webnovel

0056 ความจริงอันโหดร้าย

ตอนที่ 56 ความจริงอันโหดร้าย

สองคน สองคู่ฝีเท้าวิ่งทะยานอย่างสุดกำลัง พวกเขาไม่มุ่งเน้นเข่นฆ่าเผ่ามารที่ขวางหน้าอีกต่อไป ตราบใดที่สามารถทำให้พวกมันหลีกทางให้ก็เพียงพอแล้ว

ยี่สิบเมตร!

สิบเมตร!

ห้าเมตร!

‘ซุ่ม!’

ทั้งสองกระโจนเข้าไปในถ้ำ กู่ฉิงซานรีบลุกขึ้นก่อนจะเตะมารทองคำตัวหนึ่งที่กระโจนเข้ามาออกจากปากถ้ำ

มารทองคำลอยเคว้งกลางอากาศ กู่ฉิงซานหยิบเม็ดปราณกระเรียนแดงเม็ดสุดท้ายเข้าปาก ก่อนจะคว้าจับดิส์ค่ายกลที่สะพายอยู่ข้างหลัง

“ลม ไม้ แสงสว่าง ความมืด น้ำ สิ่งมีชีวิตทั้งมวลล้วนเป็นเพียงภาพลวง”

เปิดใช้งานค่ายกลลวงตา!

“ลม ไฟ สายฟ้า น้ำ สวรรค์และโลก รวบรวมวิญญาณ!”

เปิดใช้งานค่ายกลรวบรวมวิญญาณ!

“จิตวิญญาณของผืนโลก ผืนน้ำ ไม้ ทอง หมอกทึบ”

เปิดใช้งานค่ายกลหมอกวงกต!

“จงขับไล่มารร้าย ไสส่งมวลอสูร”

‘ค่ายกลภูผา!’

ณ เวลานี้ ค่ายกลทั้งหมดที่บรรจุอยู่ในดิสก์ค่ายกลที่ได้รับมาจากกงซุนซี ทั้งหมดล้วนถูกใช้ออกเพื่อป้องกัน

มารทองคำที่ถูกเตะออกไปร่วงลงบนพื้นดิน ม้วนกลิ้งสองตลบก่อนจะลุกขึ้น เชิดหน้ากรีดร้องด้วยความโกรธ ทว่าเมื่อมันเหลียวกลับไปในถ้ำ กลับพบเห็นแค่เพียงความว่างเปล่า

ภายในถ้ำ ปรากฏหมอกจางๆ ลอยขึ้น และส่งกลิ่นอันคลุมเครือน่ารังเกียจออกมา

จากนั้นปากถ้ำก็เลือนหายไป

ด้วยมันสมองของมารทองคำ แม้มันจะไม่อาจขบคิดถึงเรื่องนี้ได้ ทว่าด้วยความรู้สึกตามธรรมชาติของมันบ่งบอกว่าสถานที่เบื้องหน้าทำให้มันรู้สึกขยะแขยง

มารทองคำงึมงำอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนมันจะส่ายศีรษะและคลานจากไป

ทันทีหลังจากนั้น เผ่ามารหลายร้อยหลายพันตนก็ค้นพบว่าพวกมันไม่อาจพบ หรือตามร่องรอยของเหยื่อได้อีกต่อไป

แปลกจัง แล้วเจ้าสองชิ้นเนื้อนั่นมันหายไปไหนแล้วล่ะ?

ใครกัน! ใครเป็นคนขโมยเนื้อสดๆ พวกมันไป!?

เผ่ามารเฝ้าสังเกตกันและกัน ทว่ามันกลับไม่พบกลิ่นละมุนอันหอมหวานของรสชาติเนื้อมนุษย์ในปากของมารตนใดเลย

เผ่ามารตนแล้วตนเล่าเริ่มกระโจนเข้าห้ำหั่นกันเอง ฉีกทึ้งอีกฝ่ายด้วยความโกรธที่คุกรุ่นอยู่ในจิตใจ

ผ่านไปเนิ่นนาน แม้จะไม่เต็มใจแต่พวกมันก็ค่อยๆ แยกย้าย สลายตัวออกไป

ทั้งหมดค่อยๆ ขยับออกห่างจากปากถ้ำไป

ทางฝั่งกู่ฉิงซาน หลังจากเสร็จสิ้นกระบวนการทั้งหมดนี้ เขาก็วางดิสก์ค่ายกลลงบนพื้น ปากอ้ากว้างสูดหายใจ และกล่าว “พลังวิญญาณของฉันมีขีดจำกัด ค่ายกลพวกนี้ไม่อาจทนอยู่ได้นาน พวกเราจะต้องรีบมุ่งหน้าไปเปิด ‘ค่ายกลสื่อสาร’ โดยเร็วที่สุด!”

ตลอดเส้นทางที่ต้องต่อสู้ห้ำหั่นถึงขั้นนองเลือด และใช้ออกด้วยเทคนิคลับ แถมยังตามด้วยชุดค่ายกลจำนวนมาก กู่ฉิงซานขณะนี้เปรียบดั่งตะเกียงไฟที่น้ำมันใกล้เหือดแห้งแล้ว

เขาแทบจะไม่สามารถแม้แต่จะยกแขน

โชคยังดีที่มีเม็ดยาปราณกระเรียนแดงเม็ดสุดท้ายคอยหนุนเสริม มิฉะนั้นทรวงอกเขาคงฉีกทะลุลากยาวไปจนถึงท้องน้อยแล้ว

เฝ้ามองไปยังกู่ฉิงซานที่เหน็ดเหนื่อยแทบขาดใจ เหลิงเทียนสิงจึงคิดว่าตนหูฝาดไป ก่อนจะริเริ่มใช้ความคิด และลุกขึ้นวิ่งหายลึกเข้าไปในถ้ำ

ลึกเข้าไปบนผนังถ้ำ ปรากฏค่ายกลที่สูงกว่าสามเมตรลงสลักเอาไว้

ค่ายกลนี้ถูกออกแบบมาเป็นพิเศษเพื่อใช้สอดแนมเผ่ามารในพื้นที่บริเวณใกล้เคียงค่ายกล และยังมีอีกค่ายกลหนึ่งอยู่บนพื้น ค่ายกลนี้มันถูกเรียกว่า ‘ค่ายกลเคลื่อนย้ายระยะไกล’

สองค่ายกลนี้แสดงถึงความสำเร็จขั้นสูงสุดในด้านค่ายกลของมนุษยชาติ

เหลิงเทียนสิงกระโจนขึ้นไป ก่อนจะหยิบศิลาวิญญาณหลายก้อนออกมาและยัดมันลงไปในค่ายกล

‘บุซ!’

ค่ายกลเคลื่อนย้ายระยะไกลเริ่มทำงานอย่างช้าๆ

เหลิงเทียนสิงเฝ้ามองค่ายกลเคลื่อนย้ายระยะไกล ทันใดนั้นสีหน้าของเขาก็พลันแปรเปลี่ยนไป น้ำเสียงที่ค่อยๆเอ่ยค่อยแผ่วเบาลงจนแทบจับใจไม่ได้ “เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร… ”

ถึงไม่ได้เห็น แต่เพียงแค่ได้ยินหัวใจของกู่ฉิงซานจู่ๆ ก็พลันรู้สึกจุกแน่น

ในเวลานี้ไม่สมควรมีอุบัติเหตุใดๆ เกิดขึ้น แม้ว่าเขาจะยังมีค่ายกลเชื่อมสวรรค์พอเหลืออยู่ แต่กลับไม่มีพลังวิญญาณมากพอที่จะใช้มัน

เขายันตัวลุกขึ้นด้วยแรงทั้งหมดที่มีและเอ่ยถาม “เกิดอะไรขึ้น?”

เหลิงเทียนสิงกล่าวอย่างตะลึงงัน “ ‘ค่ายกลเคลื่อนย้ายระยะไกล’ยังไม่สมบูรณ์ พวกเราไม่สามารถถูกส่งกลับไปได้”

ในเวลานั้น เหลิงเทียนเอ่ยด้วยน้ำเสียงท้อแท้

หลังจากที่ฝ่าผ่านความทุกข์และความยากลำบากมามากมาย บุกบั่นมาจนถึงที่นี่ เสี่ยงชีวิตมุ่งมาด้วยความหวังสุดท้ายก็กลับกลายเป็นสิ้นหวัง

กู่ฉิงซานไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะล้วงบอลเหล็กออกมาจากแขนแล้วกล่าว “มันยังไม่สมบูรณ์เพราะเจ้าสิ่งนี้ใช่หรือไม่?”

ประกายวาบสาดผ่านดวงตาของเหลิงเทียนสิง เขาเอ่ย “นี่มันผนึกรูนลับที่ถูกสร้างขึ้นมาเป็นพิเศษ! ยอดเยี่ยม! ทีนี้คุณกับฉันคงรอดแล้ว”

“ผนึกรูนลับที่ถูกสร้างขึ้นมาเป็นพิเศษ?”

กู่ฉิงซานเอ่ยทวนซ้ำ

“ช้าก่อน” เขาค่อยๆ เงยหน้าขึ้นอย่างช้าๆ และมองไปยังเหลิงเทียนสิง “เมื่อกี้นายว่าเจ้าสิ่งนี้คืออะไรนะ?”

“นี่คือค่ายกลที่นายพลกงซุนติดตั้งขึ้น” เหลิงเทียนสิงกล่าวด้วยความสุข “ด้วยสิ่งนี้ มันจะสามารถเปิดใช้งาน ‘ค่ายกลเคลื่อนย้ายระยะไกล’ ได้และคุณกับฉันก็จะถูกส่งตัวออกจากที่นี่”

“นี่มันไม่ใช่ตราแห่งศรัทธาหรอกหรือ? มันไม่ได้มีไว้ใช้เรียกกำลังเสริม?”

กู่ฉิงซานตรงเข้าไปคว้าคอเสื้อเหลิงเทียนสิงและตะคอกถามเสียงสนั่น

“ตราแห่งศรัทธา? เจ้าสิ่งนี้จะเป็นตราแห่งศรัทธาไปได้อย่างไร”

เหลิงเทียนสิงจ้องมองกู่ฉิงซานด้วยแววตาพิกล

กู่ฉิงซานคลายมือออกจากคอเสื้ออีกฝ่าย ก่อนจะเดินเซถอยหลังไปหลายก้าว และในที่สุดก็ล้มลงกับพื้น

ใบหน้าของเขาซีดจนเป็นสีเทา หัวใจของเขาค่อยๆ ร่วงลงสู่หุบเหวลึก

ปรากฏว่าที่แท้กงซุนซีก็คิดจะตายอยู่แล้ว

กงซุนซีมอบสิ่งนี้ให้กับเขา เพื่อที่จะให้เขาหนีรอดออกไปจากที่นี่เพียงลำพัง

กำปั้นของกู่ฉิงซานเกร็งแน่น เขาเหวี่ยงหมัดกระแทกเข้ากับผนังถ้ำ จนเศษหินแตกกระจาย

กงซุนซี! คุณไม่เข้าใจ! มันจะมีประโยชน์อะไรหากฉันต้องหลบหนีไปคนเดียว!

บัดซบ!

ทำไมฉันถึงไม่รู้ตัวให้เร็วกว่านี้นะ!

ตัวตนของกู่ฉิงซานไม่ได้มีอะไรมากไปกว่ากองพันทหารม้าแนวหน้า เขาไม่อาจจะส่งข้อมูลที่ได้รับรู้มาไปถึงเบื้องบนได้

ในโลกใบนี้ หากไร้ซึ่งพื้นฐานวรยุทธอันสูงส่ง และไร้ซึ่งสถานะใดๆ ย่อมไม่มีใครเชื่อคำกล่าวของเขาอย่างแน่นอน

นี่ยังไม่ได้กล่าวถึงพวกมนุษยชาติระดับสูงที่เป็นสายลับคนทรยศอีก บางทีหากเขาถูกจับตัวได้โดยสายลับคนนั้นเสียก่อนล่ะ? นี่มันไม่ใช่เหมือนกับเป็นการตัดเส้นทางของเขาหรอกหรือ

หรือว่าสมควรจะไปตามหานักปราชญ์?

ไม่! นั่นไม่มีทางได้ผล

แม้กระทั่งตัวตนอย่างกงซุนซีหรือหนิงเยว่ฉาน นิกายเบื้องหลังของพวกเขาถึงขั้นต้องจ่ายออกด้วยเงินเก็บถึงสามร้อยปี จึงจะแลกยันต์สื่อสารนักปราชญ์มาได้

กู่ฉิงซานหากเปรียบเทียบกับกงซุนซี เขาก็คงเป็นเพียงแค่ฝุ่นผง

อย่าว่าแต่จะได้พบกับนักปราชญ์ตัวเป็นๆ เลย แม้กระทั่งได้รับยันต์สื่อสารจากนักบุญ เขาคงไม่อาจเอื้อมสัมผัสแม้เพียงปลายนิ้วได้ด้วยซ้ำ

ฉันควรทำอย่างไรดี ควรทำอย่างไรดี

หากเวลาล่วงเลยไปถึงครึ่งวัน กงซุนซีก็จะตกตาย!

“นี่คุณเป็นอะไรรึเปล่า?” เหลิงเทียนสิงเห็นสีหน้าไม่สู้ดีของอีกฝ่าย เขาก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม

“ทำไมนายถึงไม่บอกก่อน”

กู่ฉิงซานตบแก้มของตนและฝืนบังคับให้ตัวเองสงบลง

นึกให้ออกสิ นึกให้ออก มันจะต้องมีสักวิธีที่จะสามารถช่วยชีวิตกงซุนซีและหนิงเยว่ฉานได้?

เขาค่อยๆขบคิดเกี่ยวกับมันทีละนิดๆ

หากมองหาคนจากนิกายของพวกเขามาช่วยเล่า? ไม่ แบบนั้นก็ยังไม่ได้

สายลับคนทรยศจะต้องคอยเฝ้าจับตามองสองนิกายใหญ่อย่างไม่วางตาเป็นแน่

“นายพลกงซุนบอกอะไรคุณบ้าง?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

เหลิงเทียนสิงมองไปยังอีกฝ่ายที่มีสีหน้าตึงเครียดจึงเอ่ยปากบอกอย่างจริงจัง “หากเขาไม่ได้กลับมา ให้พวกเราย้อนกลับไปยังโลกเดิม จากนั้นก็ซ่อนตัวและเฝ้ารอให้คนทรยศเปิดเผยตัวขึ้นอีกครั้ง”

กู่ฉิงซานถอนหายใจ

น่าเสียดาย!

เดิมทีเหลิงเทียนสิงคิดจะเฝ้ารอการกลับมาของนายพลกงซุน เพื่อที่จะเปิดเผยโฉมหน้าของคนทรยศอีกครั้ง

ในสถานการณ์ปัจจุบันนี้ แม้ว่าพวกเขาจะหลบเลี่ยงการเฝ้าจับตาของคนทรยศได้ และรีบมุ่งตรงไปยังนิกาย คนของนิกายก็ย่อมต้องสงสัยแน่

มันต้องใช้ความพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะพิสูจน์ตัวตน และเกรงว่าเช่นนั้นมันคงจะสายเกินไป

นอกจากนี้ ยังไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องเวลา ต่อให้สามารถเรียกนิกายใหญ่ที่หนุนหลังทั้งสองมาได้จริง ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะช่วยกงซุนซีกับหนิงเยว่ฉานได้สำเร็จ

เพราะในระยะเวลาอันสั้นนี้ อีกไม่นานมารผู้ยิ่งใหญ่ทั้งห้าก็จะปรากฏตัวตามมา

มีทั้งรามสูรไร้พักตร์ ห้ามารผู้ยิ่งใหญ่

และกองทัพมารเคลื่อนพิภพที่กลับมาสมทบในแนวหน้าอีก

ด้วยกองทัพมารเคลื่อนพิภพ ที่มีความสามารถในการยับยั้งค่ายกล เมื่อเวลานั้นมาถึง กงซุนซีและหนิงเยว่ฉานก็จะยิ่งตกอยู่ในสถานการณ์ล่อแหลมมากขึ้น

นี่มันสถานการณ์สิ้นหวังโดยแท้จริง

ยังมีทางเลือกอื่นหลงเหลืออยู่อีกไหม?

กู่ฉิงซานกัดฟัน หลังจากขบคิดครู่หนึ่ง แสงสว่างวาบก็พาดผ่านเข้ามาในจิตใจของเขา

เป็นเวลาเนิ่นนาน สองตาค่อยๆหุบลง สูดหายใจลึก

‘ไตรภาคี’

มีเพียงแค่ต้องให้ไตรภาคีลงมือเท่านั้น จึงจะมาช่วยเหลือได้ทันเวลา และทรงพลังเพียงพอที่จะช่วยเหลือทั้งสองได้

คำถามก็คือเรื่องการเคลื่อนย้าย เขาจะสามารถถูกส่งกลับมาที่จุดเดิมได้หรือไม่

ไตรภาคีคือกำลังรบสูงสุดแห่งมวลมนุษยชาติ ที่ตามปกติแล้ว แม้กระทั่งนิกายใหญ่ๆก็ไม่มีโอกาสได้พบเจอกับพวกเขาได้บ่อยครั้ง ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ ไม่ต้องกล่าวถึงกู่ฉิงซานที่เป็นเพียงแค่ทหารเดนตายจากแนวหน้า

กู่ฉิงซานส่ายหัว เวลานี้เขาแทบจะหมดหวังแล้ว

………………………………….