webnovel

0054 ฝ่าวงล้อม

ตอนที่ 54 ฝ่าวงล้อม

สำเร็จ!

กู่ฉิงซานและเหลิงเทียนสิงรู้สึกโล่งอก

ทว่ายามเมื่อมือของเหลิงเทียนสิงจับลูกตา ความเฉยเมยบนใบหน้าของเขาก็เกิดแปรเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว

เพียงแค่ถือลูกตา แต่มือของเหลิงเทียนสิงกลับถูกปกคลุมไปด้วยเมือกเน่าเหม็น

เขาโยนลูกตาไปทางกู่ฉิงซาน ก่อนจะหยิบผ้าเช็ดมือขึ้นมาราวสายฟ้าฟาด และทำการเช็ดๆ ขัดๆ มัน พร้อมทั้งเช็ดออกด้วยเทคนิคมนตราน้ำ ล้างทั้งสองมือจนสะอาด

เหม็นจริงๆ เหม็นสุดขั้วจนแม้กระทั่งเหลิงเทียนสิงแทบทนไม่ไหว

ตัวเขานั้นเกิดมาในตระกูลชั้นสูง เปรียบดั่งหงส์สาและมังกรในหมู่มวลมนุษย์ ได้รับโภชนาที่ดีที่สุด แม้กระทั่งการได้เข้าร่วมนิกาย เขาก็ยังเข้าร่วมกับนิกายที่เป็นหนึ่งไม่มีสอง ดังนั้นไม่ต้องกล่าวถึงการได้สัมผัสหรือพบเจอกับสิ่งสกปรกเช่นนี้ตลอดชั่วชีวิต

เหลิงเทียนสิงรู้สึกว่า เขายินยอมวิ่งกระโจนเข้าไปกลางดงมาร ดีกว่าที่จะต้องมาสัมผัสกับเจ้าสิ่งนี้อีกครั้ง

“ทำได้ดีมาก!”

กู่ฉิงซานกล่าวยกย่อง ก่อนที่จะเอาดาบเชี่ยนฉีมาบดๆ สับๆ ลูกตาของมารชิฝูจะมันแลดูคล้ายโคลนเหลว

เขาหยิบโคลนเหลวขึ้นมาเต็มกำมือ แต่ไม่ได้ชโลมมันลงบนร่างกายโดยตรง เขาตบๆ มันลงบนเกราะหนังกองพันทหารม้าของตน และในไม่ช้ากลิ่นของมันก็โชยตลบอบอวลไปทั่ว

เหลิงเทียนสิงส่งสายตามาว่ารังเกียจอย่างเห็นได้ชัด เขากล่าว “นี่คุณคิดบ้างไหมว่าเจ้าสิ่งนี้มันเหม็นเน่าแค่ไหน?”

กู่ฉิงซานที่เปรอะไปด้วยโคลน กล่าวอย่างจริงจัง “ต่อมของเหลวในร่างกายของมารชิฝูจะอยู่ในดวงตา”

“หากทั่วร่างของเราเปรอะเปื้อนไปด้วยสิ่งนี้ ด้วยสัญชาตญาณของเผ่ามารพวกมันจะคิดว่าเราเป็นมารชิฝู”

“คุณและฉันมีพลังวิญญาณจำกัด ดังนั้นหากคุณไม่ใช้กลวิธีนี้ แม้จะต่อสู้กับมารระดับต่ำได้ แต่เมื่อเผชิญหน้ากับมารระดับสูงคุณต้องตายอย่างแน่นอน”

พูดจบกู่ฉิงซานก็ยื่นลูกตาที่บัดนี้กลายเป็นโคลนเหลวไปให้เหลิงเทียนสิงตรงหน้าและกล่าว “คุณไม่จำเป็นต้องอยู่ตำแหน่งหน้าก็ได้ แต่ตำแหน่งแนวหลังน่ะมันอันตรายเกินไป ฉันแนะนำให้คุณเขยิบเข้ามาใกล้ๆ สักหน่อยจะดีกว่า”

เหลิงเทียนสิงถอยไปหลายก้าวอย่างไม่ลังเล สองคิ้วขมวดมุ่นพลางกล่าว “ฉันไม่จำเป็นต้องใช้มัน”

กู่ฉิงซาน “หากปราศจากเจ้าสิ่งนี้ เผ่ามารจะสามารถพบร่องรอยของคุณได้ และเมื่อนั้นคุณจะต้องตาย”

เหลิงเทียนสิงมองไปยังลูกตาเละเหลวอีกครั้งแล้วส่ายหัวซ้ำแล้วซ้ำเล่า “หากต้องถูกเจ้าสิ่งนี้ชโลมร่างกาย ขอไปเกิดใหม่ดีกว่า”

คนจากนิกายใหญ่แน่นอนว่าย่อมต้องเป็นเช่นนี้ กู่ฉิงซานยักไหล่ และชักมือกลับ

หลังจากที่ถกเถียงกันอยู่หลายลมที ไม่ว่าอย่างไรเหลิงเทียนสิงก็ไม่ยอม สุดท้ายทั้งสองจึงเลือกที่จะเตรียมพร้อม

กู่ฉิงซาน “เอางั้นก็ได้”

“ต้องอย่างนั้นสิ” เหลิงเทียนสิงยืนขึ้น และส่งสัญญาณว่าเขาพร้อมแล้ว

กู่ฉิงซานสูดหายใจลึก ก่อนจะเรียกหน้าต่างระบบเทพสงครามขึ้นมาในสายตาของเขา

“จ่ายหนึ่งแต้มพลังวิญญาณ เพื่อเรียนรู้สกิลหวูเต๋า ‘วิสัยภูผา’ ”

“ทำการเรียนรู้วิสัยภูผา แต้มพลังวิญญาณปัจจุบัน ศูนย์ส่วนเจ็ด”

กระแสความร้อนไหลผ่านจากไหล่เข้าสู่ร่างกายของกู่ฉิงซาน และในที่สุดก็หลอมรวมเข้ากับทะเลแห่งความรู้ของเขา

กู่ฉิงซานชี้ไปยังทิศทางหนึ่งและกล่าว “เราจะทะลวงฝ่าไปทางนี้”

เหลิงเทียนสิงมองตาม และกล่าวด้วยความประหลาดใจ “แต่ทิศทางนั้น มันคือทิศทางก่อนหน้านี้ที่พวกเราวิ่งฝ่ามา”

กู่ฉิงซาน “ฉันได้ลองสำรวจดูแล้ว เผ่ามารที่อยู่ในเส้นทางนี้ไม่ค่อยทรงพลังเท่าไหร่นัก”

เหลิงเทียนสิงเหลือบมองอีกฝ่ายอย่างฉับพลันและกล่าว “ดูเหมือนคุณจะรู้เรื่องเกี่ยวกับเผ่ามารมากเลยนะ”

กู่ฉิงซานตบลงบนไหล่อีกฝ่ายและกล่าว “ใช่แล้ว นั่นเพราะฉันคือทหารจากกองพันทหารม้าอย่างไรล่ะ”

ไม่ทันที่เหลิงเทียนสิงจะได้เอ่ยถามต่อ กู่ฉิงซานก็ตะโกนเพียงสั้นๆ “ฉันพร้อมแล้ว!”

ทั่วร่างของเขาระเบิดไปด้วยปราณและเลือดลม ก่อนที่จะพุ่งทะยานออกไปนอกค่ายกลราวสายฟ้าฟาด

วิสัยภูผา!

เหมือนดั่งวูจิน กู่ฉิงซานพุ่งทะลวงไปแนวหน้าอย่างกล้าหาญ

ความแตกต่างเพียงอย่างเดียวก็คือ พลังวิญญาณของเขานั้นด้อยกว่าวูจินอยู่มากโข และแรงกดดันที่เปล่งออกมาก็แตกต่างกันหลายสิบส่วน

อย่างไรก็ตาม เผ่ามารตลอดเส้นที่กู่ฉิงซานพุ่งออกไปกลับถูกเข่นฆ่ามากเสียยิ่งกว่าในยามที่วูจินใช้ออกด้วยกระบวนท่านี้ถึงหลายเท่า!

นับว่าอยู่คนละระดับกันโดยสมบูรณ์!

กู่ฉิงซานพุ่งไปข้างหน้าอย่างเร่งรีบตลอดเส้นทาง เกราะไหล่หนักทะลวงไปยังเบื้องหน้าไม่หยุดยั้ง ส่งพวกมารทองคำบินลอยคว้างออกไป

มารทองคำหมอบกระโจนขึ้นไปในอากาศเพื่อหลบเลี่ยง ทว่าในตอนนั้นเอง ประกายแสงสีฟ้าอ่อนจากก็กะพริบไหว สะบั้นแยกหัวมารทองคำออกจากร่างทันที

เมื่อเผชิญหน้ากับฝนเลือด กู่ฉิงซานเหวี่ยงมือออกไป พร้อมกับดาบเชี่ยนฉีที่ปรากฏออกมาอย่างรวดเร็ว

ดาบวูบไหวราวกับลม เชือดเฉือนผ่านมารตัวแล้วตัวเล่า…กู่ฉิงซานเก็บเกี่ยวชีวิตของอีกฝ่ายอย่างไม่ลดละ

เหลิงเทียนสิงมองฉากนี้ ลมหายใจเขาก็พลันเย็นเยียบ

“นี่มันเทคนิคดาบ ตัดสายลม? ทำไมมันถึงได้รุนแรงขนาดนี้!?”

และเหลิงเทียนสิงเคยพบเห็นผู้ฝึกดาบใช้ออกด้วยตัดสายลมมาแล้วหลายครั้ง ทว่าเขาสาบานได้เลยว่าไม่เคยพบเห็นตัดสายลมที่รุนแรงขนาดนี้มาก่อน

“ตามฉันมา!”

กู่ฉิงซานใช้ออกไปอีกสามดาบ ก่อนจะกระโจนขึ้นไปบนฟ้าและสับเผ่ามารที่ขวางทางจนขาดครึ่ง ขณะเดียวกันก็ไม่วายที่จะร้องตะโกนเตือน

เหลิงเทียนสิงเรียกสติกลับมา และรีบวิ่งตามอย่างเร็วรี่

หลังจากนั้นอีกไม่กี่ลมหายใจ วิสัยภูผาก็เริ่มอ่อนกำลังลง ร่างของกู่ฉิงซานสั่นไหว ก่อนจะรีบปรับสมดุลอย่างรวดเร็ว

ตามมาด้วยในอีกวินาทีต่อมา รังสีดาบก็กะพริบไหว

การเคลื่อนไหวของเขาแลดูมีทักษะและเป็นธรรมชาติ ราวกับมวลเมฆที่ล่องลอย สายน้ำที่หลั่งไหล แต่ละการโจมตีล้วนราวกับถูกตระเตรียมมาเป็นอย่างดี ไม่หวั่นต่อการโจมตีซึ่งหน้าหรือการลอบโจมตีใดๆ

หากมองอย่างใกล้ชิด จะพบว่าท่วงทำนองของมันแลดูเป็นเอกลักษณ์ ไม่ซ้ำใคร

ในหัวใจของกู่ฉิงซานถูกเติมเต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึก

ศพ เลือดเนื้อ ฉากต่างๆ ที่พบเจอจากการต่อสู้ ประสบการณ์ต่างๆ ในชีวิตก่อนหน้า หลังจากที่ได้กลับมาจุติใหม่ ในที่สุดมันก็ค่อยๆ ถูกปลุกขึ้น

ในเวลานี้เรียกได้ว่าตัวได้ถือกำเนิดใหม่โดยสมบูรณ์แล้ว

ความแปรปรวนของมิติและห้วงเวลาอันเชี่ยวกรากนั้นช่างแปลกประหลาดและน่าหวาดกลัว ไม่นึกเลยว่าระบบจะปิดผนึกความทรงจำในการใช้ดาบของฉันได้โดยสมบูรณ์ขนาดนี้

ณ เวลานี้ ความแตกต่างเพียงอย่างเดียวหากเทียบกับในชีวิตก่อนหน้าก็คือ พื้นฐานวรยุทธที่ต่ำเกินไปและเทคนิคดาบบางเทคนิคที่ยังไม่ได้ถูกปลุกขึ้น

เทคนิคดาบที่ทรงประสิทธิภาพกว่านี้ เขายังไม่ได้รับอนุญาตให้เรียนรู้ เพราะหากเรียนรู้มันด้วยระดับวรยุทธเพียงเท่านี้ หากคิดจะใช้ออกมัน เขาอาจจะต้องแลกมาด้วยความตาย

นี่คงจะเป็นการปกป้องชีวิตของเขาจากระบบเทพสงคราม

กู่ฉิงซานวิ่งซ้าย วิ่งขวา พุ่งเข้าปะทะล่าสังหารกับเผ่ามารไปทั่ว ไม่ว่าเขาจะวิ่งไปที่ใด เผ่ามารมักจะเลือกยกมือขึ้นปิดจมูกก่อนที่จะใช้ออกด้วยการโจมตีไปซะทุกครั้ง

จมูกของเผ่ามารไวยิ่งกว่าของมนุษย์หลายสิบเท่า ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่มันมีติดตัวมาแต่กำเนิด

ในการรับรู้ของพวกมันที่ติดตัวมาตั้งแต่วัยเด็กกำลังกระซิบบอกพวกมันว่า ที่กำลังเผชิญหน้าอยู่นี้คือมารชิฝู

หากฆ่าเจ้ามอนสเตอร์ตัวนี้ กลิ่นจะกระจายติดอยู่กับร่างกาย และติดทนนานไม่จางหายไปเป็นปีๆ

หากมารตนอื่นได้กินมันลงไป กระเพาะคงจะบิดเป็นเกลียว และสำรอกออกมาไม่หยุดตลอดทั้งเดือน

นับจากในอดีตจนถึงช่วงเวลานี้ เผ่ามารก็ยังคงหวาดกลัวและรังเกียจกลิ่นดังกล่าว

ในขณะนี้ กู่ฉิงซานดูราวกับภูตผีที่ปรากฏตัวขึ้นที่ใด เผ่ามารต้องถูกล่าสังหารด้วยคมดาบอย่างเงียบๆ

ดาบเชี่ยนฉีในมือ ราวกับถูกปลุกขึ้นมาให้กลายเป็นเพชฌฆาตกระหายเลือด ไล่ฆ่าอย่างดุดัน และเก็บเกี่ยวชีวิตมารอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย

เมื่อต้องเผชิญหน้ากับภัยคุกคามระดับความเป็นความตาย เผ่ามารในขอบเขตก่อตั้งหลายตัวก็ตอบสนองอย่างฉับพลัน ทั่วร่างสั่นสะท้านราวกับจะระเบิดการโจมตีกลับ

กู่ฉิงซานเหลือบมองเพียงแวบหนึ่ง

“ตัดสายลมฟันต่อเนื่อง!”

ดาบยาวแลดูราวกับวายุ พัดกรรโชกไปมาอย่างรวดเร็วและดุดัน

“นี่คือหนึ่งในชุดเทคนิคตัดสายลม ฟันต่อเนื่อง!”

การเคลื่อนไหวของกู่ฉิงซานนั้นเรียบง่ายและไม่ซ้ำซ้อน เกือบทุกครั้งแทบจะไม่พบร่องรอยของการใช้ออกโดยเสียเปล่า คมดาบสะบั้นคอเผ่ามาร ตามต่อด้วย แขน เอว และขา ไล่ลงมาตามลำดับ

หลังจากนั้นหนึ่งลมหายใจ บริเวณโดยรอบที่เขายืนอยู่ซึ่งเดิมเต็มไปด้วยเสียงกรีดร้อง ก็ไร้ซึ่งการเคลื่อนไหวใดๆ ของเผ่ามารอีก

เห็นดังนั้น กู่ฉิงซานจึงชะลอเพลงดาบลง แม้จะเห็นว่ามีเผ่ามารอยู่ห่างไกลออกไปอีกหลายสิบเมตรเบื้องหน้าก็ตาม

ทว่าเผ่ามารที่อยู่ห่างออกไป ดูจะไม่แยแสและถูกดึงดูดโดยเสียงกรีดร้องของพวกเดียวกันเลย

เนื่องเพราะนี่มันเป็นเรื่องปกติธรรมดา ที่เผ่ามารอสูรจะฆ่าแกงกันเอง

ในเมื่อพวกมันไม่ได้กลิ่นเลือดของมนุษย์แต่ดันได้กลิ่นเหม็นเน่าราวซากศพแทน เห็นได้ชัดว่าที่พวกเผ่ามารบริเวณนั้นกำลังต่อสู้อยู่ด้วยก็คือมารชิฝู

ไม่ว่าจะมารหรือมนุษย์ ผู้ใดกันเล่าอยากจะตามไปยุ่งกับกลิ่นเหม็นที่น่ารังเกียจ?

แม้จะเป็นมาร แต่ก็มีบรรทัดฐานที่ใช้เลือกในการตัดสินใจอยู่เช่นกัน พวกมันได้แต่หันหน้าหนี

แม้ที่เล่าเรื่องราวมานี้จะดูยาวนาน ทว่าจริงๆ นับตั้งแต่ที่กู่ฉิงซานและเหลิงเทียนสิงทะลวงฝ่าออกมามันเกิดขึ้นแค่เพียงสิบลมหายใจเท่านั้น

ทั้งสองมุ่งตรงไปยังเบื้องหน้าได้หลายร้อยเมตรราวกับปาฏิหาริย์ แม้กระทั่งเหลิงเทียนสิงก็ยังเผลอคิดว่านี่เป็นความฝัน

เมื่อสามารถเคลื่อนที่มาถึงอีกสถานที่หนึ่งได้ในระยะเวลาอันสั้น เกือบสุดทางเบื้องหน้า เผ่ามารรูปร่างแปลกๆ ก็ปรากฏตัวขึ้น

บนร่างของมารตัวนี้ถูกปกคลุมไปด้วยเปลวเพลิงอันรุนแรง และปราณมารที่ดูชั่วร้าย แม้กระทั่งบริเวณที่มันยืนอยู่ก็ยังถูกย่างจนกลายเป็นสีแดง

“นั่นมารเพลิงสีชาด!” ระหว่างกล่าวเสียงของเหลิงเทียนสิงก็ค่อยๆ เบาลง

อย่างไรก็ตาม เหลิงเทียนสิงไม่สามารถที่จะถอยฉากออกมาได้ เขาทำได้เพียงต้องจัดการกับมารเพลิงสีชาดที่อยู่เบื้องหน้า

เนื่องเพราะเขาไม่ยอมชโลมทาลูกตาเหลวอันเน่าเหม็น ทำให้มีมารอสูรไล่ตามเขามา และจำเป็นต้องเผชิญหน้ากับมัน

โชคยังดีที่กู่ฉิงซานเคลื่อนไหวได้รวดเร็วพอ ทำให้เผ่ามารไม่อาจไล่ตามเขาได้ทัน เขาเลยไม่ถูกพวกมันล้อมกรอบและยังคงฝืนทนอยู่ได้

“เห็นไหมฉันบอกแล้ว รีบตามมาเร็ว” กู่ฉิงซานกล่าว

“คุณ” เหลิงเทียนสิงไม่รู้ว่าจะเอ่ยอะไรออกไปดี

มารเพลิงสีชาด มีร่างกายที่ประกอบไปด้วยเปลวเพลิงอุณหภูมิสูงจนแลดูคล้ายสีแดงดำ มันไม่มีกายเนื้อ จึงเป็นการยากมากที่จะล่าสังหารมันด้วยวิธีการทางกายภาพ

มารเพลิงสีชาดเป็นมารที่ใช้เทคนิคมนตรา หากมันได้ใช้ออกเพียงหนึ่งครั้ง ก็ยากที่จะต่อต้าน

มารเพลิงสีชาดสามารถรับมือกับสองนักสู้ระดับก่อตั้งได้ในเวลาเดียวกัน โดยที่ตัวมันสามารถเอาชีวิตรอดกลับมาได้อย่างสบายๆ

มอนสเตอร์ตัวนี้ ไม่ต้องกล่าวถึงการรับมือ หากเผชิญหน้ากับมันโดยตรงเขาคงกลายเป็นศพ ต้องไม่ลืมนะว่ากู่ฉิงซานยังอยู่วรยุทธแค่เพียงขอบเขตปราณปรับแต่งเท่านั้น

กู่ฉิงซานโยนดาบยาวของเขา และวิ่งไปยังเบื้องหน้าอีกหลายก้าว

ระหว่างที่ดาบเชี่ยนฉีกำลังส่ายไปมาในอากาศ จู่ๆ มันก็หายวับไปอย่างฉับพลัน มันถูกเก็บซ่อนไว้ในความว่างเปล่าโดยเทคนิคดาบตัดสายลมของกู่ฉิงซาน

มารเพลิงสีชาดเห็นสองมนุษย์กำลังพุ่งตรงเข้ามา จากในระยะหลายสิบเมตร มันก็ยิ้มรับราวกับพบเพื่อนรัก ก่อนจะอ้าปากกว้างและเตรียมใช้ออกด้วยเทคนิคมนตราไฟ

“นี่มันยังอยู่ไกลเกินไป ยังไม่ถึงระยะโจมตีที่ฉันจะลงมือขัดขวางมันได้!”

เมื่อเห็นภาพตรงหน้า เหลิงเทียนสิงก็รับรู้ได้ว่าช่วงความเป็นความตายได้มาถึงแล้ว

เทคนิคมนตราไฟของมารเพลิงสีชาด ที่อยู่ในขอบเขต ‘ลาวา’ นั้นทรงพลังเกินไป ทำให้ทั้งสองไม่สามารถต่อต้านได้ และเลือกได้เพียงที่จะหลีกเลี่ยงหลบฉากออกไปด้านข้าง

ทว่าทันทีที่พวกเขาหลบเลี่ยง พวกเขาก็จะสูญเสียความเร็วในยามนี้ไป และหากต้องการเริ่มต้นมุ่งตรงต่อไปข้างหน้า มันก็ดูจะยากหนักหนากว่าเดิมถึงหลายเท่า

ไม่ว่าจะทางไหนก็ล้วนแล้วแต่ต้องพบเจอกับหุบเหวแห่งความตาย

หัวใจของเหลิงเทียนสิงดิ่งลึก

เขาไม่มีเวลามากพอที่จะรับมือกับเผ่ามารเบื้องหลัง และไม่แกร่งพอที่จะรับมือกับมารเพลิงสีชาดที่อยู่เบื้องหน้า

หรือที่นี่จะเป็นสถานที่ที่ฉันต้องตกตาย?

อย่างไรก็ตาม เขากลับเห็นกู่ฉิงซานกระโจนขึ้นไปกลางอากาศ ก่อนจะคว้าคันธนูยาวออกมา ตามมาด้วยประกายกระแสแสงวูบไหวที่เขาไม่เคยพบเห็นมาก่อน

“ยิงระเบิด!”

“ร้อยก้าวผ่านหยาง!”

“กังหันลม!”

ลูกศรของกู่ฉิงซานที่แฝงไว้ด้วย ‘ยิงระเบิด’ และ ‘กังหันลม’ ภายใต้การหนุนเสริมด้วยสองสกิลดังกล่าว ทำให้ทั้งพลังทำลายและความว่องไวของมันเพิ่มสูงขึ้น

ประกายแสงเย็นเยียบวาบผ่าน

จากนั้น!

ลูกศรถูกยิงเจาะเข้าไปบนหน้าผากของมารเพลิงสีชาดที่ลุกท่วม และหัวของมันก็ถูกกระแทกจนเงยหงายขึ้นชี้ฟ้า!

มารเพลิงสีชาดนั้นเป็นเผ่ามารขนาดใหญ่ และความแข็งแกร่งของมันก็เป็นไปไม่ได้ที่จะถูกสังหารลงโดยกู่ฉิงซานที่มีพลังวิญญาณอยู่ในระดับปราณปรับแต่งเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม จุดประสงค์ของกู่ฉิงซานก็นับว่าประสบความสำเร็จแล้ว

ภายใต้การโจมตีของลูกศร มารเพลิงสีชาดได้เงยหน้าขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัว เปลวเพลิงอันน่าสยดสยองของมันทะลักล้นออกมาจากปากและพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า

“แม้กระทั่งกระบวนท่าสังหารที่รุนแรงเช่นนั้นก็ยังฆ่ามันไม่ได้หรือนี่” เหลิงเทียนสิงพึมพำด้วยความผิดหวังเล็กน้อย

มันเป็นเรื่องยากมากพอแล้วที่จะยอมรับว่าอีกฝ่ายมีสถานะเป็นนักดาบและนักสู้ แต่ในครั้งนี้ดันปรากฏว่าเขาก็เป็นนักธนูด้วยซะงั้น แถมยังช่วยแก้ปัญหาให้ตนรอดพ้นจากช่วงเวลาเป็นตายได้อีกด้วย

เหลิงเทียนสิงเป็นศิษย์สายตรงที่ได้รับการถ่ายทอดภูมิความรู้จักนิกายใหญ่ จึงย่อมสามารถรับรู้ได้ทันทีว่ากระบวนท่าธนูทั้งสามที่กู่ฉิงซานนั้นใช้ออกก็คือ ‘กังหันลม’ ‘ร้อยก้าวผ่านหยาง’ และ ‘ยิงระเบิด’

ทั้งหมดเป็นสกิลธนูระดับนายพล!

ตอนนี้เหลิงเทียนสิงรู้สึกว่าตนกำลังจะเป็นบ้า! ที่แท้ชายผู้นี้คือใครกันแน่

เขาคือใครกัน? เป็นไปได้หรือไม่ว่าเขาจะเกิดมาเพื่อเป็นนักปราชญ์?

มิฉะนั้นเขาจะสามารถศึกษาเรียนรู้ค่ายกล หวูเต๋า สกิลดาบ และธนูได้อย่างไร?

ในหัวใจของเหลิงเทียนสิงอดไม่ได้ที่จะเย็นยะเยือก

ในความเป็นจริง ขณะนี้กู่ฉิงซานเปรียบดั่งเป็นนักดาบนิรันดร์ ที่ถูกฉุดดึงลงมาให้มีพื้นฐานวรยุทธอยู่ในระดับปราณปรับแต่ง และต่อสู้กับเผ่ามาร

ด้วยประสบการณ์ของกู่ฉิงซาน ทำให้เขาสามารถหาวิธีที่ดีที่สุดที่ใช้ในการรับมือกับเผ่ามารได้

กู่ฉิงซานยังคงเงียบ ในขณะที่มารเพลิงสีชาดยังหน้าหงายอยู่ เขาก็โน้มตัวลง และหันเกราะหนามแหลมอันแข็งแกร่งบนไหล่ให้อยู่ในแนวขนาน

วิสัยภูผา!

มารเพลิงสีชาดถูกกระแทกจนลอยละลิ่ว ก่อนจะตกลงไปกลางดงเผ่ามารที่อยู่ห่างออกไปหลายสิบจั้ง

เผ่ามารเหล่านี้บ้างหวาดกลัว บ้างก็โกรธขึ้ง บางตัวหันหลังวิ่งหนี ขณะที่บางตัวเลือกที่จะบู๊กับมารเพลิงสีชาด

มารเพลิงสีชาดที่หน้าทิ่มลงไปในโคลนโดยสมบูรณ์เงยหน้าขึ้นมาด้วยความโกรธ ขณะนี้มันกำลังจะคลั่ง แต่กลับพบว่าตนตกอยู่ในท่ามกลางแก๊งเผ่ามารที่ระดมบาทาใส่จนไม่อาจปลีกตัวออกมาได้

“ดีล่ะ พวกเราไปกันต่อเถอะ”

กู่ฉิงซานกล่าวเสียงต่ำ

เหลิงเทียนสิงรู้สึกว่าหนังศีรษะของเขาด้านชา

กู่ฉิงซานตรวจเช็คพลังวิญญาณอย่างเงียบๆ ด้วยระดับปราณปรับแต่งขั้นเจ็ดที่ขีดจำกัดพลังวิญญาณเพิ่มขึ้นแล้ว ทำให้ในยามที่เขาใช้ออกด้วย ‘ยิงระเบิด’ เขากลับสูญเสียพลังวิญญาณไปเท่ากับเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ของระดับปราณปรับแต่งขั้นห้าเท่านั้น

ยังพอมีกำลังเหลือ!

กู่ฉิงซานเก็บธนู ก่อนจะเอื้อมคว้าไปในความว่างเปล่า

ดาบเชี่ยนฉีพลันปรากฏออกมา และถูกคว้าจับไว้ในกำมือของเขา

เขาหยุดลง ก่อนที่จะเริ่มปรับลมหายใจเล็กน้อย

เผ่ามารทั้งหมดโดยรอบ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายมีดาบยาวในมือ พวกมันก็พร้อมใจกันชะงัก และเกิดความลังเลขึ้น

พวกมันส่งเสียงงึมงำ และเฝ้าสังเกตกันและกัน รอให้เผ่ามารตัวอื่นๆเป็นคนเปิดฉาก

และแล้วฉากอันหาได้ยากยิ่งก็ปรากฏขึ้น!

ในระยะเวลาสั้นๆ กลุ่มเผ่ามารก็ต่างค่อยๆ หุบปากลงอย่างเงียบๆ และไม่มีตนใด คิดจะเป็นตัวเปิด

กู่ฉิงซานยืนหยัดอย่างมั่นคงพร้อมกับดาบในมือ สายตาสงบนิ่งราวธารน้ำตก เหลือบแลเผ่ามารอีกฝั่งและกล่าวกระซิบบางอย่างออกไปเพียงไม่กี่คำ

“เจ้าพวกกระจอก”

........................................