webnovel

0106 คำถาม

ตอนที่ 106 คำถาม

 

กู่ฉิงซานมองตามห่านขาวที่บินไกลออกไป พร้อมบังเกิดความคิดขึ้นในจิตใจ

 เป็นไปได้ไหมว่านางเซียนไป่ฮั่วขี้เกียจปรุงอาหาร นางจึงรับฉินเซี่ยวโหลวเข้ามาเป็นศิษย์ฝึกหัด?

 เขารีบส่ายหัวอย่างรวดเร็วและบอกกับตัวเองว่าคงคิดในแง่ร้ายมากเกินไป

 ซิวซิวเห็นห่านขาวจากไป ศิษย์พี่สองก็จากไปแล้ว เธอเอียงคอขบคิดและเอ่ยปาก “ศิษย์พี่สาม ต้องการไปที่วังของข้าหรือไม่ ข้าจะได้ลองคั้นน้ำผลไม้ให้ท่านชิม”

 “ไม่ได้หรอก ศิษย์พี่สามของเจ้ากำลังหลอมรวมเข้ากับขอบเขตใหม่และจำเป็นต้องฝึกฝนเพิ่มเติม” กู่ฉิงซานกล่าวด้วยรอยยิ้ม 

ซิวซิวได้ฟัง เธอก็บังเกิดความคิดใหม่ขึ้นทันใด “เช่นนั้น ข้าขอฝึกฝนร่วมกับศิษย์พี่สามได้หรือไหม” 

“ได้สิ ยินดีเป็นอย่างยิ่ง” 

กู่ฉิงซานมองไปยังท่าทีกระวนกระวายของเธอ จึงรีบตอบตกลงทันที 

พอซิวซิวได้ยินแบบนั้น เธอก็พลันกระตือรือร้นขึ้นมาทันที ชามอาหารว่างในมือถูกวางลง ก่อนที่เจ้าตัวจะกระโดดด้วยความดีใจและมาหยุดอยู่เบื้องหน้ากู่ฉิงซาน 

“ศิษย์พี่สาม พวกเราควรเริ่มจากหนึ่งกระบวนท่ากันก่อนดีไหม?” 

“นั่นสินะ” 

“วรยุทธข้าอยู่ในระดับปราณปรับแต่งขั้นหก หากเทียบกันกับท่านแล้วนับว่าอ่อนด้อยกว่า ศิษย์พี่สามโปรดเมตตาด้วย”

“ข้าจะระมัดระวังไม่ทำอะไรให้เจ้าได้รับบาดเจ็บอย่างแน่นอน” กู่ฉิงซานกล่าวอย่างจริงจัง 

เมื่อซิวซิวได้ยินคำมั่นของกู่ฉิงซาน ความหนักอึ้งภายในจิตใจของเธอก็คลายลง 

“เช่นนั้น ข้าขอเป็นคนเริ่มก็แล้วกัน” เธอกล่าว 

กู่ฉิงซานวาดดาบยาวอยู่ในแนวนอน ท่วงท่าเตรียมป้องกันและกล่าวด้วยรอยยิ้มน้อยๆ “เข้ามาเลย” 

สองมือของซิวซิวท่วมท้นไปด้วยแสงสีดำเรืองรอง ก่อนที่มันจะประกบกันเป็นรูปตราสัญลักษณ์ของเทคนิคลับ 

ทว่าดูเหมือนเธอจะค่อนข้างประหม่าเล็กน้อย ดังนั้นการเคลื่อนไหวจึงไม่สมบูรณ์ และพริบตาต่อมาแสงสีดำก็สลายหายไป 

“ขออภัยศิษย์พี่ ข้าขอลองอีกครั้งนะ” ซิวซิวรีบกล่าว 

“ไม่เป็นไรหรอก กระบวนท่าเทคนิคลับน่ะมันต้องใช้ออกด้วยจิตใจที่สงบ เจ้าไม่จำเป็นต้องฟุ้งซ่านมากจนเกินไปนัก” กู่ฉิงซานกล่าวสอน 

“สมควรเป็นเช่นนั้น ขอบคุณศิษย์พี่สาม” ซิวซิวประกบสองมือใช้ออกด้วยเทคนิคลับอีกครั้ง 

รัศมีแสงสีดำปรากฏขึ้นบนมือของเธอ 

กู่ฉิงซานมองไปยังมัน ในหัวใจของเขาเกิดความประหลาดใจเล็กน้อย 

ทอง ไม้ น้ำ ไฟ ดิน ลม สายฟ้า แสงสว่าง ความมืด และเสียง ทั้งหมดนี้คือธาตุทั้งห้าและห้าธาตุจำเพาะ 

ห้าธาตุจำเพาะนั้นหาได้ยากยิ่ง ทว่าพลังวิญญาณธาตุความมืดจากห้าธาตุจำเพาะ นับว่าเป็นอะไรที่หาได้ยากมากที่สุด 

พลังวิญญาณนี้มีกระบวนการใช้งานที่ไม่ซ้ำซ้อนมากมายนัก ทว่าผลที่ได้กลับไม่แตกต่างไปจากเทคนิคเทียนซวนเลย

สิ่งที่น่าอัศจรรย์ยิ่งกว่านั้นก็คือ หากสองผู้ฝึกยุทธพลังวิญญาณธาตุมืด ใช้ออกด้วยเทคนิคลับเดียวกัน ผลลัพธ์ของมันกลับแตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง 

ซิวซิวจำต้องใช้เวลากว่าสี่ลมหายใจ เทคนิคลับจึงเสร็จสมบูรณ์ลงในที่สุด 

เธอจีบออกด้วยเทคนิคลับและตะโกนกล่าว “จงปรากฏ!” 

เหนือขึ้นไปในความว่างเปล่า ปรากฏชั้นระลอกคลื่นที่กระเพื่อมอย่างรวดเร็ว ราวกับมีบางสิ่งกำลังดิ้นรน ต้องการหลุดพ้นออกมาจากภายใน 

วินาทีต่อมา ช่องว่างก็เปิดออกจากความว่างเปล่า 

นกสีเทาที่ไร้ซึ่งใบหน้าโผล่ออกมา ก่อนจะพุ่งเข้าปะทะเข้าหากู่ฉิงซานโดยตรง 

เบื้องหลังของมัน ปรากฏนกสีเทาที่ไร้ใบหน้ากว่ายี่สิบตัวบินตามมา 

กู่ฉิงซานตะคอกคำหนึ่ง “ดีมาก! เข้ามาเลย!” 

เขายกดาบขึ้นและฟาดสะบั้นมันออกไป 

นกสีเทาแยกออกเป็นส่วนๆ ก่อนจะกลายเป็นปราณสีดำแตกตัวออกไปในอากาศ 

ดาบถูกยกขึ้นอีกครั้ง และกวัดแกว่งเข้าต่อสู้กับกลุ่มนกที่อยู่เบื้องหลัง 

ในความว่างเปล่าปรากฏช่องว่างขนาดใหญ่อีกช่องขึ้นอย่างฉับพลัน 

ฝูงนกอีกกลุ่มหนึ่งโฉบออกมาจากความว่างเปล่า 

ตามมาด้วยสุนัขล่าเนื้อและเสือที่ดูดุร้าย ทั้งหมดล้วนมีสีเทาไม่แตกต่างกัน 

สัตว์ประหลาดเหล่านี้เป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นโดยพลังวิญญาณธาตุมืด บิดเบือนกฎของสวรรค์และโลก 

สัตว์ประหลาดเหล่านี้เริ่มปรากฏขึ้นมากมาย พวกมันล้วนปรากฏขึ้นอยู่บนท้องฟ้า แต่กลับสามารถปกคลุมไปได้ทั้งผืนดิน ทั้งหมดโถมทะยานไปยังกู่ฉิงซาน 

กู่ฉิงซานกวาดจิตสัมผัสเทวะและทันใดนั้นเขาก็เผยถึงความตระหนกตกใจ 

ใครจะไปคิดกันว่าเทคนิคนี้ของซิวซิวจะเป็นการเรียกกองกำลังนับร้อยออกมา พลังวิญญาณธาตุมืดที่ส่งผลเช่นนี้ ในชั่วชีวิตของกู่ฉิงซาน เขาก็พึ่งจะเคยเห็นนี่แหละ 

หากนับเพียงปริมาณ สัตว์ประหลาดที่เบียดเสียดกันเหล่านี้สมควรจะมีมากกว่าหนึ่งพันตน 

พลังอำนาจของธาตุมืด หากถูกโจมตีมันจะไม่ส่งผลกระทบใดๆ ต่อร่างกายภายนอก ทว่ากลับสร้างความเสียหายให้แก่จิตวิญญาณภายในแทน 

เมื่อจิตวิญญาณได้รับบาดเจ็บ ปัญหาใหญ่ย่อมตามมา 

หากต้องรับมือกับสัตว์ประหลาดธาตุมืดจำนวนมาก วิธีที่ดีที่สุดก็คือ ใช้ออกด้วยเทคนิคลับ ฝ่าวารีเชี่ยว! 

หากใช้ออกด้วยฝ่าวารีเชี่ยว มั่นใจได้เลยว่าสัตว์ประหลาดทั้งหมดจะต้องกลายเป็นเถ้าถ่าน 

ทว่าเบื้องหลังของสัตว์ประหลาดเหล่านั้นมีซิวซิวที่กำลังยืนใช้เทคนิคลับอยู่ หากเขาไม่อาจควบคุมการโจมตีได้ดั่งใจ มันก็อาจจะทำให้ซิวซิวได้รับบาดเจ็บได้ 

หากใช้ออกด้วยเทคนิคลับใหม่ ‘ตัดจันทรา’ มันก็สามารถรอดพ้นจากสถานการณ์นี้ได้เช่นกัน แต่กู่ฉิงซานไม่ได้คิดจะฆ่าเธอให้ตกตายตามไปด้วย ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องใช้เทคนิคดังกล่าว

เมื่อเห็นว่าเหล่าสัตว์ประหลาดเริ่มโถมเข้ามาอย่างมืดฟ้ามัวดิน กู่ฉิงซานก็กัดฟัน ก่อนจะหมุนตัวกลับและโกยทันที 

นี่ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่มีเวลาใช้ดาบฟาดฟัน แต่สกิลดาบที่ทรงพลังพอจะจัดการพวกมันก็ไม่อาจใช้ออกได้ เทคนิคมนตรายิ่งไม่ต้องกล่าวถึง ทำได้แค่เพียงวิ่งเท่านั้น 

เหล่าสัตว์ประหลาดคำรามก้อง มุ่งไล่ล่าติดตาม 

ซิวซิวยังยืนอยู่ในจุดเดิมและปล่อยเทคนิคลับอย่างต่อเนื่อง ได้เอ่ยออกมา “ศิษย์พี่สามกำลังจะไปที่ใดกัน? หรือว่าเขาจะมีเรื่องเร่งด่วนดังเช่นอยากเข้าห้องน้ำหรือเปล่า?” 

กู่ฉิงซานพร้อมกับฝูงสัตว์ประหลาดวิ่งไล่จับกันไปทั่วทุกสถานที่ในวังร้อยบุปผา 

เขาจะหยุดบ้างเป็นบางครั้ง ก่อนจะเก็บดาบกลับคืนและเรียกธนูเย่หยูออกมาคอยยิงสกัดพวกสัตว์ประหลาดจากจุดที่ห่างไกล ฆ่าสังหารไม่ให้พวกเข้ามาใกล้เขาในระยะประชิด 

หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ในที่สุดเขาก็มองเห็นโอกาส เทคนิคลับถูกใช้ออกไป ถล่มมวลสัตว์ประหลาดให้จางหายอย่างไร้ร่องรอย 

“ซิวซิว ฝีมือเจ้าร้ายกาจนัก” กู่ฉิงซานเดินตรงเข้ามา ปากอ้ากว้างหอบหายใจหนักหน่วง 

“อย่างงั้นหรือ? ขอบคุณศิษย์ที่สามที่ชื่นชม ข้าเพียงใช้ออกด้วยหนึ่งกระบวนท่าเท่านั้น” 

เมื่อได้รับคำเยินยอ บนใบหน้าของซิวซิวก็ปรากฏรอยยิ้มแห่งความสุข 

สองมือของเธอประกบกันอีกครั้ง เตรียมทำสัญลักษณ์ใช้ออกด้วยเทคนิคลับอีกครา 

ในเวลานี้เธออารมณ์ดียิ่ง นั่นหมายความว่าจิตใจกำลังผ่องใส เทคนิคลับจึงถูกใช้ออกได้รวดเร็วยิ่งกว่าเดิม 

“ดะ...” กู่ฉิงซานไม่มีแม้กระทั่งเวลาตะโกนห้าม 

ไม่ถึงหนึ่งลมหายใจ เทคนิคลับก็ใช้ออกได้สำเร็จ มันถูกปลดปล่อยออกมาอีกครั้ง 

ช่องว่างในอากาศถูกเปิดออก 

คราวนี้ดูจะแตกต่างจากครั้งก่อน หลังจากที่ผีร้ายสีเทาตัวหนึ่งกระโจนออกมาแล้ว ตัวอื่นๆ ก็กระโจนตามมามากขึ้น มากขึ้นเรื่อยๆ 

กู่ฉิงซานได้แต่ร้องโอ้โห รีบพุ่งทะยานเข้าไปพร้อมกับดาบยาวที่ถูกสับสะบั้นจนกลายเป็นภาพติดตา ไม่กี่ลมหายใจเขาก็ฟันต่อเนื่องออกไปกว่าเจ็ดร้อย ดาบ ฆ่าสังหารผีร้ายจากธาตุมืด 

ซิวซิวเบิกตาโตและกล่าว “ศิษย์พี่ มิใช่เพียงข้าที่ร้ายกาจ แต่ท่านก็ร้ายกาจยิ่งเช่นกัน” 

กู่ฉิงซานนั่งลงกับพื้น เผยยิ้มอย่างไม่เต็มใจ เขาเหนื่อยเกินไปที่จะพูดตอบ 

พอถึงช่วงเย็น ฉินเซี่ยวโหลวก็ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง 

เขาจัดเรียงอาหารจนเต็มโต๊ะตามปกติ และในขณะที่กำลังปรุงพวกมัน เขาก็เอ่ยกล่าว “ข้ารู้หรอกหน่า ว่าพวกเจ้าน่ะอยู่กันไม่ได้หรอกหากปราศจากข้า” 

‘อยู่ไม่ได้หากปราศจากอาหารของเจ้าต่างหากล่ะ’ ...กู่ฉิงซานและซิวซิวคิดในจิตใจ 

นางเซียนไป่ฮั่วได้กลับมาแล้วในค่ำคืนนี้ 

นางเซียนนั่งอยู่บนที่นั่งอันทรงเกียรติ ขณะที่ศิษย์ทั้งสี่รายล้อมอยู่รอบตัวเธอ อาจารย์และลูกศิษย์นั่งรับประทานอาหารร่วมกันพลางกล่าวหารือ 

“ท่านอาจารย์ ออกไปทำกระไรมางั้นหรือ?” ห่านขาวถาม 

“มีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้นที่แนวหน้า เหล่าบุคคลสำคัญต่างๆ ในนิกายผู้ฝึกยุทธไปรวมตัวกัน เพื่อกล่าวประชุมหารือ” นางเซียนไป่ฮั่วกล่าว 

กู่ฉิงซานหันไปมอง ในหัวใจของเขาอัดแน่นไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น 

เขารู้หรอกหน่าว่านางเซียนอยากเล่าใจจะขาดแล้ว มิเช่นนั้นคงไม่ใช้ร่างอวตารของตนมากล่าวพูดคุยกันเองหรอก 

ทว่าคิดแล้วก็น่าเสียดายจริงๆ สกิลเทวะชนิดนี้ ทั่วทั้งโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ คงมีเพียงนางเซียนไป่เท่านั้นที่ครอบครอง 

หนึ่งอาจารย์ หนึ่งร่างอวตาร และสามศิษย์นั่งรับประทานอาหารร่วมกัน แต่ก็ไม่ได้เอ่ยอะไรกันออกมา 

หลังจากมื้ออาหารจบลง กู่ฉิงซานก็กำลังจะไปช่วยฉินเซี่ยวโหลวเก็บกวาดและล้างจาน ทว่าเขากลับถูกหยุดโดยเสียงเรียกของนางเซียนไป่ฮั่วเสียก่อน 

“เรื่องในวันนี้ มีสิ่งหนึ่งที่เจ้าสมควรทราบ” 

หลายคนในฉากชะงักงัน 

นางเซียนไป่ฮั่วกล่าว “ในปีนี้จะมีการทดสอบประจำปีล่วงหน้าก่อนเวลาอันควร” 

“เพราะเหตุใด? การทดสอบประจำปีมิเคยเปลี่ยนแปลงมากว่าร้อยปีแล้ว” ฉินเซี่ยวโหลวถามด้วยความแปลกใจ 

“เพราะพวกเรากำลังขาดกำลังคน แน่นอน หากจะกล่าวให้ชัดเจนคือขาดแคลนผู้ฝึกยุทธ” นางเซียนไป่ฮั่วกล่าว 

หลายคนในฉากจมสู่ความเงียบ 

นี่เป็นคำกล่าวที่แฝงความนัยอันลึกซึ้งเอาไว้ว่า การที่นิกายของเหล่าผู้ฝึกยุทธได้มารวมตัวกัน ด้วยเพราะหมายปองว่าจะร่วมกันทำการตอบโต้เผ่ามาร 

แน่นอนว่าสถานการณ์มันไม่ถึงขั้นเลวร้าย แต่ก็ยังไม่ดีมากพอ 

หลังจากทั้งหมดนี้ เผ่ามารนั้นมีจำนวนมากมายไร้ที่สิ้นสุด ทว่าทางฝั่งมนุษยชาติ กลับมีผู้ฝึกยุทธอยู่ค่อนข้างจะจำกัด หากแนวหน้ายังคงเกิดสงครามขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไม่ช้าก็เร็วทะเลเลือดจะต้องไหลนองทั่วแผ่นดิน เกรงว่าอีกไม่นานนิกายเล็กๆจำนวนมากคงจะไร้ซึ่งเหล่าบรรดาศิษย์อีกต่อไป 

ในช่วงชีวิตก่อนหน้า นี่ก็เป็นหนึ่งในเหตุผลหลักที่โลกแห่งผู้ฝึกยุทธล่มสลายลง 

ยิ่งไปกว่านั้น ปัญหาสำคัญก็คือตัวตนที่มีความแข็งแกร่งระดับสูงของมนุษยชาตินั้นมีน้อยนิดยิ่ง 

ฉินเซี่ยวโหลวถอนหายใจและกล่าว “เผ่ามารที่อยู่ในขอบเขตประทับเทพยังพอที่จะปรากฏตัวขึ้นบ้างเป็นครั้งคราว ทว่าในฝั่งมนุษยชาติของเรา กลับมีผู้ที่อยู่ในขอบเขตประทับเทพเพียงสามคนเท่านั้น” 

“ข้าสงสัยจริงๆ ว่าเผ่ามารมันฝึกฝนจนไปถึงระดับประทับเทพได้ง่ายดายขนาดนั้นเลยหรือ?” เขากล่าวอย่างหดหู่ 

“นั่นนับว่าเป็นเรื่องแปลกอย่างแท้จริง” นางเซียนไป่ฮั่วขบคิดอย่างลึกซึ้ง “แถมยังมีสถานการณ์แปลกๆ อีก มันเป็นสถานการณ์ที่หากข้าไม่เอ่ยออกมาเจ้าก็ไม่มีทางล่วงรู้”

หลายคนเงยหน้าขึ้นโดยพร้อมเพรียง 

“เผ่ามารที่อยู่ในขอบเขตประทับเทพ นับว่าชนะพวกเราอย่างหมดจดในเรื่องของจำนวน ทว่าในเรื่องความแข็งแกร่งรายตัว เพียงข้าใช้ออกแค่มือเดียว ก็สามารถเอาชนะพวกมันได้แล้ว” 

“เป่ยหยวนกับซวนหยวนก็มีความคิดเห็นเช่นเดียวกัน”

“เห็นได้ชัดว่าความแข็งแกร่งของพวกเรามากกว่าพวกมันอย่างชัดเจน อย่างไรก็ตามด้วยปริมาณของอีกฝ่ายที่มีมากเกินไป ทำให้พวกเราไม่สามารถทุ่มเต็มกำลังจัดการกับพวกมันได้ในครั้งเดียว มิฉะนั้นหากเกิดอุบัติเหตุใดๆ ขึ้น ข้าหมายถึงพวกเรานักปราชญ์คนใดคนหนึ่งตกตายลง กำลังรบอันแข็งแกร่งของมนุษยชาติจะถดถอยลงเป็นอย่างมากในทันที ซึ่งนั่นอันตรายเกินไป” 

“คราวก่อนที่ข้าช่วยฉิงซานเอาไว้ เนื่องเพราะข้าสามารถส่งร่างแยกออกไปได้ จึงไม่นับว่าเป็นอันตรายใดๆ ทว่าเป่ยหยวนกับซวนหยวนมิได้มีสกิลเทวะชนิดนี้ ลงมือแต่ละครั้งพวกเขาต้องออกหน้าด้วยตนเอง ความเสี่ยงมันเลวร้ายเกินไป” 

“นี่คือเหตุผลหลักที่เรายังไม่ตัดสินใจลงมือ” 

นางเซียนไป่ฮั่วถอนหายใจหนักหน่วง และปล่อยให้กู่ฉิงซานได้ยินความลับที่ตลอดทั้งสองช่วงชีวิตเขาไม่เคยได้ยินมาก่อน

........................................