีวิต การสังหารสองผู้คนในโลกแห่งผู้ฝึกยุทธที่อยู่ในขอบเขตก่อตั้ง ทำให้เขาได้รับแต้มพลังวิญญาณมาถึงสองแต้ม 

ทั้งสองกลับมายังวังร้อยบุปผา และเห็นว่าฉินเซี่ยวโหลวกำลังนั่งอยู่ในวังร้อยบุปผาด้วยความกระสับกระส่าย 

เมื่อเขาเห็นทั้งสองเดินกลับมา เขาก็เงยหน้ามองขึ้นๆ ลงๆ ก่อนจะพบว่าไม่มีอะไรเสียหายหรือได้รับบาดเจ็บใดๆ จึงค่อยโล่งใจ 

“ข้าไม่รู้มาก่อนว่าพวกเจ้าจะกลับมาเวลาไหนจึงเลือกที่จะเฝ้ารอ เพราะหากทำอาหารทิ้งไว้ก่อนมันจะเย็น ว่าแล้วข้าก็ขอตัวไปเริ่มปรุงมันก่อนล่ะ” 

เขาเริ่มที่จะจุดไฟเตรียมปรุงอาหารวิญญาณ 

“แล้วท่านอาจารย์เล่า?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม 

“ออกไปข้างนอกกับศิษย์พี่ใหญ่ เห็นกล่าวว่ามีเรื่องเร่งด่วนที่ต้องไปทำ” ฉินเซี่ยวโหลวกล่าวตอบ 

“เรื่องเร่งด่วนอะไรงั้นหรือ” กู่ฉิงซานกับซิวซิวเอ่ยขึ้นพร้อมกัน ขณะที่กำลังช่วยกันจัดโต๊ะอยู่ 

มันคือเรื่องอันใดกันที่นางเซียนไป่ฮั่วมิอาจละเลยได้? กู่ฉิงซานอดไม่ได้ที่จะขบคิด 

“มันมิใช่เรื่องสำคัญอันใดดอก พวกเรากลับมาแล้ว” เสียงของห่านขาวดังออกมาจากเบื้องนอก 

มันบินเข้ามาในวังร้อยบุปผาและร่อนลงบนโต๊ะอาหาร 

กู่ฉิงซานและซิวซิวจึงค่อยเบาใจลงอย่างเป็นเป็นเอกฉันท์ 

“เมื่อไหร่จะถึงเวลาอาหารค่ำ” ห่านขาวถามฉินเซี่ยวโหลว 

“อีกเพียงครู่” ฉินเซี่ยวโหลวเร่งทำ จนมือเขากลายเป็นภาพวูบไหว 

หลังจากเห็นว่าฉินเซี่ยวโหลวกำลังยุ่งอยู่ กู่ฉิงซานก็ถกแขนเสื้อขึ้นและกล่าว “มาเถอะ ให้ข้าช่วย” 

พอจากหนึ่ง ร่วมช่วยกันเป็นสอง กระบวนการปรุงและใส่ส่วนผสมก็เร่งเวลาได้รวดเร็วยิ่งขึ้น และเมื่อนางเซียนไป่ฮั่วลงมานั่งบนโต๊ะอาหาร กลิ่นหอมรัญจวนก็ลอยฟุ้งแตะจมูกแล้ว 

ซิวซิวหยิบยันต์หงส์เพลิงเทวะออกมาและกล่าว “ท่านอาจารย์ดูนี่สิ!” 

“โอ๊ะโอ นี่มันของดีนี่นา เจ้าไปได้มันมาจากที่ใดกัน?” นางเซียนไป่เอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม 

“ศิษย์พี่ได้ช่วยเหลือข้า และคว้าชัยจึงได้มันมาครอบครอง!” ซิวซิวกล่าวด้วยรอยยิ้ม 

เธอขับเคลื่อนพลังวิญญาณ ก่อนที่ร่างเงาของหงส์เพลิงจะโผล่ออกมาจากยันต์เทวะ จนทำให้ฉินเซี่ยวโหลวเผลอกระโดดโหยงด้วยความตกใจ 

“นี่คงมิใช่ยันต์เทวะของน้อมสวรรค์ซวนหยวนหรอกกระมัง?” 

ฉินเซี่ยวโหลวมองไปยังยันต์ที่เป็นต้นกำเนิดของทุกสิ่งเบื้องหน้า และอดไม่ได้ที่จะหันไปถามกู่ฉิงซาน “ซิวซิวได้มันมาครอบครองได้อย่างไร ฟังจากที่นางกล่าวแล้วข้ายังไม่ค่อยเข้าใจนัก” 

“มีเจ้าบ้าสายตามืดบอดคนหนึ่งลงมือกระทำกลั่นแกล้งซิวซิว ข้าก็เลยจัดการเขาจนได้เจ้าสิ่งนี้มา” กู่ฉิงซานกล่าว 

“แล้วก็เป็นศิษย์พี่สามอีกเช่นกันที่สามารถระเบิดกลุ่มผู้ฝึกยุทธจนแตกระเจิงไปคนละทิศทางอีกด้วย!” ซิวซิวเอ่ยอย่าสนุกสนาน 

สองมือของฉินเซี่ยวโหลวตบลงบนโต๊ะพลางลุกขึ้น เอ่ยกล่าวด้วยใบหน้าทะมึนทึบ “ผู้ใดกันที่กล้ารังแกซิวซิวของข้า!?” 

“หลี่อะไรสักอย่างนี่แหละ พอดีว่าข้ามิคิดจดจำถึงชื่อของคนที่ได้ฆ่าไปแล้วน่ะ” เขาเทสุราลงและกล่าว 

“มาดื่มกันดีกว่า ศิษย์พี่” เขายกแก้วขึ้น 

ฉินเซี่ยวโหลวพอถูกเรียก ก็ได้สติกลับคืน เขาเพียงยิ้มออกมาและยกจอกตนชนกับจอกของกู่ฉิงซาน 

เขากล่าว “การที่อีกฝ่ายสามารถครอบครองยันต์หงส์เพลิงเทวะได้เช่นนี้ ย่อมหมายความว่าเขาเป็นคนของนิกายชิงหยุนใช่หรือไม่” 

กู่ฉิงซาน “ไม่ว่าจะเป็นคนของใครมันก็ไม่ต่างกัน” 

ทั้งสองยิ้มให้กันและกัน ก่อนจะยกจอกรวดเดียวหมด 

ทันใดนั้นเองเสียงเรียกของนางเซียนไป่ฮั่วก็ดังขึ้น “ฉิงซาน” 

“ขอรับ” 

“เจ้าได้รับตราประทับของอันดับหนึ่งมาใช่หรือไม่ แล้วตรานั้นเล่าอยู่ที่ใด?” 

กู่ฉิงซานยื่นตราออกไป 

นางเซียนไป่ฮั่วโบกมือ ก่อนตราประทับจะลอยขึ้นมาหยุดอยู่เบื้องหน้าเธอ

ไม่บ่อยนัก ที่จะได้เห็นสีหน้าภาคภูมิใจของเธอเช่นนี้ 

เธอมองลงไปยังตราประทับ และเอ่ยงึมงำ “เหอะ นี่สิจึงจะสมกับที่เป็นศิษย์นักปราชญ์” 

ฉิงซานกับเซี่ยโหลว เหลือบมองกันแวบหนึ่ง และเลือกที่จะเงียบ ไม่รบกวนท่านอาจารย์ 

นางเซียนไป่รู้สึกตัว นางกระแอมไอและเก็บตราประทับกลับคืน 

“เจ้าสิ่งนี้ข้าจะเก็บมันเอาไว้ก่อน” 

“ขอรับ ท่านอาจารย์” 

“และ” นางเซียนไป่ฮั่วครุ่นคิด 

กู่ฉิงซาน “ท่านอาจารย์มีสิ่งใดจะชี้แนะศิษย์?” 

นางเซียนไป่กล่าว “อืม ในวันนี้เจ้าจงไปยืนเฝ้าที่ศิลาฟ้าเสีย” 

ห่านขาวกล่าว “จริงสิ ในเมื่อได้เข้าสู่นิกายร้อยบุปผาอย่างเป็นทางการแล้ว เจ้าก็สมควรจะไปออกหน้าช่วยเหลือนิกายบ้าง” 

ท่านอาจารย์ถึงกับใช้ทั้งร่างจริงและร่างแยกเอ่ยยุยงเขา นี่ไม่ว่านางกำลังคิดอะไรแผลงๆ อยู่ใช่ไหม กู่ฉิงซานถอนหายใจอย่างเงียบและกล่าว “ศิษย์ทราบแล้ว” 

ฉินเซี่ยวโหลวดูจะมีความสุขยิ่ง เขาเอ่ยปาก “เช่นนั้นก็ยอดไปเลย ข้าจะได้เป็นอิสระเสียที” 

“เมื่อเร็วๆ นี้เจ้าได้ร้องขอให้ข้าช่วยฝึกปรือ ฉะนั้นจงอย่าหวังว่าทั้งวันนี้จะได้ออกไปไหนเชียว!” นางเซียนไป่ฮั่วจิกสายตาไปยังเขา 

“ศะ...ศิษย์ทราบแล้ว” ฉินเซี่ยวโหลวกล่าวรับครั้งแล้วครั้งเล่า ทว่าแววตาของเขากลับบังเกิดระลอกคลื่น ราวกับว่ากำลังขบคิดว่าตนสมควรหนีไปเที่ยวที่ไหนดี 

หลังจากมื้ออาหาร กู่ฉิงซานก็เดินตรงมายังถนนเส้นหลักด้านนอกของเมืองร้อยบุปผา ก่อนจะตัดสินใจมาหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าศิลาฟ้า 

ขณะนี้มีผู้ฝึกยุทธจำนวนมากกำลังเฝ้ารออยู่ 

บัดนี้ ผู้คนต่างก็ล่วงรู้แล้วว่า ในปีนี้นักปราชญ์ไป่ฮั่วได้ยอมรับสาวกคนใหม่ อาณาจักรร้อยบุปผาก็ดูจะมีชีวิตชีวายิ่งกว่าในครั้งอดีต มีฝูงชนเข้ามาอย่างคึกคักเพื่อต้องการแสวงโชค 

กู่ฉิงซานมองไปยังฝูงชนที่จอแจ ด้วยความเหม่อลอยเล็กน้อย 

ในตอนแรกเริ่มที่วิ่งเต้นเพื่อต้องการที่จะช่วยเหลือกงซุนซีและหนิงเยว่ฉาน เขาพยายามอย่างสุดฝีมือ จนในที่สุดก็ได้เข้ารับรายการทดสอบร้อยบุปผา 

ทว่าในปัจจุบันนี้ เขาได้กลายมาเป็นศิษย์ของนักปราชญ์แห่งนิกายร้อยบุปผาอย่างเป็นทางการแล้ว ไม่จำเป็นต้องกล่าวถึงเทคนิคฝึกยุทธ หรือทรัพยากรที่เขาจะได้รับ แค่ได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่นักปราชญ์ฝึกฝนให้ด้วยตนเองก็น่าอิจฉาแทบตายแล้ว 

เขาได้ก้าวข้ามตนเองในชีวิตก่อนหน้าไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว นับว่าเป็นการเริ่มต้นใหม่ที่แสนจะสมบูรณ์แบบ 

แม้กระทั่งความเข้าใจในสกิลดาบ นางเซียนไป่ฮั่วก็ได้สอนสั่งเขาด้วยตนเอง จนเกิดความก้าวหน้าและสามารถปลดเปลื้องพวกมันเกือบทั้งหมดออกมาได้แล้ว หากเทียบกับในอดีต สิ่งที่ยังคงด้อยกว่าในขณะนี้เหลือไว้แค่เพียงพื้นฐานวรยุทธและเทคนิคลับแห่งดาบบางชนิดเท่านั้น 

เมื่อระลึกย้อนคิดไปถึงวันวาน ช่วงเวลา ณ ขณะนี้จึงแลดูเหมือนความฝัน 

กู่ฉิงซานยืนนิ่งอยู่เงียบๆ มาครู่หนึ่งแล้ว จู่ๆ เขาก็ยิ้มออกมาและกระโจนขึ้นไปบนศิลาฟ้า

“ข้ามีนามว่ากู่ฉิงซาน ศิษย์อันดับสามแห่งนิกายร้อยบุปผา!” 

“ในวันนี้ข้าจะเป็นคนเริ่มตั้งหัวข้อ อย่างที่พวกเจ้ารู้ๆ กัน ว่าหากพวกเจ้าสามารถผ่านมันไปได้ ก็จะสามารถไปทางซ้ายเพื่อเลือกเฟ้นรายการทดสอบร้อยบุปผา” 

กู่ฉิงซาน “ทว่าวันนี้มิได้มีหัวข้ออันใด แต่มีกฎเกณฑ์เพียงหนึ่งเท่านั้น” 

มองไปยังฝูงชนที่เผยถึงความสับสน กู่ฉิงซานก็เอ่ยต่อ “นับจากนี้ไป พวกเจ้าทั้งหมดจะต้องอาศัยอยู่ในอาณาจักรร้อยบุปผานิรันดร์เป็นเวลาสิบปี หากครบสิบปีแล้ว ข้าก็จะทำการเลือกสรรผู้ที่มีพรสวรรค์ และเฉพาะผู้ที่ถูกเลือกเท่านั้น จึงจะสอดคล้องกับคุณสมบัติที่จะถูกรับเลือกให้ทดสอบรายการร้อยบุปผา” 

“แต่ถ้าหากว่าพวกเจ้าพำนักอยู่ในอาณาจักรร้อยบุปผาครบยี่สิบปี เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องได้รับเลือกจากข้า พวกเจ้าจะสามารถก้าวเข้าสู่การทดสอบร้อยบุปผาได้เลยด้วยตนเอง” 

“แต่ถ้าหากว่าพวกเจ้าพำนักอยู่ในอาณาจักรร้อยบุปผาครบห้าสิบปี เจ้าก็ไม่จำเป็นจะต้องทำการทดสอบร้อยบุปผาใดๆ อีก ทว่ากลับสามารถร้องขอที่จะเข้าพบกับนักปราชญ์ได้เลยด้วยตัวเองโดยตรง” 

ทุกคนหันมามองหน้ากัน ข้ามองเจ้า เจ้ามองข้า 

เงื่อนไขกฎเกณฑ์แปลกๆ เช่นนี้มันเรื่องอะไรกัน 

ทว่าผู้ฝึกยุทธบางคนก็หัวไว สามารถตระหนักได้ถึงบางสิ่งอย่างรวดเร็ว เขาผินตัวกลับ และสับฝีเท้าหายเข้าไปยังทิศทางเมืองร้อยบุปผาอย่างรวดเร็ว

.........................................