webnovel

0100 เตรียมทะลวงด่าน

ตอนที่ 100 เตรียมทะลวงด่าน

ณ วังหลานเฉา

 กู่ฉิงซานกลับมาปรากฏตัวขึ้นท่ามกลางความมืดมิด

 เขาเดินไปหยิบขวดเม็ดยาฟื้นฟูอย่างเงียบๆ ก่อนจะเปิดฝาและยกมันเข้าปาก

 นี่คือเม็ดยารักษาวิญญาณระดับสูง มันจะช่วยซ่อมแซมความเสียหายและขจัดความเหนื่อยล้าทั้งหมดให้แก่เขา

 หนึ่งชั่วยามต่อมา กู่ฉิงซานก็ตื่นขึ้นจากห้วงลึกของสมาธิ และหลังจากที่กวาดจิตสัมผัสเทวะเข้าไปภายในร่างกาย เขาก็พบว่าสภาวะฟื้นฟูของตนได้มาถึงจุดสูงสุดแล้ว

 ไม่นานเขาก็ล้วงเข้าไปในถุงสัมภาระ ก่อนจะหยิบกระเป๋ารักษาอุณหภูมิที่บรรจุเศษชิ้นส่วนหัวใจของมอนสเตอร์เอกภพออกมา

 เขาเปิดกล่อง ตามด้วยนำชิ้นส่วนสุดท้ายใส่ลงไป 

“ทำการฝัง” กู่ฉิงซานเอ่ยสั่ง 

ทันใดนั้นชิ้นส่วนหัวใจของมอนสเตอร์เอกภพก็ถูกดูดเข้าไปในหน้าต่างระบบเทพสงคราม ก่อนจะตกลงไปยังช่องว่างเดียวที่ยังว่างเปล่าอยู่

ช่องว่างดังกล่าวหายไปอย่างฉับพลัน 

ตลอดทั้งรูเล็ตถูกเติมเต็มและกลายเป็นจุดแสงสว่างจ้า 

แสงค่อยๆ แพร่กระจายออกไปทั่วทั้งวงล้อรูเล็ต 

ตามมาด้วยเส้นแสงหิ่งห้อยเด้งออกมาจากหน้าต่างสถานะ 

“บรรลุเงื่อนไขตามข้อกำหนดได้ล่วงหน้า” 

“ภารกิจ พลังศักดิ์สิทธิ์แห่งเทพสงคราม เสร็จสมบูรณ์” 

“เตรียมทำการสกัดพลังศักดิ์สิทธิ์ พร้อมร้องขอให้ผู้เล่นเตรียมการทะลวงด่าน” 

มาถึงซะที! 

กู่ฉิงซานถอนหายใจโล่งอก 

พลังศักดิ์สิทธิ์จะได้มาก็ต่อเมื่อเกิดการทะลวงขอบเขตใหญ่ ผู้ฝึกยุทธและฟ้าดินจะต้องเป็นหนึ่งเดียวกันก่อนเท่านั้น แม้ว่าตัวเขาจะมีระบบ แต่ก็ยังไม่พ้นต้องทำตามเงื่อนไขนี้ ไม่สามารถขอให้ระบบปลุกพลังขึ้นมาก่อนล่วงหน้าได้ 

สิ่งต่อไปที่จะต้องทำก็คือการทะลวงฝ่าขอบเขตปราณปรับแต่ง มุ่งเข้าสู่ขอบเขตก่อตั้ง! 

เมื่อก้าวเข้าสู่ขอบเขตก่อตั้ง พละกำลังจะเพิ่มพูนขึ้นเป็นอย่างมาก 

และนั่นหมายความว่าเขาจะมีพลังมากขึ้นที่จะใช้ปกป้องตัวเองจากโลกอันโกลาหล 

กู่ฉิงซานพยายามอดทนแล้วอดทนเล่า เพื่อที่จะไม่พยายามทะลวงฝ่าเข้ายังจุดนั้น 

การทะลวงของขอบเขตใหญ่ อาจโชคไม่ดีเกิดความผิดพลาดขึ้นได้เสมอ หากคุณไม่ระมัดระวังตัวให้ดี อาจถูกธาตุไฟเข้าแทรกและวรยุทธทั้งหมดก็จะหายไป 

แม้ว่ากู่ฉิงซานจะเคยมีประสบการณ์ในการทะลวงด่านปราณปรับแต่งไปยังขอบเขตก่อตั้ง  ทว่าเขาก็ยังไม่กล้าดูเบามัน 

ผู้เล่นจำนวนไม่น้อยในชีวิตก่อนหน้า แม้ว่าจะมีระบบคอยช่วยเหลือ แต่พวกเขาก็ยังคงต้องรับความทุกข์ทรมานระหว่างกระบวนการทะลวงฝ่า 

บางคนแม้โชคดีไม่ได้ตายลงภายในปากของมอนสเตอร์ แต่กลับโชคร้ายที่ดันต้องตกตายลงในระหว่างกระบวนทะลวงฝ่า 

เมื่อพื้นฐานวรยุทธยิ่งมาถึงระดับสูงมากเท่าไร การจะทะลวงฝ่าไปยังขอบเขตใหญ่ระดับต่อไปก็ยิ่งยากเย็นและน่าหวาดกลัวมากขึ้นเท่านั้น 

ทว่าตอนนี้ฉันเป็นศิษย์ของนิกายร้อยบุปผาที่ถูกยอมรับโดยท่านนักปราชญ์ เช่นนั้นทำไมไม่รอจนกระทั่งรุ่งสาง แล้วไปร้องขอคำปรึกษาจากนางล่ะ? 

นี่แหละคือหนทางที่ปลอดภัยที่สุด 

นอกจากนี้ บางทีท่านนักปราชญ์อาจจะแสดงวิสัยทัศน์ในการทะลวงด่าน หรือให้คำแนะนำที่จะช่วยเพิ่มอัตราความสำเร็จให้สูงยิ่งขึ้นก็ได้ 

สมองของกู่ฉิงซานขบคิดเรื่องราวทั้งหมด ก่อนจะตัดสินใจ และนั่งลงบนฟูกก่อนจะเริ่มควบคุมลมหายใจอย่างเงียบๆ 

รุ่งอรุณเบิกฟ้า ดวงตะวันเริ่มสาดแสง 

ห่านขาวบินเข้ามาในวังหลานเฉา 

“ศิษย์น้อง โอ้? นี่เจ้าเตรียมที่จะทะลวงด่านแล้วรึ?” 

ห่านขาวกวาดสายตามองกู่ฉิงซานหัวจรดเท้า และค้นพบว่าพลังวิญญาณของเขาอยู่ในสภาวะสมบูรณ์พร้อมและมันได้มาถึงจุดสูงสุดแล้ว ขณะนี้ตัวเขาเปรียบดั่งศรที่ถูกขึงจนตึงบนคันธนู แต่ยังไม่ถูกปล่อยออกไปเสียที 

“ดันเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น เดิมทีตั้งแต่ที่รู้ว่าเจ้าอยู่ในขอบเขตปราณปรับแต่งขั้นเจ็ด ข้าก็ต้องการจะสอนสั่งเจ้าถึงวิธีการทะลวงอยู่แล้ว” ห่านขาวอดไม่ได้ที่จะพยักหน้า 

“ขอบคุณท่านมาก ศิษย์พี่ใหญ่” กู่ฉิงซานกล่าว 

“ไม่จำเป็นต้องสุภาพเกินไป อันดับแรกเจ้าสมควรไปทานอาหารมื้อเช้าก่อน ข้ากับศิษย์พี่สองของเจ้าก็จะไปด้วย ไว้เมื่อไปถึงพวกเราจะให้คำแนะนำแก่เจ้า” ห่านขาวกล่าว ก่อนจะหันหลังกลับ และเดินออกไปทางนอกห้องโถงใหญ่อย่างช้าๆ 

กู่ฉิงซานลุกขึ้นและเดินตามออกไป 

อาหารเช้าถูกจัดเตรียมมาไว้ที่ห้องโถงใหญ่ ภายในพระร้อยวังร้อยบุปผา 

ที่นี่เป็นสถานที่ที่นางเซียนไป่ฮั่วจัดการกับทุกๆ อย่าง แต่ก็ยังเป็นที่ที่มีไว้ให้คนในนิกายร้อยบุปผารับประทานอาหารเช้าเช่นกัน 

“พวกเราจะกินกันที่นี่อย่างงั้นหรือ ท่านอาจารย์จะไม่รำคา…” กู่ฉิงซานถาม 

“ไม่จำเป็นต้องกังวลในเรื่องนั้น ท่านอาจารย์น่ะชอบความมีชีวิตชีวา” ห่านขาวกล่าว 

อาหารเช้าในวันนี้คือ ดอกไม้จิตวิญญาณหิมะ 

ดอกไม้ชนิดนี้มีรสชาติที่หวานหอมและมีประโยชน์เป็นอย่างยิ่งต่อจิตเทวะของผู้ฝึกยุทธ 

ดอกไม้ชนิดนี้ไม่เพียงสามารถนำไปหลอมเป็นเม็ดยา แต่มันยังสามารถนำไปใช้กับอาหารวิญญาณเพื่อถนอมให้มันสามารถอยู่ได้นานขึ้นและยังช่วยเสริมสร้างความทนทานของจิตเทวะของผู้ฝึกยุทธได้อีกด้วย

การจะเสริมความทนทานของจิตเทวะนั้นนับว่าเป็นอะไรที่น่าดึงดูดใจยิ่ง เนื่องเพราะมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะไม่กระทำการใดๆ ให้จิตเทวะไม่ได้รับบาดเจ็บ  

ดอกไม้จิตวิญญาณหิมะ อย่างน้อยสมควรมีมูลค่าราวๆ หนึ่งหมื่นศิลาวิญญาณคุณภาพต่ำ 

แล้วอะไรคือสิ่งที่ หนึ่งหมื่นศิลาวิญญาณคุณภาพต่ำสามารถกระทำได้เล่า? 

มันเป็นจำนวนที่มากพอจะเช่าตึกในย่านที่คึกคัก แถมยังสามารถจ่ายค่าเช่าล่วงหน้าได้ตลอดทั้งปี สามารถใช้มันแลกเปลี่ยนไม่ให้ตนต้องไปอยู่ในแนวหน้า ไม่จำเป็นต้องออกไปสู้รบเข่นฆ่ากับเผ่ามาร และหากใช้มัน ยังสามารถช่วยส่งเสริมฝึกฝนผู้ฝึกยุทธจากขอบเขตปราณปรับแต่งทะลวงไปจนถึงขอบเขตก่อตั้งขั้นกลางได้เลยอีกด้วย 

ทว่าเบื้องหน้าของกู่ฉิงซาน ปรากฏดอกไม้วิญญาณหิมะกว่าห้าดอก กำลังนอนแช่อยู่ 

อาหารเช้ามื้อนี้ มีมูลค่าอย่างน้อย ห้าหมื่นศิลาวิญญาณคุณภาพต่ำ! 

สิ่งนี้ดลใจให้เขาจำต้องหันไปมองถ้วยของคนอื่นๆ 

ในถ้วยของห่านขาวและฉินเซี่ยวโหลวก็เป็นเช่นเดียวกัน ภายในถูกแช่ไว้ด้วย ห้าดอกไม้วิญญาณหิมะ แตกต่างเพียงซิวซิวเท่านั้นที่มีอยู่ในถ้วยถึง เก้าดอก 

เอาล่ะ สรุปสั้นๆ เลยก็คือมื้อเช้ามื้อนี้และเพียงมื้อเดียวมีมูลค่าถึง สองแสนสี่หมื่นศิลาวิญญาณ! 

ตลอดทั้งสองชั่วชีวิตของกู่ฉิงซานที่ขยันขันแข็งและประหยัดอดออม เมื่อเห็นฉากนี้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจอย่างเงียบๆ 

“แล้วท่านอาจารย์ล่ะ?” ฉินเซี่ยวโหลวเอ่ยถาม 

“มีบางอย่างเกิดขึ้นในแนวหน้า มิใช่แค่เพียงท่านอาจารย์ที่มุ่งไปในยามเช้าตรู่ แต่แม้กระทั่งน้อมสวรรค์และนักพรตก็ยังมุ่งไปด้วยเช่นกัน” ซิวซิวกล่าว 

“หา!  ท่านอาจารย์ไม่ได้อยู่ที่นี่?” สองตาของฉินเซี่ยวโหลวเป็นประกายวูบวาบ 

“ลมปากของฉันมันช่างเป็นมงคลจริงๆ เจ้าดอกไม้ห่วยๆ นี่ฉันกินไม่ลงหรอก ปล่อยให้เจ้าห่านนี่กินไปตัวเดียวเถอะ” 

ฉินเซี่ยวโหลวกล่าวพลาง เก็บรวบถ้วยคีบดอกไม้ในถ้วยตน ไปใส่ลงในถ้วยของซิวซิว 

เขาล้วงเข้าไปในถุงสัมภาระ ก่อนจะหยิบเส้นใยเหล็กยาวออกมา 

จากนั้นก็ตามมาด้วยฟืนไม้ 

แล้วก็เครื่องปรุงรส 

สุดท้ายก็เป็นแกะวิญญาณที่ถูกถลกหนังและชำระล้างเป็นที่เรียบร้อยแล้ว 

“มื้อหนักเช่นนี้ตั้งแต่เช้า มันจะไม่ดูเกินไปหน่อยหรือ” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม 

“เจ้า หากไม่คิดจะช่วย ก็ไม่ต้องกิน” ฉินเซี่ยวโหลวก้มหน้าลงและวุ่นอยู่กับการแปลงขนแกะวิญญาณรอบที่สองด้วยความเพ้อฝัน 

กู่ฉิงซานคิดเพียงครู่ ก่อนจะรีบลุกขึ้นไปช่วยอีกฝ่าย 

“การกินอาหารมื้อหนักเช่นนั้นในยามเช้ามันไม่ค่อยดีต่อกระเพาะ” ห่านขาวกล่าว 

“เจ้า หากไม่คิดจะช่วย ก็ไม่ต้องกิน” ฉินเซี่ยวโหลวกล่าวและก้มหน้าทำเช่นเดิม 

ห่านขาวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตีปีกพับๆ และฟืนไม้ก็พลันลุกไหม้ 

ซิวซิวที่กำลังคีบดอกไม้วิญญาณหิมะเข้าปาก เอ่ยอู้อี้ “ข้าขอส่วนขาแกะนะศิษย์พี่สอง” 

ฉินเซี่ยวโหลวขึ้นชื่อว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญทั้งหกศิลป์ แต่หากจะให้เลือกว่าหนึ่งในหกศิลป์ใดที่เขาเชี่ยวชาญมากที่สุด นั่นย่อมต้องเป็นการปรุงอาหารวิญญาณ 

อาหารแต่ละจานที่เขาปรุงแต่งช่างน่าประทับใจยิ่ง เมื่อใดก็ตามที่เขาลงมือปรุงมันด้วยตัวเอง ในฉากนั้นย่อมไม่มีใครยินดีที่จะพลาด 

ครึ่งชั่วยามต่อมา 

สามคนและหนึ่งห่านก็ล้มตัวลงบนพื้นของพระราชวังร้อยบุปผา นอนนิ่งไม่ไหวติง 

‘อิ่มโคตร’ 

“เซี่ยวโหลว ฉินซางต้องการจะทะลวงขอบเขตใหญ่” ห่านขาวกล่าวขึ้นในทันที 

“เอ๋ นั่นก็เป็นเรื่องที่ดีนี่ แต่ตอนนี้ข้าไม่อาจขยับเขยื้อนได้ และคิดว่าเขาก็คงไม่ต่างไปจากข้าเช่นกัน” ฉินเซี่ยวโหลวกล่าวพลางแคะฟัน 

‘จริงสิ วันนี้ฉันจำเป็นต้องทะลวงขอบเขตใหญ่นี่นา แต่ตอนนี้ฉันขยับตัวไม่ไหวแล้ว นี่ฉันจะปล่อยให้การกินมาทำลายเจตนารมณ์ได้อย่างไร?’ กู่ฉิงซานตำหนิตนเองอย่างเงียบๆ 

“อันดับแรกพวกเราสมควรจะหารือกันในเรื่องนี้” ห่านขาวกล่าว 

“เช่นนั้นก็ได้ ขอข้าคิดสักครู่” ฉินเซี่ยวโหลวกล่าวพลางขบคิดอย่างลึกซึ้ง 

ทั้งหมดทำแค่เพียงเฝ้าดู เลือกที่จะไม่รบกวนเขา เฝ้ารอคำตอบอย่างสงบ 

คร่อก.! หลังจากนั้นไม่นาน เสียงกรนก็ดังขึ้น 

ผัวะ! ห่านขาวกระโดดขาคู่เข้าเต็มเบ้าหน้าของฉินเซี่ยวโหลว 

“อ้า!” 

ปรากฏเสียงร้องโหยหวนราวกับผีร้าย 

หลังจากนั้นไม่นาน สามคนหนึ่งห่านก็นั่งล้อมวงกัน 

“การจะทะลวงข้ามขอบเขตใหญ่นับว่าเป็นเรื่องที่อันตรายจริงๆ ข้าคิดว่าจำเป็นต้องใช้ค่ายกลของข้า นอกจากนี้ก็ให้ศิษย์พี่ใหญ่ทำหน้าที่เป็น ‘ธรรมพิทักษ์’ คอยอยู่ข้างกายเจ้าเพื่อรับประกันว่าเจ้าจะไม่ได้รับบาดเจ็บแม้รอยขีดข่วน” 

ใบหน้าของฉินเซี่ยวโหลวบวมเป่งราวกับก้อนขนมปัง ขณะเดียวกันเขาก็เอ่ยปากกล่าวอย่างจริงจัง 

“แล้วสิ่งของที่จะใช้ไปในระหว่างกระบวนการทะลวงขอบเขตล่ะ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม 

“เรื่องนี้เจ้าไม่จำเป็นต้องกังวล ข้าจะเป็นคนไปเตรียมการเอง” ห่านขาวกล่าว ก่อนจะสยายปีกบินออกไป 

“ส่วนข้า จะคอยเป็นกำลังใจให้ศิษย์พี่” ซิวซิวชูกำปั้นเล็กๆ ขึ้น 

“ขอบใจเจ้ามากศิษย์น้องหญิง” กู่ฉิงซานหันไปกล่าวกับซิวซิวด้วยรอยยิ้ม 

การก้าวทะลวงเข้าสู่ขอบเขตใหญ่ นับว่าเป็นเรื่องที่สำคัญมากๆ ทั่วทั้งนิกายร้อยบุปผาต่างก็เคลื่อนไหว 

แม้ว่าแท้จริงแล้วจะมีเพียงแค่สี่คนก็ตามที  

........................................