webnovel

0111 บนวังสวรรค์

ตอนที่ 111 บนวังสวรรค์

 

แม้จะเป็นการเอ่ยปากแบบไร้สรรพเสียง ทว่าทุกคนที่กำลังให้ความสนใจกับมันย่อมสามารถอ่านปากของเขาได้อย่างไม่ยากเย็นเลย เกือบทั้งหมดหลุดหัวเราะออกมา  

หลี่ฉางอันโกรธมาก เขาเกือบจะฝืนทนไม่ไหว กระโจนออกไปฆ่าเจ้าปากพล่อยตรงหน้า 

อย่างไรก็ตามในสถานการณ์เช่นนี้ แน่นอนว่าเขาย่อมไม่อาจทำเช่นนั้นได้ในที่สาธารณะ 

หลี่ฉางอันข่มอารมณ์ตน ก่อนจะวาดมือล้วงเข้าไปในถุงสัมภาระเบาๆ แล้วหยิบยันต์ออกมา 

“จงปรากฏ” 

เขาตะคอกคำหนึ่งและทำการกระตุ้นยันต์ 

ยันต์พลันเกิดเสียงพรึบและลุกไหม้ ก่อนจะกลายร่างเป็นหงส์เพลิงที่ผุดออกมาจากในความว่างเปล่า 

“นั่นอสูรเทวะ!” 

บางคนได้อุทานออกมา 

ในฝูงชน คนแล้วคนเล่าต่างเงยหน้าขึ้นมอง 

ขนาดนิกายหลิงเฉาอสูรวิญญาณ ก็ยังมิอาจได้ครอบครองตัวตนอย่างอสูรเทวะดังกล่าวเลย 

หงส์เพลิงที่ปรากฏขึ้นได้สั่นสะท้านจิตวิญญาณของผู้คน มันกางปีกออก และทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า 

ทุกหนแห่งตามเส้นทางที่มันโฉบผ่านจะกลายเป็นถนนเปลวเพลิงที่กำลังลุกไหม้ 

บัดนี้ท้องฟ้าถูกปกคลุมไปด้วยเปลวเพลิงที่แผดเผา 

“ไปกันเถอะ” 

หลี่ฉางอันกล่าว 

เหล่าผู้คนในอารามชิงหยุนฟ้ากระจ่าง พากันก้าวทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า ตามเปลวเพลิงลุกไหม้ที่ถูกปูไว้เป็นทางเดินยาว มุ่งหน้าตรงขึ้นสู่วังสวรรค์ที่อยู่เบื้องบนท้องฟ้า 

ช่างเป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์ใจยิ่ง ดูเหมือนว่าเพลิงดังกล่าวจะไม่ได้ทำอันตรายใดๆ แก่พวกเขา 

หลี่ฉางอันทะยานขึ้นไปตลอดทาง ทว่าศีรษะของเขากลับก้มลงมองไปยังกู่ฉิงซานอยู่ตลอดเวลา 

เขาเอ่ยปากอย่างไร้สรรพเสียง 

“ฝากไว้ก่อนเถอะ” 

กู่ฉิงซานแกล้งทำเป็นเมิน พร้อมกล่าวชื่นชมสรรเสริญ “ช่างเป็นวิธีการอวดโอ้ที่โดดเด่นไม่ซ้ำใครจริงๆ” 

“ไม่ใช่ว่าศิษย์พี่กำลังโกรธเขาอยู่หรอกหรือ?” ซิวซิวเอ่ยถามอย่างสงสัย 

กู่ฉิงซานยิ้ม เขาหยิบขนมขบเคี้ยวออกมาให้เธอ 

เขากล่าว “เจ้าไม่จำเป็นต้องใส่ใจเรื่องนั้นหรอก กินนี่เสีย” 

ซิวซิวที่กำลังมีท่าทีเบื่อหน้า เมื่อเห็นขนมนี้ ดวงตาของเธอก็เปล่งประกายสดใส

 “ศิษย์พี่ซื้อมันตั้งแต่เมื่อใด ทำไมข้าถึงไม่ทราบ” 

“เจ้ามัวแต่เฝ้ามองอสูรวิญญาณอยู่ตลอดเวลา ข้าจึงสามารถแอบออกไปซื้อมันได้อย่างสะดวก” 

“มันอร่อยจริงๆ ศิษย์พี่ช่างเป็นคนดียิ่งนัก” 

“นั่นย่อมแน่นอนอยู่แล้ว” 

นิกายชิงหยุนเดินทางขึ้นสู่วังสวรรค์ได้อย่างน่าประทับใจ 

จากนั้นเสียงของภิกษุองค์หนึ่งก็ดังขึ้น 

“อามิตตาพุทธ” 

หนึ่งในสามไตรภาคี นักพรตเป่ยหยวนแห่งวัดหลิงเย่ก็อยู่ที่นี่เช่นกัน 

เขาเป็นผู้รับผิดชอบในฐานะเจ้าภาพการทดสอบประจำปีในปีนี้ อีกหนึ่งที่เดินติดตามเขาอย่างใกล้ชิดคือภิกษุหนุ่มกำลังปิดตาลงทั้งสองข้าง อายุน่าจะราวๆ สิบเจ็ดถึงสิบแปดปีคล้ายคลึงกับกู่ฉิงซาน 

เห็นเพียงแค่เขากำลังท่องบทสวดพระพุทธ ทันใดนั้นจากใต้พื้นดินก็ผุดดอกบัวที่เปล่งประกายสีทองเรืองรองขึ้นมาดอกแล้วดอกเล่า รองรับฝ่าเท้าของคนจากวัดหลิงเย่ ก่อนจะค่อยๆ ยกตัวสูงขึ้นมุ่งหน้าสู่วังสวรรค์ 

“ว้าว มีดอกบัวทองผุดขึ้นมาจากพื้นดินด้วยล่ะ นั่นจะต้องเป็นพลังศักดิ์สิทธิ์ของพุทธะแน่ๆ เลย ท่านอาจารย์กล่าวไม่ผิดจริงๆ มาคราวนี้ข้าได้เปิดหูเปิดตาไม่น้อยเลย” ซิวซิวตะโกนอย่างตื่นเต้น ขณะเดียวกันในปากยังคงขบเคี้ยวขนมงึมงำ 

ทว่าทันใดนั้นเธอก็ตระหนักได้ถึงปัญหาหนึ่ง 

และดูเหมือนจะเป็นปัญหาร้ายแรงมากเสียด้วย 

“นี่ๆ ศิษย์พี่” 

“หืม?” 

“พวกเราบินไม่ได้เหมือนคนอื่นเขานะ แล้วจะขึ้นไปข้างบนได้อย่างไร” 

กู่ฉิงซานหันไปมองโดยรอบ และพบว่าทั่วทั้งลานจัตุรัส แทบจะไม่มีผู้คนหลงเหลืออยู่แล้ว 

“ไม่ต้องกังวลไปหรอก” กู่ฉิงซานกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ปัญหานี้น่ะ ท่านอาจารย์ย่อมมีความกังวลใจมากกว่าเจ้าและข้าเสียอีก” 

เขาล้วงเข้าไปในกระเป๋าสัมภาระ และหยิบยันต์สื่อสารออกมา 

“นิกายร้อยบุปผา” กู่ฉิงซานตะโกนกล่าว 

คำเหล่านี้ราวกับมีมนต์สะกด เมื่อเขาเอ่ยมันออกมา แม้กระทั่งผู้ฝึกยุทธที่อยู่บนวังสวรรค์ก็ยังต้องก้มมอง 

“กู่ฉิงซาน ขอนำพาเหล่าสาวกมาเข้าร่วมการทดสอบประจำปี” 

สิ้นคำกล่าว เขาก็โค้งคำนับไปยังวังสวรรค์ด้วยความเคารพ 

ยันต์อัญเชิญได้ถูกกระตุ้นโดยพลังวิญญาณของเขา มันแปรเปลี่ยนเป็นลุกไหม้และทะยานออกไป 

ฝูงชนเฝ้ารอคอยด้วยความสนใจอยู่ครู่หนึ่ง ทว่ากลับยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น 

สีหน้าของหลี่ฉางอันพลันแปรเปลี่ยน หัวใจของเขาเต้นถี่ระรัว 

ไม่คาดคิดเลยว่าเจ้าบ้านี่จะเป็นคนของนิกายร้อยบุปผา ไม่น่าแปลกใจเลยว่าเหตุใดมันจึงกล้าพูดจาดูถูกเขา 

ทว่านิกายร้อยบุปผาแล้วอย่างไรเล่า ข้าก็เป็นศิษย์นักปราชญ์เช่นกัน ข้าจะเหยียบย่ำเจ้า...เหยียบย่ำเจ้า! 

‘หนิงเยว่ฉาน…’ 

เมื่อคิดถึงนักบุญหญิงที่แสนจะงดงามและโดดเด่น ประกายในดวงตาของหลี่ฉางอันก็เปลี่ยนเป็นคมกริบ 

บางทีการที่คิดเหยียบย่ำเจ้าคนผู้นี้ อาจจะดีส่งผลลัพธ์ที่ดีกว่าการเหยียบย่ำคนอื่นๆ ก็ได้ 

เขาคิดเช่นนั้น และเตรียมการที่จะกระทำมันอย่างรวดเร็ว 

วินาทีต่อมา ภายในวังสวรรค์ก็ปรากฏเสียงหัวเราะคิกคัก 

ผู้ฝึกยุทธคนแล้วคนเล่าหันไปมอง ก่อนจะพบว่าแท้จริงแล้วเจ้าของเสียงหัวเราะก็คือหลี่ฉางอันแห่งนิกายชิงหยุน 

หลี่ฉางอันส่ายหัว ถอนหายใจหนักหน่วงและกล่าว “แม้จะถูกเรียกว่านิกายร้อยบุปผา ทว่ากลับมาเพียงแค่สองคนท่านั้น หากไม่อาจขึ้นมาได้…ก็จงกลับไปเสีย!” 

หลายผู้คนได้ฟัง ก็ราวกับถูกกระชากสติ 

คำกล่าวนี้มีความหมายว่าเช่นไร? 

หรือว่าอารามชิงหยุนจะไม่เห็นหัวนิกายร้อยบุปผา? 

ทว่าก็มีเรื่องเล่าลือมาว่านิกายร้อยบุปผาน่ะ ไม่เคยจะใส่ใจกับคำกล่าวสบประมาทเรื่องจำนวนสาวกอะไรพวกนี้ 

แต่นางเซียนไป่ฮั่วก็นับว่าเป็นผู้ที่มีอารมณ์แปรปรวน ใครเล่าจะไปรู้ว่านางกำลังคิดอะไรอยู่ 

หลี่ฉางอันกล้าที่จะเอ่ยกล่าว ขณะที่นิกายผู้ฝึกยุทธอื่นไม่กล้าเอ่ยมันออกมา ปากของเหล่าผู้ฝึกยุทธปิดแน่น ทว่าในสายตากลับสื่อสารถึงกันและกัน บ้างก็ส่งความนึกคิดผ่านจิตสัมผัสเทวะ เพราะเกรงว่าหากพลั้งปากออกไปโดยประมาทอาจจะทำให้เกิดปัญหาตามมาได้ 

ทันใดนั้นเอง จากสุดเส้นขอบฟ้า พลันปรากฏเมฆเจ็ดสีอันสดใส 

สีของเมฆนี้ช่างดูงดงามและหรูหรา และด้วยกลิ่นอายอันงดงามของมัน จึงส่งผลดึงดูดสายตาของผู้คนมากมาย 

เมฆเจ็ดสีบินเร็วขึ้นเป็นเท่าทวี พริบตาเดียวมันก็ร่วงตกลงบนลานจัตุรัส และแปรเปลี่ยนเป็นหญิงที่แม้จะดูมีอายุแต่ก็ยังคงไว้ซึ่งเสน่ห์และงดงาม 

กู่ฉิงซานกระตุกแขนเสื้อซิวซิว เร่งโค้งคำนับและกล่าว “ได้พบเห็นนักปราชญ์ช่างเป็นบุญตายิ่ง” 

หญิงใหญ่ผู้งดงามยิ้มแย้มและกล่าว “เจ้าไม่จำเป็นต้องสุภาพเกินไป ชีวิตข้าในปัจจุบันนี้ถูกช่วยไว้โดยนางเซียน เมื่อนางร้องขอ ข้าจึงมาช่วยเจ้าเป็นกรณีพิเศษ”  

ระหว่างกล่าว นางก็หมุนกายรอบหนึ่ง และกลายร่างเป็นนกยูงที่มีขนหางเพรียวยาวและงดงาม 

ในโลกปุถุชนใบนี้ ปรากฏเพียงนกยูงเพศผู้เท่านั้นจึงจะมีหางรำแพนอันงดงาม ทว่าสำหรับ นกยูงมารนักปราชญ์นั้นไม่อาจนำไปเปรียบเทียบ เธอคืออสูรศักดิ์สิทธิ์ ขนหางจากร่างกายแต่ละขนล้วนบ่งบอกถึงวิถีจิตวิญญาณธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ ยิ่งมันงดงามและยาวมากเท่าไหร่ก็ยิ่งบ่งบอกถึงการรับรู้และเข้าใจกฎของสวรรค์และโลกยิ่งขึ้นเท่านั้น 

“คงต้องลำบากท่านแล้ว ข้ารู้สึกขอบคุณอย่างสุดซึ้ง” กู่ฉิงซานโค้งคำนับอีกครั้ง 

นกยูงมารนักปราชญ์รับรู้ถึงความเคารพของเขา นางพยักหน้าเล็กน้อยและกล่าว “เช่นนั้นพวกเราไปกันเถอะ” 

นางกระพือปีกอย่างอ่อนโยน ร่างของกู่ฉิงซานและซิวซิวก็ลอยขึ้นและตกลงบนหลังของนาง 

นกยูงนักปราชญ์แบกทั้งสองไว้บนหลัง สยายปีกทั้งสอง และบินตรงไปยังวังสวรรค์เบื้องบน 

ด้วยรูปร่างที่งดงามของนาง ทำให้แลดูคล้ายกับเมฆเจ็ดสี ทว่านางกลับดูอ่อนโยนและสง่างามยิ่งกว่า ส่งผลให้ภาพๆนี้ช่างน่าประทับใจและควรค่าแก่การจดจำยิ่ง 

ผู้ฝึกยุทธทั้งหมดถึงขั้นลืมหายใจ และต่างพากันจ้องมองไปยังฉากนี้ 

ขอบเขตประทับเทพคือจุดสูงสุดของผู้ฝึกวรยุทธ มันคือสัญลักษณ์ของนักปราชญ์ที่ผู้คนต่างเลื่อมใสและไม่มีสถานะใดจะตีเสมอเหมือน 

ในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ ไม่เคยปรากฏว่ามีผู้ใด ที่ได้ขึ้นขี่ตัวตนที่อยู่ในระดับขอบเขตประทับเทพมาก่อนเลย 

ทว่านิกายร้อยบุปผากลับทำให้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นมาได้ บางทีอีกหลายสิบปี ไม่สิ อีกหลายร้อยปี หากถึงยามว่าง เรื่องนี้ย่อมจะเป็นที่รักให้ผู้คนกล่าวขานถึงมันอย่างแน่แท้ 

กู่ฉิงซานและซิวซิวลงมายังจัตุรัสเบื้องหน้าวังสวรรค์ นกยูงนักปราชญ์ผงกหัวให้ทั้งสอง ก่อนจะแปรเปลี่ยนตนให้กลายเป็นเมฆสีชมพู ร่ายระบำอยู่กลางอากาศและลอยจากไป 

ซิวซิวหันไปมองรอบๆ ก่อนจะเห็นว่ากลุ่มของผู้ฝึกยุทธทางซ้ายกำลังจ้องมองเธออย่างกับซากไม้ตายด้าน หันไปทางขวาก็เป็นเฉกเช่นเดียวกัน  

เธอจึงหันมากระซิบถามกู่ฉิงซานอย่างเงียบๆ “ดูเหมือนท่านอาจารย์จะลงมือเกินงามอีกแล้ว” 

กู่ฉิงซานหันไปกระซิบตอบอย่างเงียบๆ “ผลลัพธ์เช่นนี้แหละ ท่านอาจารย์ชมชอบนัก” 

ซิวซิวขบคิด และพยักหน้าว่าเธอก็รู้สึกเห็นด้วย 

ผ่านไปครู่หนึ่ง ผู้คนที่กำลังตกตะลึงก็เริ่มรู้สึกตัว ก่อนจะค่อยๆ กลับมาสนทนากันต่อ 

สีหน้าของหลี่ฉางอันกลับกลายเป็นน่าเกลียด ห้วงอารมณ์ภายในหัวใจของเขาดิ่งวูบ เขาหันไปรอบๆ เพื่อตรวจสอบดูว่าทุกคนก็เห็นเช่นเดียวกับเขาหรือเปล่า...และก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ หลี่ฉางอันกล้าสาบานเลยว่าหากมิได้เห็นด้วยสองตาของตนเอง ในหัวใจเขาไม่มีทางยอมเชื่อเด็ดขาด 

ครึ่งชั่วโมงต่อมา ในที่สุดการทดสอบประจำปีก็ได้ฤกษ์เริ่มต้นเสียที 

การทดสอบแรกเป็นเรื่องง่ายดายยิ่ง มันคือการแสดงให้เห็นถึงความสามารถที่แข็งแกร่งที่สุดของตน โดยจะได้รับคำตัดสินจากเจ็ดผู้นำของโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ ตราบใดที่คิดว่ารุ่นเยาว์เบื้องหน้าปรากฏแนวโน้มว่าจะมีพรสวรรค์ ก็ถือว่าคนคนนั้นสอบผ่าน 

การทดสอบประจำปีในครั้งนี้ นิกายต่างๆ พากันเปิดประตูอ้าแขนรับ ตราบใดที่เห็นว่านักรบผู้ทำการทดสอบดูมีความสามารถ ก็จะผ่านการทดสอบ 

การทดสอบเบื้องต้นได้ผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว ในตอนท้ายได้ข้อสรุปว่า นักรบและผู้ฝึกยุทธระดับต่ำส่วนใหญ่มีคุณสมบัติมากพอที่จะเข้าร่วมนิกายได้ 

ผู้คนจำนวนมากต่างพากันร้องไห้ด้วยความปีติ 

กู่ฉิงซานมองไปยังผู้คนเหล่านั้นด้วยห้วงอารมณ์อันลึกซึ้ง ในชีวิตก่อนหน้า เขาก็มาทดสอบในฐานะผู้ฝึกยุทธเร่ร่อน แต่เนื่องเพราะเขาครอบครองแค่เพียงหนึ่งชุดเทคนิคดาบเพียงเทคนิคเดียวเท่านั้น ทำให้เขาไม่ผ่านการทดสอบแรกนี้ 

ในเวลานั้น เขาคร่ำครวญอย่างน่าสมเพช เพราะชุดเทคนิคเดียวที่ผู้ตัดสินบอกว่าไม่ดีพอนั้น เขาแลกมันมากับการต้องไปเสี่ยงชีวิตในแนวหน้า...

การทดสอบเบื้องต้นได้สิ้นสุดลง จากนั้นก็เริ่มการทดสอบครั้งที่สอง 

การทดสอบครั้งที่สอง คือการทดสอบสำนัก 

สำหรับผู้ฝึกยุทธเร่ร่อน จะมีผู้ฝึกยุทธพิเศษมาช่วยประเมินคุณสมบัติที่จะผ่านเข้าสู่รอบต่อไป 

หากสามารถเข้าสู่รอบต่อไปได้ก็เท่ากับว่ามีคุณสมบัติมากพอที่จะเป็นสาวกของนิกายสายในได้แล้ว ส่วนผู้ที่ถูกคัดออกก็จะสามารถไปเข้าร่วมกับนิกายสายนอกได้เท่านั้น

สี่บรรพชนนักสู้ได้รับมอบหมายให้ทำการทดสอบนักสู้หวูเต๋า สามผู้ใช้เทคนิคมนตราจากธาตุทั้งห้ารับหน้าที่ทดสอบผู้ฝึกยุทธที่ใช้เทคนิคมนตรา สองผู้ฝึกดาบรับหน้าที่ทดสอบสำนักผู้ฝึกดาบ ผู้ใช้กระบี่ และผู้ใช้อาวุธชนิดต่างๆ และหนึ่งผู้อาวุโสใหญ่รับผิดชอบในการคัดกรองผู้ใช้เทคนิคเทียนซวน 

ซิวซิวดูจะไม่ใส่ใจมองอะไรเลย เธอจดจ้องอยู่แต่กับกระบวนการคัดกรองเทคนิคเทียนซวน เฝ้ามองมันด้วยความสนใจ 

“ศิษย์พี่ การที่พวกเรามาที่นี่แต่ไม่ได้ทำอะไรเลย มันจะดีหรือ” เธอถามอย่างกระสับกระส่าย 

“นี่แหละดีที่สุดแล้ว เพียงแค่มาเปิดหูเปิดตา และไปกลับอย่างปลอดภัยตามที่ท่านอาจารย์เอ่ยสั่งก็พอแล้ว” กู่ฉิงซานเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

........................................