webnovel

0076 สับสน

ตอนที่ 76 สับสน

“เริ่มทำการปรับรูปแบบโครงสร้างการต่อสู้”

เทพธิดากงเจิ้งเริ่มดำเนินการอย่างรวดเร็ว

“หลังจากที่ทำการคำนวณ ได้ข้อสรุปออกมาว่าอาวุธที่เหมาะสมจะใช้โจมตีมากที่สุดก็คือ ป้อมปราการดวงดาว สงหวูเฮ่า[footnoteRef:1] [1: วีรบุรุษนักสู้]

ป้อมปราการสงหวูเฮ่าจะไม่รับผิดชอบในด้านการสำรวจกาแล็กซี ไม่รับผิดชอบในการคำนวณ วิเคราะห์หาผลลัพธ์ หรือธุรกิจใดๆ ของรัฐบาลกลาง ความรับผิดชอบเพียงหนึ่งเดียวของมันก็คือ

ด้านการต่อสู้

มันคืออาวุธสงครามที่แท้จริง

ณ จุดนี้ ด้วยคำสั่งของเทพธิดากงเจิ้ง ระบบอาวุธบนตัวป้อมปราการสงหวูเฮ่าก็เริ่มที่จะถูกปลุกขึ้นมา

“ป้อมปราการระหว่างดวงดาวสงหวูเฮ่า เริ่มเตรียมการจัมป์”

“ป้อมปราการระหว่างดวงดาวสงหวูเฮ่า ได้มาถึงสถานที่ที่ได้รับมอบหมายแล้ว”

ระบบอาวุธป้อมปราการจะเตรียมการเสร็จสิ้นใน สามสิบวินาที

“ตัวยิงเลเซอร์ เช็กสภาพ...สภาพสมบูรณ์ เตรียมการพร้อมแล้ว”

“ปืนยิงไฟฟ้า เช็กสภาพ... สภาพสมบูรณ์ เตรียมการพร้อมแล้ว”

“ระเบิดสลายเนื้อเยื่อที่ผลิตจากวัสดุนาโน เช็กสภาพ...สภาพสมบูรณ์ เตรียมการพร้อมแล้ว”

“เครื่องกำเนิดระเบิดหลุมดำขนาดเล็ก เช็กสภาพ…สภาพสมบูรณ์ เตรียมการพร้อมแล้ว”

“ระบบอาวุธทั้งหมดเตรียมการเสร็จสมบูรณ์ เริ่มมอบหมายการต่อสู้ด้วยระบบเอไอ ทำการเชื่อมต่อกับตัวเซนเซอร์”

“ทำการปล่อยตัวเกราะรบขับเคลื่อนและเชื่อมต่อเข้ากับเครือข่ายเซนเซอร์ ระบบอาวุธเตรียมการทดสอบด้วยตนเอง เตรียมเริ่มจุดชนวน และเริ่มระบบจำลองตำแหน่งเป้าหมายแบบสามมิติ”

“เตรียม”

“ออกตัวได้!”

สิบสองเกราะรบขับเคลื่อนส่งเสียงคำรามลั่น ก่อนจะบินหายลึกลงไปในมหาสมุทร

พวกเขาวนอยู่รอบๆ ตัวมอนสเตอร์ยักษ์ เพื่อทำการค้นหาตำแหน่งที่จะใช้โจมตีและถ่ายโอนข้อมูลดังกล่าวไปยังตัวเซนเซอร์ในพื้นที่ใกล้เคียง

จากนั้นเครือข่ายเซนเซอร์จะทำการระบุตำแหน่งการโจมตีอย่างแม่นยำของอาวุธหลากหลายชนิด ที่พึ่งเอ่ยออกมาก่อนหน้านี้

นี่คือสิ่งที่เรียกว่าการจู่โจมอย่างแม่นยำในเชิงกายวิภาค 

เกราะรบขับเคลื่อนจะมีหน้าที่รับผิดชอบในการตรวจสอบประสิทธิภาพของการต่อสู้ตลอดทั้งกระบวนการดังกล่าว เพื่อที่จะหาจุดอ่อนของมอนสเตอร์ยักษ์ ว่ามันสมควรได้รับการโจมตีจากอาวุธใดจึงจะส่งผลลัพธ์ได้ดีที่สุด

หากโจมตีด้วยอาวุธธรรมดาทั้งหมดแล้วยังคงล้มเหลว พวกเขาก็จะทำการเก็บรวบรวมซากชิ้นส่วนที่หลุดลอกออกจากมอนสเตอร์ในระหว่างการต่อสู้ และนำกลับไปยังห้องทดลองทางชีวภาพเพื่อถอดรหัสดีเอ็นเอ และทำการปลูกถ่ายอวัยวะ

จากนั้นก็ถึงเวลาสำหรับเหล่ามืออาชีพที่จะถูกส่งตัวออกมา

เหล่ามืออาชีพมักจะมีความสามารถอันแปลกประหลาดและน่าตื่นตาตื่นใจ บางทีอาจมีหลายคนที่มีพลังที่เป็นศัตรูตามธรรมชาติของเจ้ามอนสเตอร์ยักษ์ตัวนี้อยู่ก็เป็นได้ เพียงแต่พวกเขายังไม่รู้ตัวก็เท่านั้น

และทันทีที่เห็นว่าเหล่ามืออาชีพสามารถรุกคืบมันได้แม้เพียงเล็กน้อย เทพธิดากงเจิ้งก็จะรวบรวมข้อมูลทันที จากนั้นก็เริ่มทำการคำนวณกลยุทธ์ที่จะใช้คว้าชัยชนะ

เช่นเดียวกันกับในโลกก่อนหน้า ก็เป็นเทพธิดากงเจิ้งอีกเช่นกัน ที่ค้นพบเป็นคนแรกว่า มีเพียงเหล่ามืออาชีพเท่านั้นที่สามารถต่อสู้ต้านทานกับมวลมอนสเตอร์ได้

“อนิจจา โชคดีจริงๆ ที่มีเทพธิดากงเจิ้งอยู่ มิฉะนั้นมนุษย์เราก็ไม่รู้ว่าจะต้องจ่ายออกไปมากมายขนาดไหนจึงจะค้นพบความจริงในข้อนี้ได้” กู่ฉิงซานพึมพำ

ในเวลาเดียวกัน ณ ส่วนลึกของป้อมปราการเฉินเตี้ยนเฮ่า บนจอม่านแสงขนาดยักษ์ ก็ปรากฏรูปภาพอันหลากหลายขึ้นอย่างช้าๆ และชัดๆ

มันคือภาพประวัติศาสตร์บางส่วนของรัฐบาลกลางที่มีชื่อเสียงและตัวตนบางคนในประวัติศาสตร์

นอกจากนี้ยังปรากฏภาพนักวิทยาศาสตร์ที่มีส่วนร่วมในเทคโนโลยีจัมป์ระหว่างดวงดาว ทว่ากลับเสียชีวิตลงอย่างไม่คาดคิด

จนกระทั่งในท้ายที่สุด ก็หลงเหลืออยู่เพียงแค่สามภาพ

ภาพแรก คือภาพของกู่ฉิงซานและเทพธิดากงเจิ้งที่ร่วมกันสร้างเพลิงนางฟ้า ร่วมกันแก้ไขหลายสิบปัญหาต่างๆ สูตรต่างๆ นำไปสู่การก่อกำเนิดโครงสร้างชีวิต

ภาพที่สอง เป็นภาพของรัฐบาลกลางที่กำลังทำการต่อสู้ทางทะเลอย่างเต็มกำลัง หุ่นรบขับเคลื่อนเสียสละอย่างวีรบุรุษ คิ้วของประธานาธิบดียับย่น ใบหน้าที่แสดงออกมาทำให้ดูราวกับเขาแก่ตัวลงมากกว่าเดิมเป็นสิบปี

ภาพที่สาม คือภาพของจ้าวมณฑลทั้งเก้าที่มารวมตัวกันและพูดคุยเกี่ยวกับผลการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ของเกราะรบ ขณะที่ประเทศกำลังเข้าสู่สภาวะสงคราม แต่พวกเขากลับคิดถึงแต่การผลประโยชน์จากแหล่งใหม่

ชายเคราน้อยยกมือขึ้นลูบเคราของเขาและกล่าว “เหมือนกับเจ้านักวิทยาศาสตร์ผู้แสนปากแข็งและหยาบคายนั่นคิดทำตัวเป็นปรปักษ์กับชนชั้นสูง เป็นตัวอันตรายพวกเราจึงไม่สมควรเก็บมันเอาไว้”

“ใช่แล้ว เจ้านักวิทยาศาสตร์นั่น เป็นคนที่อันตรายจริงๆ” ชายชราอีกคนกล่าวด้วยเสียงกึกก้อง

ในประวัติศาสตร์ของรัฐบาลกลาง เก้าตระกูลใหญ่นั้นมีประสบการณ์ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากมาย แต่พวกเขากลับหวาดกลัวนักวิทยาศาสตร์ที่คิดค้นเทคโนโลยีจัมป์อย่างแท้จริง

นักวิทยาศาสตร์ผู้คิดค้นเทคโนโลยีจัมป์ระยะสั้น ข่มขู่ว่าจะทำการส่งระเบิดกลายพันธุ์ขึ้นไปบนชั้นอากาศ และกล่าวว่าเขาจะทำลายล้างทั้งรัฐบาลกลางหากไม่ให้เขาได้กลายเป็นจ้าวมณฑลคนที่สิบ

หลังจากที่เทพธิดากงเจิ้งได้แก้ไขวิกฤติลงได้ในที่สุดแล้ว นักวิทยาศาสตร์ก็ต้องจบชีวิตลงด้วยการถูกลอบสังหารที่ตามกลยุทธ์ที่ถูกวางมาอย่างรอบคอบ

อย่างไรก็ตามก่อนตาย เขาได้เอ่ยประโยคหนึ่งออกมา ซึ่งมันส่งผลให้จ้าวมณฑลทั้งเก้าถึงกับสัมผัสได้ถึงความเย็นยะเยือกในชั้นอากาศ

“เมื่อมันเข้ามาใกล้โลกของเราเมื่อไหร่ ฉันขอสาบานเลยว่ารัฐบาลกลางจะต้องชดใช้เป็นสิ่งแรก”

มันเป็นเพียงประโยคสั้นๆ แต่ด้วยความสามารถที่ถึงกับสร้างเทคโนโลยีจัมป์ได้ จึงไม่มีใครสามารถรับประกันได้ว่า แท้จริงแล้วเจ้านักวิทยาศาสตร์บ้านี่ได้เตรียมการอะไรไว้กันแน่

ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ไม่ว่าจะนั่ง ยืน หรือหายใจ เหล่าผู้ปกครองอยู่เบื้องหลังก็มักจะเกิดความหวาดระแวงอยู่ตลอดเวลา ยามเมื่อเกิดการก้าวหน้าทางเทคโนโลยีขึ้น… 

ลึกเข้าไปในป้อมปราการเฉินเตี้ยนเฮ่า ภาพทั้งสามค่อยๆ จางหายไปอย่างช้าๆ

แสงบนจอเริ่มหรี่ลง บ้างช้า บ้างเร็ว สลับกันไปราวกับธารน้ำไหล ไหวผ่านจอไปอย่างต่อเนื่อง

ทันใดนั้นก็ปรากฏตัวอักษรไม่กี่ตัวขึ้นบนจอม่านแสงขนาดยักษ์

ตัวอักษรที่ร้อยเรียงเป็นประโยคดังกล่าวนี้ ไม่ว่าจะเป็นตัวตนระดับสูงอย่างกู่ฉิงซานที่อยู่บนเฉินเตี้ยนเฮ่าก็ยังไม่อาจล่วงรู้ จ้าวมณฑลทั้งเก้าในคฤหาสน์ลับก็ไม่ล่วงรู้ แม้กระทั่งประธานาธิบดีก็ยังไม่อาจล่วงรู้ได้เช่นกัน กล่าวได้เลยว่าทั่วทั้งโลกไม่อาจล่วงรู้ถึงมันได้

ประโยคนี้ ได้บอกเล่าเรื่องราวอันช็อกโลก แต่หลังจากที่มันกำเนิดขึ้นมาเกือบแค่เสี้ยววินาที มันก็ถูกลบล้างออกไปอย่างเงียบๆ โดยเทพธิดากงเจิ้ง เนื่องเพราะมันเป็นสิ่งที่ไม่สมควรจะเกิดขึ้นมากที่สุดสำหรับระบบปฏิบัติการที่ทันสมัย มั่นคง และเที่ยงตรงที่สุดในโลก

ประโยคเหล่านี้ร้อยเรียงด้วยตัวอักษรจีนเพียงสี่ตัวเท่านั้น

“ฉันสับสนจัง” 

กู่ฉิงซานเรียกดูเนื้อหาบนจอม่านแสงอีกครั้งและหลังจากยืนยันว่ามันถูกต้องเขาก็พยักหน้า

“เทคโนโลยีนี้ หลังจากที่คุณได้ดูมัน จงทำลายมันเสีย” เขากล่าว

“มันจะต้องถูกทำลายลงอย่างแน่นอน ใต้เท้าผู้ทรงเกียรติกู่ฉิงซานโปรดมั่นใจ ว่าจะไม่มีสิ่งมีชีวิตตนที่สองจะได้เห็นแก่นแท้ของเทคโนโลยีนี้” น้ำเสียงของเทพธิดากงเจิ้งเอ่ยตอบอย่างสงบ

ในหัวใจของกู่ฉิงซานมัวแต่คิดถึงเรื่องอื่นๆ จนไม่ทันสังเกตเลยว่าถ้อยคำแถลงเมื่อครู่ของเทพธิดากงเจิ้งมีบางอย่างที่ผิดแปลกไป

“อ้อจริงสิ สมองควอนตัมของฉันดูเหมือนจะมีปัญหาน่ะ ฉันอยากให้คุณช่วยดูหน่อย มันเป็นในส่วนของแต้มบุญที่มากจนผิดปกติน่ะ” กู่ฉิงซานพลันฉึกคิดถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ จึงเอ่ยปากออกมาอย่างรวดเร็ว

เสียงของเทพธิดากงเจิ้งกล่าวตอบ “ใต้เท้าผู้ทรงเกียรติกู่ฉิงซาน จำนวนแต้มบุญรายบุคคลของคุณคือ 799873957281439 แต้มนับว่าถูกต้องแล้ว”

“อะไรนะ? มันไม่ใช่เพราะสมองควอนตัมของฉันมีปัญหาอย่างงั้นเหรอ แล้วแต้มบุญจำนวนมากมายเหล่านี้มันมาได้ยังไง?” กู่ฉิงซานเอ่ยออกไปอย่างไม่เจตนา

“ตามความสำเร็จของโครงงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่สำคัญทั้งยี่สิบเอ็ดข้อ ทำให้ได้รับแต้มบุญส่วนบุคคลของกู่ฉิงซานรวมกันเป็น 799873957281439 แต้ม”

“ปรากฏว่าเป็นเช่นนี้” กู่ฉิงซานจ้องมองมันสองสามวินาที และในที่สุดก็ตอบสนอง

ณ สหพันธรัฐ รัฐบาลกลาง

ภายในวิทยาเขตของมหาวิทยาลัยเมืองหลวง

วิทยาเขตโดยรอบว่างเปล่าไม่อาจมองเห็นผู้คนได้แม้แต่เงา

เมื่อใดก็ตามที่มีใครบางคนต้องการที่จะเข้ามาใกล้บริเวณแห่งนี้ สมองพวกเขาจะว่างเปล่าทันที และไม่อาจก้าวเข้ามาต่อได้แม้เพียงครึ่งก้าว และจำต้องจากไปอย่างช่วยไม่ได้

“คุณเป็นใครกัน?” ซูเซี่ยเอ๋อจ้องมองไปยังอีกฝ่าย เอ่ยถามอย่างระแวดระวัง

ไม่น่าแปลกใจเลยที่เธอจะระมัดระวังตัว ก็เพราะคนที่อยู่ตรงกันข้ามนี่มันน่าสงสัยเกินไปน่ะสิ!

ทั่วทั้งใบหน้าถูกปกคลุมด้วยผงสีขาว ริมฝีปากถูกทาด้วยสีแดงดูคล้ายกับกำลังยิ้มกว้าง บริเวณใต้ดวงตาได้ถูกวาดด้วยดวงดาวสองดวงสีเหลือง

กายแต่งกายเช่นนี้ ดูราวกับว่าเขากำลังแสดงเป็นตัวตลกในคณะละครสัตว์

ในมือของตัวตลกนับว่าดูแปลกตาที่สุด เพราะเขากำลังถือไวโอลินที่ดูสง่างามอยู่

ตรงกันข้ามกับตัวตลก ซูเซี่ยเอ๋ออยู่ในชุดสีขาวบริสุทธิ์ วันนี้ผมยาวสลวยของเธอถูกรวบไว้เป็นหางม้า สวมใส่คู่รองเท้าผ้าใบ ทั้งเนื้อทั้งตัวของเธอดูสดใสและงดงาม 

ไม่มีใครสักคนอยู่แถวๆ นี้เลย นอกจากตัวตลกกับเด็กสาวที่ยืนอยู่บนถนนนอกตึกเรียน ทำให้องค์ประกอบในฉากนี้ดูจะแปลกประหลาดไปเสียหน่อย

ตัวตลกโค้งคำนับพอเป็นพิธีและเอ่ยปาก “ขออภัยด้วยนะ คุณซูเซี่ยเอ๋อที่เคารพ แต่ตอนนี้ฉันตื่นเต้นมากเกินไปหน่อย โปรดอนุญาตให้ฉันทำใจให้สงบลงก่อนสักเล็กน้อย”

“ตื่นเต้นงั้นเหรอ? คุณตื่นเต้นเรื่องอะไร?” ซูเซี่ยเอ๋อถามแปลกๆ

“ก็คุณช่างงดงาม และเต็มไปด้วยกลิ่นอายของความเยาว์วัย”

ตัวตลกฉีกยิ้มและบิดตัวไปมาอย่างเขินอาย

“พอคิดว่าฉันจะได้กะซวกไส้ของเด็กสาวชั้นสูงเช่นคุณ ฉันก็รู้สึกตื่นเต้นจนสั่นสะท้านไปทั้งร่าง!

........................................