ตอนที่ 104 ทางเลือก
นี่ฉันจะต้องตัดสินใจจริงๆ หรือ?
กู่ฉิงซานค่อนข้างลังเล หลังจากทั้งหมดนี้ดูเหมือนว่าจะไม่เคยมีใครคนใดเลือกเทคนิคสนับสนุนชีวิตอย่างสายฟ้าเล่ย และไฟฟ้าเดี๋ยน มาก่อนเลย
ในช่วงวันสิ้นโลก ทุกคนต่างต้องการที่จะมีชีวิตรอด ผู้ที่สามารถกระตุ้นธาตุสายฟ้าได้ ก็ย่อมต้องเลือกเทคนิคล่าสังหารอย่างสายฟ้าคำรณเล่ยถิง ที่จะช่วยเพิ่มพูนความแข็งแกร่งในยามต่อสู้ของตนอยู่แล้ว ใครมันจะไปสนใจเทคนิคสนับสนุนชีวิตกัน?
นอกเหนือจากนั้น ยังมีผู้ฝึกยุทธและผู้เล่นจำนวนมากเกินไป พวกเขาต่างแก่งแย่งทรัพยากรด้านต่างๆ เพื่อหมายมุ่งจะแข็งแกร่งยิ่งขึ้น นั่นทำให้การจะก้าวข้ามขอบเขตใหญ่จึงไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นได้ง่ายๆ
การปลุกพลังศักดิ์สิทธิ์จึงไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะมันมีบทบาทที่จะชี้ขาด อนาคตกว่าครึ่งของเหล่าผู้ฝึกยุทธทั้งหมด
ดังนั้นด้วยประสบการณ์ในชีวิตก่อนหน้า กู่ฉิงซานจึงไม่เต็มใจเสี่ยงเลือกเทคนิคสังหารสายฟ้าคำรน(เล่ยถิง) แม้ว่าในความเป็นจริงมันจะต้องทำกำไรให้เขามหาศาลอย่างแน่นอนเลยก็ตาม
หลังจากทั้งหมดนี้ ท้ายที่สุดแล้วสิ่งที่เกี่ยวข้องกับเส้นทางในอนาคตของฉัน หากเกิดความผิดพลาดแม้เพียงหนึ่ง มันก็จะก่อให้เกิดผลกระทบขนาดใหญ่ขยายออกไปเป็นวงกว้าง
ส่วนเทคนิคสนับสนุนชีวิตสายฟ้าเล่ย และไฟฟ้าเดี๋ยน ในช่วงชีวิตก่อนหน้า กู่ฉิงซานไม่เคยเห็นใครใช้มันมาก่อนเลย
บางทีอาจเพราะ มันเป็นสิ่งที่ไม่ได้รับหรือดึงดูดความสนใจจากผู้คนเป็นวงกว้าง
สกิลแบบใดกันที่ไม่เคยมีผู้ใดคิดจะเลือกใช้มันออกมาเลย?
กู่ฉิงซานเงียบไปเล็กน้อย
ติ๊ง!
เสียงของระบบได้ดังขึ้น
“ถึงเวลาแล้ว โปรดทำการเลือก”
“ฉันเลือกเทคนิคสนับสนุนชีวิต” กู่ฉิงซานขบฟันกล่าวตัดสินใจ
ทันทีที่สิ้นเสียงของเขา เส้นบรรทัดตัวอักษรทั้งหมดที่อยู่เบื้องหน้าเขาก็หายวับไปในอากาศที่ว่างเปล่าโดยสมบูรณ์
สรรพเสียงของทั้งสวรรค์และโลกหวนกลับคืนมาอีกครั้ง
มีเพียงเฉพาะเสียงฟ้าร้องในท้องฟ้าเท่านั้นที่หายไปโดยสิ้นเชิงทว่ามันก็ถูกแทนที่ด้วยเสียงหวีดของแมลง เสียงปลาแหวกว่ายลงไปในธารน้ำ เสียงคำรามของร้อยอสูรที่อยู่ในป่าเขา หรือสรรพเสียงอื่นๆ เขากลับสามารถได้ยินมันอย่างชัดเจน
ในที่สุด สันเขาโดยรอบก็พลันกลับคืนมามีชีวิตอีกครั้ง
เขาเงยหน้าขึ้น และจ้องมองสายฟ้าแลบที่ไร้ซึ่งเสียงใดๆ มันสว่างปลาบแปลบอยู่เนิ่นนานบนท้องฟ้า นอกจากตัวมันแล้วทั่วทั้งสวรรค์และโลกต่างก็ไม่มีอื่นใดแตกต่างออกไปเลย
แสงสว่างสลับกับความมืด หมุนเวียนกันเฉิดฉายสลับกันไปมา ผืนดินแผ่ไพศาล ท้องฟ้าเงียบสงบ
ณ เวลานั้นเอง ตรงสุดเส้นขอบฟ้า กู่ฉิงซานก็เห็นว่ามีมังกรอัสนีบินออกมาจากท่ามกลางสายฟ้าแลบ ค่อยๆ โบยบินร่อนลงมาอย่างช้าๆ และตกลงบนร่างของกู่ฉิงซาน
กู่ฉิงซานค่อยๆ ถอนตัวออกจากอาณาจักรอันน่าอัศจรรย์ใจนี้
บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม ปรากฏเส้นแสงบรรทัดหนึ่งขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
“ปลุกพลังศักดิ์สิทธิ์ สายฟ้าเล่ย ไฟฟ้าเดี๋ยน”
“นี่คือพลังที่พระเจ้าใช้เชื่อมต่อสวรรค์และโลก อย่างไรก็ตาม พลังของทัณฑ์ปีศาจก็ยังคงมีผลอยู่ มันจะช่วยให้ผู้เล่นสร้างความเสียหายต่อเผ่ามารเพิ่มขึ้น สามสิบเปอร์เซ็นต์”
“พลังศักดิ์สิทธิ์ขั้นแรก ชิกงสูญสิ้นการควบคุม ได้ถูกเปิดออกแล้ว”
“ชิกง หลังจากที่สิ่งมีชีวิตใดๆ ถูกพลังวิญญาณเล่ยเดี๋ยนของคุณฟาดเข้าใส่ร่างกาย พวกเขาจะสูญเสียการควบคุมร่างกายชั่วขณะเป็นเวลาหนึ่งวินาที”
กู่ฉิงซานชะงักงันไปในทีแรก ก่อนจะเปลี่ยนเป็นมีความสุขอย่างยิ่งยวด
นี่เป็นสกิลสตั๊นท์ที่เหมาะสมและสอดคล้องสำหรับผู้ฝึกดาบที่เน้นพลังทำลายล้างเป็นอย่างมาก ด้วยสกิลชิกงนี้ จะช่วยหนุนเสริมประสิทธิภาพในการใช้ดาบได้มากมายจริงๆ
แม้หนึ่งวินาทีจะเป็นระยะเวลาอันสั้น อย่างไรก็ตามหนึ่งวินาทีก็นับว่าเพียงพอแล้วที่ผู้ฝึกดาบอย่างกู่ฉิงซานจะใช้มันลงมือสังหาร
นอกจากนี้เทคนิคสนับสนุนชีวิตเล่ยเดี๋ยนนั้นเกิดจากพลังศักดิ์สิทธิ์ที่แข็งแกร่ง ดังนั้นกู่ฉิงซานย่อมเชื่ออย่างสุดหัวใจว่าเมื่อพลังศักดิ์สิทธิ์ก้าวขึ้นสู่ขั้นสอง ขั้นสอง พลังของมันจะต้องยิ่งเพิ่มพูนมากขึ้นอย่างแน่นอน
มันจะเป็นการดีกว่าที่จะใช้สกิลดาบเป็นเทคนิคสังหารแทนที่ ‘สายฟ้าคำรนเล่ยถิง’ และใช้เทคนิคสนับสนุนชีวิตเล่ยเดี๋ยนสนับสนุนบางสิ่งที่สกิลดาบทำไม่ได้แทน
ในช่วงเวลานี้เขารู้สึกดีใจมากจริงๆ ที่ได้เลือกเทคนิคการใช้ชีวิตเล่ยเดี๋ยน
เมื่อขบคิดได้ถึงจุดนี้ กู่ฉิงซานก็เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะยื่นฝ่ามือออกไป
ปรากฏกลุ่มแสงไฟฟ้าอันผันผวนขึ้น มันลอยอย่างคงที่อยู่บนฝ่ามือของเขา
กู่ฉิงซานกำแสงไฟฟ้า ก่อนจะชกออกไปยังผนังด้านหนึ่งภายในเตาหลอม
บนผนังด้านในของเตาหลอม พลันปรากฏเส้นสายฟ้าที่แลดูคล้ายกับมังกรแหวกว่ายออกไปในทันทีพร้อมกับส่งเสียงดังเปรี๊ยะๆ
“ดาบข้าจงปรากฏ” เขาตะคอกคำหนึ่ง
ดาบพิภพโผล่ออกมาจากอากาศที่ว่างเปล่าร่วงหล่นลงสู่มือของกู่ฉิงซานอย่างอ่อนโยน
กู่ฉิงซานทำการกระตุ้นพลังวิญญาณและพบว่าพลังวิญญาณในตันเถียนมีคุณสมบัติธาตุเพิ่มเข้าไปแล้ว
มันคือคุณสมบัติธาตุสายฟ้าเล่ยเดี๋ยน
กู่ฉิงซานกระชับดาบและถือมันไว้อย่างเงียบๆ
แสงสลัวจางๆ ค่อยๆ ปรากฏขึ้นบนใบดาบ
ไม่นานนักมันก็สว่างขึ้นจนเปล่งประกายสดใส
ปรากฏเส้นสายฟ้าที่คดเคี้ยวเวียนว่ายอยู่รอบใบดาบอย่างไม่มีที่สิ้นสุด มันดูราวกับสามารถตัดสินเป็นตายของสิ่งมีชีวิตทั้งมวลลงได้ ภายในเตาหลอมอันมืดมิด ปรากฏแสงสว่างปลาบแปลบเป็นเงาสลัวๆ สะท้อนไปมาอย่างแผ่วเบา
ภายนอกเตาหลอม ทุกคนต่างสัมผัสได้ถึงการมาถึงของพลังอันลึกลับนี้
“เอ๋? เหตุใดสายฟ้าจึงปรากฏขึ้น? ศิษย์พี่สามมิใช่ผู้ใช้ธาตุสายฟ้านี่” ซิวซิวงึมงำด้วยความประหลาดใจ
ทว่าดูฉินเซี่ยวโหลวจะสมองไวกว่ามาก เขาเอ่ยกล่าวในทันที “ช่างหาได้ยากยิ่งจริงๆ ทั้งๆ ที่นี่เป็นเพียงแค่การทะลวงขอบเขตใหญ่ครั้งแรกแท้ๆ ทว่าเขากลับถึงขั้นสามารถปลดผนึกพลังวิญญาณธาตุสายฟ้าขึ้นมาได้ หากเป็นในกรณีนี้แล้วล่ะก็ ต่อให้การทะลวงเข้าขอบเขตใหม่ครั้งต่อไป เขาจะล้มเหลวในการปลุกพลังศักดิ์สิทธิ์ มันก็ไม่สำคัญแล้ว”
ห่านขาวเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจบรรเทาความตึงเครียดอย่างโล่งอก
ณ แนวหน้า
“ฮ่าๆ เทคนิคสนับสนุนชีวิต! นั่นมันเทคนิคสนับสนุนชีวิต! ยอดเยี่ยมจริงๆ ในที่สุดก็พิสูจน์ได้แล้วว่าข้านักปราชญ์ไม่ได้มองคนผิดไป!”
ทั้งทั่วค่ายทหารล้วนต่างได้ยินเสียงของนางเซียนไป่ฮั่วที่กำลังระเบิดเสียงหัวเราะออกมา
หลายคนหันมามองหน้ากัน และไม่อาจรับรู้ได้ว่าแท้จริงแล้วมันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่
นักบวชหน้าแดงลังเลชั่วขณะหนึ่งก่อนจะกล่าว “ท่านนักพรต คิดว่านางจะเป็นอะไรไหม?”
“อะไร เจ้ากังวลกระนั้นหรือ?” นักพรตชราถาม
“ในชีวิตนี้ข้าไม่เกรงกลัวอะไรมากมายนักหรอก นอกเสียจากมารสวรรค์ระดับมารนักปราชญ์ที่อาจมีพลังถึงขั้นสามารถกัดกินจิตของนักปราชญ์ได้…” นักบวชเต๋าหน้าแดงกำลังเอ่ยกล่าว
เพื่อฟังถึงจุดนี้ สีหน้าของนักพรตชราก็พลันแปรเปลี่ยนเป็นทะมึนทึบ
เขาลุกขึ้นยืนและกล่าว “หรือพวกเราสมควรต้องมาตรวจดูด้วยกัน”
“ตกลง ไปตรวจด้วยกันย่อมดีกว่า” นักบวชเต๋ากล่าวด้วยความเคารพ
ณ พระราชวังร้อยบุปผา
เมื่อได้รับการยืนยันถึงความสำเร็จของกู่ฉิงซาน ห่านขาวก็เตรียมจากไปทันที เหลือทิ้งไว้เพียงฉินเซี่ยวโหลวและซิวซิว
“ที่นี่ถูกวางเอาไว้ด้วยค่ายกลมากมาย นอกจากนี้ยังมีเม็ดยารักษา อาหารวิญญาณ อีกจำนวนหนึ่ง มันน่าจะเพียงพอสำหรับเจ้าที่จะใช้หลอมรวมขอบเขต”
“พวกเราจะไม่อยู่รบกวนเจ้า แต่จะแวะมาเยี่ยมเยียนอีกครั้งในวันพรุ่ง”
ห่านขาวกล่าวคำเหล่านี้ และโผบินจากไป
กู่ฉิงซานจะได้มีโอกาสที่จะค่อยๆ สัมผัส หลอมรวม และทำความเข้าใจต่อขอบเขตก่อตั้งอย่างช้าๆ
ว่ากันว่าในเวลาดังกล่าวนี้ มันจะเป็นการดีที่สุดที่จะเรียกใช้พลังวิญญาณอย่างเต็มกำลัง เพื่อรักษาเสถียรภาพของพื้นฐานวรยุทธ
อย่างไรก็ตาม กู่ฉิงซานกลับไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้น เขาแทบจะไม่ได้หลบหนีหรือเหยียบย่างเข้าสู่ความตายเลย สภาพจิตใจของเขาจึงสดใสและดีขึ้น นั่นหมายถึงการจะหลอมรวมเข้ากับขอบเขตใหม่โดยสมบูรณ์จึงไม่จำเป็นต้องใช้ระยะเวลาที่เนิ่นนานเกินไป
กู่ฉิงซานจมหายเข้าไปในห้วงความคิด
เดิมที ดูเหมือนว่าลำดับเวลาของช่วงเวลานี้ค่อนข้างจะผันผวน และจริงๆ แล้วมันเกี่ยวข้องโดยตรงกับความเปลี่ยนแปลงของทั้งสองโลก เป็นไปได้ไหมว่าร่างที่ถูกตรึงบนเสายักษ์สีทองแดงก็มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย?
กู่ฉิงซานคิดเกี่ยวกับมันและอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหวั่นเกรงเล็กน้อย
ต้องเป็นการดำรงอยู่ในระดับใดกัน จึงจะสามารถอยู่เคลื่อนผ่านมิติและกระแสเวลาได้ แถมยังสามารถแทรกแซงและลากเขาจากมิติเวลาอื่นเข้าไปยังมิติของตนเองได้อีกด้วย
นอกจากนี้ มันยังมีความสามารถในการตรวจจับขั้นสูง และฉวยโอกาสจากในตอนที่เขากำลังข้ามสู่ขอบเขตใหม่ เพื่อชักนำจิตเทวะของเขากลับมา
สิ่งนี้แทบจะเป็นเรื่องใกล้เคียงกับคำว่าปาฏิหาริย์ อย่างน้อยกู่ฉิงซานที่มีประสบการณ์สองช่วงชีวิตก็ยังไม่เคยพบเห็นตัวตนที่สามารถทำเช่นนั้นได้มาก่อน
อย่างไรก็ตาม การดำรงอยู่ของตัวตนอันน่าสยองขวัญที่กล่าวมานี้ ยังคงถูกตรึงอยู่บนเสาทองแดงยักษ์ และไม่แม้แต่จะสามารถขยับเขยื้อนได้
ทว่าผู้ใดกันเล่าที่เป็นคนตอกตรึงเขา?
แต่อย่างน้อยก็ยังมีสิ่งหนึ่งที่ชัดเจน นั่นก็คือร่างภายใต้เกราะสีดำนั้น จำต้องใช้ความคิดและพลังงานอย่างแรงกล้า ดลจิตสัมผัสเทวะของตนจึงจะสามารถเห็นเขาได้
เห็นได้ชัดว่ามันต้องการความช่วยเหลือจากภายนอก ต้องการให้กระทำบางสิ่งบางอย่าง
และคำสุดท้ายที่มันเอ่ยออกมา ก็ดูเหมือนว่าจะเป็นประโยคที่เอ่ยถึงวิธีการจัดการกับเผ่ามาร
ทว่าช่างน่าเสียดายที่ดันถูกขัดจังหวะเสียก่อน และกู่ฉิงซานก็รู้ดีว่าคงไม่มีทางจะได้พบกับมันอีกครั้งในระยะเวลาอันสั้น
“ธาตุทั้งห้าของทั้งสองโลก? นี่มันหมายความว่าอย่างไรกัน?”
จู่ๆ กู่ฉิงซานก็พลันตระหนักได้ถึงสิ่งหนึ่งขึ้นมาอย่างกะทันหัน
เขามองไปยังหน้าต่างสถานะ และพบว่าช่วงเวลาที่นาฬิกาทรายแต่ละเม็ดของเขาที่กำลังร่วงหล่นนั้นเชื่องช้าลงเป็นอย่างมาก นี่ก็เป็นเวลาเกือบชั่วโมงแล้วที่เขากลับมา ทว่าเม็ดทรายที่ร่วงหล่นกลับมีเพียงแค่ไม่กี่เม็ดเท่านั้น
กระแสของเวลาดูท่าจะเกิดความผันผวนขึ้นจริงๆ
การเปลี่ยนแปลงอันรุนแรงในโลกจริง มีอิทธิพลร้ายแรงต่อการไหลเวียนของกระแสเวลาระหว่างสองโลก
เรื่องประหลาดแบบนี้ ตั้งแต่เกิดมากู่ฉิงซานก็พึ่งเคยได้พบได้เห็น เขาไม่มีทางรู้ได้ว่าจะแก้มันได้อย่างไร
กู่ฉิงซานถอนหายใจ
อย่างไรก็ตาม เกรงว่าในครั้งนี้ เขาคงจะต้องอยู่ในโลกแห่งผู้ฝึกยุทธยาวนานยิ่งกว่าเดิมอย่างแน่นอน
แต่อย่างน้อยกู่ฉิงซานก็นับได้ว่ามีข้อได้เปรียบอย่างหนึ่ง
นั่นก็คือเขาจะได้โยนเรื่องที่ยังไม่จำเป็นต้องเผชิญหน้าอย่างเรื่องราวของในโลกจริงเอาไว้เบื้องหลังชั่วคราว และทำสมองให้โล่งและมุ่งให้ความสนใจกับเรื่องปัญหาในโลกใบนี้ที่ตัวเองต้องแก้
ในตอนนี้ทุกเรื่องราวที่ว้าวุ่นอยู่ในจิตใจได้ถูกตัดสะบั้นทิ้งไป เขาชักดาบพิภพออกมา ก่อนจะเริ่มฝึกฝนมันอย่างจริงจัง
ในเวลานี้ การหลอมรวมเข้ากับขอบเขตใหม่นับว่าเป็นสิ่งจำเป็นที่สุด
การฝึกฝนในครั้งนี้ กินเวลาทั้งวันทั้งคืน
เมื่อแสงวันใหม่ได้สาดส่อง กู่ฉิงซานก็หยุดฝึกฝน และเขานั่งลงพักผ่อนเริ่มต้นทำการควบคุมลมหายใจ
หลังจากนั้นไม่นาน ฉินเซี่ยวโหลวก็เดินถือถังขนาดใหญ่เข้ามา ดูจากฝีก้าวที่เชื่องช้า แสดงให้เห็นว่ามันคงหนักไม่น้อย
“นั่นมันคืออะไรกัน? ถังน้ำยาอาบสมุนไพรอย่างงั้นหรือ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม
“ถังน้ำยาอาบสมุนไพรอะไรกัน นี่คืออาหารเช้าของเจ้า” ฉินเซี่ยวโหลวกล่าว
กู่ฉิงซานรีบโบกไม้โบกมือทันที “ข้ามิอาจกินได้มากมายขนาดนั้น”
มุมปากของฉินเซี่ยวโหลวยกสูงขึ้น เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม “เจ้าจะต้องกินมันจนหมดได้อย่างแน่นอน หากมิเชื่อก็ลองมากินดู”
กู่ฉิงซานเดินเข้าไป ก่อนจะยืดตัวก้มมองลงไปในถัง
ทั้งหมดแลดูเหมือนจะเป็นข้าววิญญาณ ไม่สิ ทั้งหมดนี้คือเม็ดยาขนาดน้อยใหญ่ที่มีรูปทรงเหมือนกันเม็ดข้าวต่างหาก
“วัตถุดิบทั้งหมดนี้เป็นของศิษย์พี่ใหญ่ที่มอบมันให้แก่ข้า และก็นำมันมาปรุงแต่งเพื่อให้ดีที่สุดต่อร่างกายของเจ้า เจ้ากินมันเถอะ ข้าขอตัวก่อน” ฉินเซี่ยวโหลวกล่าว ก่อนจะผินตัวเดินจากไป
ภายในห้องโถง หลงเหลืออยู่แค่เพียงกู่ฉิงซานโดยลำพัง
จมูกของเขาขยับฟุดฟิด
กลิ่นหอมละมุนจริงๆ
นางเซียนไป่ฮั่วมอบวัตถุดิบให้ฉินเซี่ยวโหลวทำ อย่างน้อยมันย่อมไม่เลวร้ายเป็นแน่
เอาเถอะ แม้ว่าดูแล้วจะไม่มีทางกินหมด แต่อันดับแรกคงต้องลองชิมมันก่อน
กู่ฉิงซานยกชามบนโต๊ะ ก่อนจะตักเม็ดยาพูนๆ ขึ้นมาทัพพีหนึ่ง จากนั่นก็เปิดปากกิน
หากเพียงกลิ่นยังหอมละมุนขนาดนี้ ย่อมไม่จำเป็นต้องกล่าวถึงเรื่องรสชาติ
ในขณะที่เขากำลังรับประทาน สายตาของกู่ฉิงซานก็เบนออกไปยังหน้าต่างระบบเทพสงครามที่เด้งขึ้นมา
“ผู้เล่นประสบความสำเร็จขั้นสูงในการทะลวงสู่ขอบเขตก่อตั้ง ขีดจำกัดพลังวิญญาณขยายไปเป็นยี่สิบแต้ม”
“แต้มพลังวิญญาณปัจจุบัน หกร้อยสี่สิบส่วนยี่สิบ”
“พื้นฐานวรยุทธของผู้เล่นถูกยกระดับสูงขึ้น เริ่มทำตรวจเทคนิคดาบที่จะไม่ก่อให้เกิดผลกระทบร้ายแรงต่อร่างกายและจิตเทวะของผู้เล่นจากหน่วยความจำ ผลตรวจที่ได้มีดังต่อไปนี้”
“เทคนิคดาบ สู่สันติ”
“เทคนิคดาบ เมฆาหลาก”
“เทคนิคดาบ สี่ห้วงสมุทร”
“เทคนิคดาบ ห้าวหาญต้านคลื่น”
...
“เทคนิคลับ ตัดจันทรา”
“เนื่องจากผู้เล่นมีความเข้าใจและประสบการณ์อย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับเทคนิคดาบทั้งหมด ดังนั้นจึงทำการลดค่าใช้จ่ายพลังวิญญาณที่ใช้ปลุกเทคนิคดาบลง”
“ปลุกเทคนิคดาบ ต้องจ่ายหน้าแต้มพลังวิญญาณ ปลุกเทคนิคลับต้องจ่ายสิบแต้มพลังวิญญาณ”
เทคนิคดาบรวมกับเทคนิคลับ ทั้งหมดทั้งสิ้นในตอนนี้มีอยู่ทั้งหมดยี่สิบชุด
สายตาที่กวาดผ่านไปยังเทคนิคเหล่านั้นของกู่ฉิงซานดูจะไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย เขาเลือกที่จะปลุกเทคนิคดาบทั้งหมดให้ตื่นขึ้นมา!
........................................