webnovel

0035 รักษาบาดแผล

ตอนที่ 35 รักษาบาดแผล

หนิงเยว่ฉานยืนนิ่งราวกับหุ่นกระบอก ไม่เอ่ยอะไรออกมาเลย

กงซุนซีคิดถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น เขาหันไปมองรอบๆ อย่างกระวนกระวาย ก่อนจะกระซิบกล่าวเสียงแผ่ว “สติหลุดลอยไปแล้วหรือ? หากยังชักช้ามารสวรรค์จะ…”

เขาหยิบดิสก์ค่ายกลสีแดงเข้มขึ้นมา ก่อนจะจิ้มนิ้วลงไป

ดิสก์ค่ายกลไร้ซึ่งปฏิกิริยาตอบสนอง

เมื่อเห็นดังนั้น จิตใจของกงซุนซีจึงค่อยผ่อนคลายลง เขามองไปยังหนิงเยว่ฉาน ก่อนจะสลับไปมองกู่ฉิงซานที่ยังคงปิดปากเงียบ

หากไม่ใช่เรื่องของมารสวรรค์ที่คอยรบกวนจิตใจ หนิงเยว่ฉานก็คงจะไม่เก็บมาคิดให้เป็นปัญหาใดๆ นี่เป็นเรื่องระหว่างหนิงเยว่ฉานและกู่ฉิงซาน กงซุนซีจึงไม่คิดเข้าแทรกแซง

ทุกสิ่งอย่างย่อมเป็นไปตามกฎแห่งกรรม และผลของการกระทำในครั้งนี้ก็จะส่งผลลัพธ์ไปในทางที่ดี มันอาจถึงขั้นช่วยชีวิตเธอไว้ได้เลย ทว่าหนิงเยว่ฉานต้องตัดสินใจด้วยตัวเอง ไม่มีใครสามารถคิดแทนได้

กู่ฉิงซานมองหนิงเยว่ฉาน ตอนนี้เขาเริ่มรู้สึกกังวลนิดๆ แล้ว

กองทัพมารจะยกพลมาในไม่ช้า แต่ผู้หญิงคนนี้ยังลังเล และไม่ยอมรับมันไปรักษาบาดแผล

ทันทีที่กองทัพมารมาถึง ไม่จำเป็นต้องกล่าวถึงกองกำลังย่อยอื่นๆ ที่ถูกส่งมา เพียงแค่รามสูรไร้พักตร์เจอตัวพวกเรา ก็นับว่าเป็นปัญหาใหญ่แล้ว

กู่ฉิงซานคิดถึงจุดนี้ เขาก็ไม่สามารถอดทนได้อีกต่อไป เขาเอื้อมคว้ามือหยกของหนิงเยว่ฉานละวางถุงน้ำดีงูลงในมือ

เขาตะโกน “มัวยืนบื้ออะไรอยู่ ถ้ายังไม่อยากตาย ก็รีบใช้มันรักษาบาดแผลของคุณเร็วเข้า!”

ใบหน้าของกงซุนซีกระตุก เขามองหนิงเยว่ฉานอย่างเคร่งเครียด และเตรียมที่จะเอ่ยห้ามปรามทั้งสอง

เด็กหนุ่มคนนี้กล้าจับมือของหนิงเยว่ฉานจริงๆ เขาไม่รู้หรือว่าคนที่ทำเช่นนั้นจะพบจุดจบอย่างไร?

ในช่วงปีที่ผ่านมา มีผู้กล้าที่ได้กระทำเหมือนดั่งเช่นเขา แต่สุดท้ายผู้กล้าคนนั้นก็ถูกหนิงเยว่ฉานทุบตีจนกลายเป็นคนพิการไม่อาจฝึกฝนวรยุทธได้อีกเลยตลอดชีวิต

สายตาของกงซุนซีจับจ้องทั้งสอง และในที่สุดหนิงเยว่ฉานก็เริ่มเคลื่อนไหว

เธอมองลึกเข้าไปในดวงตาของกู่ฉิงซานและกล่าว “ขอเวลาฉันหนึ่งส่วนสี่ชั่วยาม ฉันจำเป็นต้องใช้เวลารักษา”

คิ้วของกงซุนซียกสูงขึ้นโดยไม่ตั้งใจ

ครั้งสุดท้ายมันตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะที่นักบุญหนิงเยว่ฉานแห่งนิกายเทียนจี ไม่ได้พูดจากับผู้ชายด้วยน้ำเสียงเย็นชา

อนิจจา การกระทำของหญิงสาวนั้นไม่แน่นอน เปลี่ยนแปรกะทันหันยากจะทำความเข้าใจเสียยิ่งกว่าการฝึกฝนเทคนิคลับใดๆ กงซุนซีแอบส่ายหัวอย่างเงียบๆ

กู่ฉิงซานเผยท่าทีพอใจและเอ่ย “ต้องอย่างนั้นสิ”

ต้องแบบนี้สิถึงจะเป็นเรื่องปกติ หากร่างกายได้รับการฟื้นฟูรักษา ความแข็งแกร่งที่ใช้ในการต่อสู้ก็จะฟื้นกลับคืนมา

แม้ว่าเขาจะยังไม่ทราบถึงความแข็งแกร่งที่แท้จริงของหนิงเยว่ฉาน แต่ในชีวิตก่อนหน้าของเขา หนิงเยว่ฉานสามารถต่อสู้อย่างดุเดือดกับห้ามารผู้ยิ่งใหญ่ทั้งวันทั้งคืน พลังต่อสู้ที่แท้จริงของเธอจะต้องไม่เลวร้ายอย่างแน่นอน

หนิงเยว่ฉานก้มหัวลง กล่าวเสียงแผ่ว “ขอบคุณมากกู่…”

หนิงเยว่ฉานยังเอ่ยไม่ทันจบ กู่ฉิงซานก็ไม่ได้ยืนรอฟังอยู่เบื้องหน้าเธออีกต่อไป เขาเดินไปดึงกงซุนซีออกไปด้านข้างและกล่าว

“เวลาไม่ค่อยท่า อาวุโสกงซุน ฉันก็พอจะมีฝีมือในด้านการวางกลยุทธ์ของกองทัพอยู่บ้างเล็กน้อย ดังนั้นถึงมีบางคำถามที่ต้องขอคำแนะนำ”

นี่คือปรมาจารย์ค่ายกลผู้ยิ่งใหญ่ เป็นถึงหัวหน้านายพลแห่งพันธมิตรมนุษยชาติ และเป็นที่ตัวตนที่รู้จักกันดีในประวัติศาสตร์

มีการประเมินทางประวัติศาสตร์เพิ่มเติมว่า ชายชราคนนี้เสียชีวิตเร็วเกินไป หากเขายังอยู่ทิศทางของสงครามจะต้องเปลี่ยนไปอย่างแน่นอน

ในอดีตกู่ฉิงซานก็เคยเป็นถึงผู้บัญชาการกลยุทธ์ ดังนั้นตอนนี้เมื่อได้พบเจอกับกงซุนซี ก็รู้สึกราวกับอีกฝ่ายเป็นคู่แข่งในเชิงหมากรุก จึงอย่างที่จะขอคำแนะนำจากเขาสักหนึ่งหรือสองกระดาน

กงซุนซีสบสายตาอันร้อนแรงของอีกฝ่าย ก่อนจะกล่าวสั้นๆ “ตกลง”

กู่ฉิงซานเอ่ยถามทันทีว่า “จุดเริ่มต้นของสงครามอยู่ตรงบริเวณราบสูงทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ แต่ทำไมคุณถึงต้องจัดวางสองกำลังพลผู้ใช้มนตราธาตุทั้งห้าไปไว้ที่จุดนั้น?”

กงซุนซี “สำหรับคำถามนี้ ฉันคิดว่าการจัดวางรูปแบบนี้จะช่วยให้ทางฝั่งเรามีข้อได้เปรียบถึงสามข้อ… ”

ทั้งสองเอ่ยหารือกันอย่างรวดเร็ว

หนิงเยว่ฉานเดินไปที่เบาะรองนั่ง เธอลังเลเล็กน้อยก่อนจะถอดหน้ากากเงินที่ปิดบังใบหน้าออก

ด้วยจิตสัมผัสเทวะ ทำให้เธอสามารถเฝ้าจับตาดูชายทั้งสองได้อย่างใกล้ชิด แต่เมื่อเธอเห็นว่าทั้งสองไม่ได้หันกลับมาหรือใช้จิตสัมผัสเทวะจับตาดูเธอ หนิงเยว่ฉานก็ผ่อนคลายลง

กงซุนซีเป็นที่รู้จักกันดีในเรื่องของความบ้าคลั่ง ชีวิตหมกมุ่นอยู่แต่กับค่ายศึกษาค่ายกล จนแม้กระทั่งไม่คิดคบหาสหายเต๋าคนอื่นๆ เนื่องจากคิดว่ามันทำให้เสียเวลามากเกินไป

มันจึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจเลยที่กงซุนซีจะไม่สนใจเธอ…ว่าแต่แล้วทำไมเจ้าเด็กตัวเหม็นนั่นถึงไม่สนใจเธอเลยเล่า?

หนิงเยว่ฉานเบ้ปาก ก่อนจะอ้ามันเล็กน้อยแล้วกลืนถุงน้ำดีงูลงไป และบางครั้งก็แอบเหลือบสายตาไปมองกู่ฉิงซานที่กำลังหารือเรื่องกลยุทธ์กับกงซุนซีอย่างจริงจัง

หนิงเยว่ฉานเน้นประสาทสัมผัสไปที่หู แล้วตั้งใจฟังอยู่สักพัก

ก่อนจะค้นะบว่ากู่ฉิงซานไม่ได้แกล้งทำทีเป็นเอ่ยถามไปเรื่อย แต่ละคำถามมันค่อนข้างลึกซึ้งมากทีเดียว จนบางทีกงซุนซีต้องขบคิดเป็นเวลานานก่อนจึงจะตอบกลับไปได้

อย่างไรก็ตาม อย่างน้อยก็นับว่ากู่ฉิงซานประสบความสำเร็จในการกระตุ้นความสนใจของกงซุนซี ในการกล่าวหารือเกี่ยวกับกลยุทธ์บางอย่างร่วมกัน

กงซุนซีเป็นคนที่ยึดถือความภาคภูมิในพรสวรรค์ ในแต่ละวันสายตาของเขามักจะมองผู้อื่นอย่างคนที่เหนือกว่า แม้กระทั่งผู้นำกองทัพบางคนเขาก็ยังไม่ไว้หน้า ทว่าตอนนี้เขากลับสามารถหารือกลยุทธ์กับเด็กหนุ่มคนหนึ่งได้อย่างจริงจัง และแถมในแต่ละประโยคที่ทั้งสองเอ่ยกันไปมาก็ยังแฝงไว้ซึ่งความตื่นเต้น

นี่มันหายากจริงๆ

แม้หนิงเยว่ฉานจะประหลาดใจ แต่อีกด้านหนึ่งเธอก็หดหู่เล็กน้อย

แต่จะอย่างไรก็เถอะ ตอนนี้ดูเหมือนว่าฉันจะไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องสวมหน้ากากแล้ว

เนื่องเพราะใบหน้าของเธอมันดึงดูดสายตาของผู้ฝึกยุทธ ทำให้ในระหว่างต่อสู้แทนที่พวกเขาจะทุ่มทั้งหัวใจให้กับศัตรูตรงหน้า พวกเขากลับแบ่งใจมาครึ่งหนึ่งเพื่อเฝ้ามองเธอ ทำให้พวกเขาพลาดพลั้งในการต่อสู้ หรือบางทีอาจถึงขั้นเสียชีวิต

การสวมหน้ากาก คือการป้องกันเพื่อไม่คนอื่นเอาแต่เฝ้ามองใบหน้าของเธอ ตอนนี้ฉันถอดมันออกแล้ว นี่เป็นโอกาสดีที่แสนหายาก แล้วทำไมเขาถึงยังไม่หันมามองอีก?

หนิงเยว่ฉานกลืนถุงน้ำดีงูเสร็จ เธอก็ค่อยๆ ยกหน้ากากเงินขึ้นมาสวมอย่างเงียบๆ

หนิงเยว่ฉานเกิดความรู้สึกสับสนเล็กๆ น้อยๆ ขึ้นในหัวใจของเธอ

อย่างไรก็ตาม ไม่ช้าหนิงเยว่ฉานก็หลับตาลงและเริ่มที่จะทำการรักษาบาดแผล ความคิดอันยุ่งเหยิงก็ค่อยๆ จางหายไปตามธรรมชาติ

ณ ภายในค่ายทหาร

จ้าวหลิวรื้อที่พักหลังเล็กๆ ของเขา ข้างๆ เรียงรายไปด้วยแผ่นไม้ที่วางอยู่อย่างเรียบร้อย

ฤดูหนาวกำลังมาถึงในไม่ช้า ดังนั้นจึงต้องตระเตรียมไม้ไว้ให้พร้อมสำหรับทำความร้อน

ถึงแม้ว่าภายในค่ายจะไม่มีอุปกรณ์ใดๆ แต่น้ำและเครื่องปรุงอาหารนับว่ามีเพียงพอ

มารอสูรหลายตัวที่กู่ฉิงซานไปต่อสู้หามายังยังถูกเก็บไว้ ในตอนที่เขาจากไปเขาหยิบเนื้อตากแห้งของพวกมันไปบางส่วนเท่านั้น ส่วนที่เหลือถูกเก็บรักษาอย่างดีโดยจ้าวหลิว

วันนี้ข่ายอาคมก็ยังทำงานได้ดี จ้าวหลิวลองนับคำนวณวัน เพื่อจะใช้ผลัดเปลี่ยนศิลาวิญญาณให้ตรงเวลา

จ้าวหลิวรู้สึกได้ถึงการกระทำอันรอบคอบสมบูรณ์แบบ และดูเขาจะมั่นใจมาก

ตราบใดที่ในอนาคต มนุษยชาติทำการตอบโต้กลับ เขาก็จะต้องได้รับการช่วยเหลืออย่างแน่นอน

ทหารกุ๊ก เอาชีวิตรอดในพื้นที่แนวหน้าที่กำลังจะล่มสลายอยู่เพียงลำพัง เมื่อคิดถึงจุดนี้ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นเต้น

การกระทำอันกล้าหาญเช่นนี้ เมื่อกลับบ้านเกิด เขาจะต้องได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากชาวบ้านอย่างแน่นอน

เมื่อถึงตอนนั้น ด้วยชื่อเสียงและความกล้าหาญ เขาก็จะได้ครอบครองสาวงาม และแต่งงานอยู่กินกับเธออย่างมีความสุข…นี่คือช่วงชีวิตที่จ้าวหลิววาดฝันไว้

เมื่อคิดถึงจุดนี้ จู่ๆ จ้าวหลิวก็ได้ยินเสียงดังอะไรบางอย่างจากด้านนอกค่าย

เท้าข้างหนึ่งผุดลงมาจากหมู่เมฆ และเมื่อมันย่ำถึงพื้น โลกก็เกิดการสั่นสะเทือน

จากนั้นเท้าอีกข้างก็ตามลงมา

ผ่านไปครู่หนึ่ง เสียงดังสนั่นก็จางหายไป

จ้าวหลิวมองมอนสเตอร์ยักษ์เดินจากไปไกล หลังจากเฝ้ามอง จู่ๆ ความฮึกเหิมของเขาก็เพิ่มสูงขึ้น

เจ้าเด็กนั่นบอกว่ามอนสเตอร์ตัวเมื่อครู่คือ เผ่ามาร รามสูรไร้พักตร์ ปฐมบทแห่งความโกลาหล

ก็แล้วอย่างไร! เห็นหรือเปล่า!? ไม่ว่าเจ้ามารตนนั้นจะน่าหวาดหวั่นขนาดไหน แต่หากอยู่ในข่ายอาคมอำพรางฉันก็จะปลอดภัย

หลังจากมองอยู่นานจ้าวหลิวก็คิดว่าแท้จริงแล้วเผ่ามารก็ไม่ได้ดีเด่นอะไร

ทว่าสิ่งที่น่าแปลกก็คือ ความถี่ในการปรากฏตัวของมอนสเตอร์ดูเหมือนว่าจะสูงขึ้น

ดูเหมือนพวกมันกำลังพยายามมองหาอะไรบางอย่าง แต่ก็ยังไม่ค้นพบ

ขณะที่จ้าวหลิวกำลังคิด ทันใดนั้นก็ปรากฏเสียงคำรามของพื้นโลกขึ้นอีกครั้งในจุดที่ห่างไกลออกไป

มันเป็นเสียงฝีเท้าที่ค่อยๆ คืบคลานเข้ามา

จ้าวหลิวถอนหายใจด้วยความหงุดหงิด เขากำลังเฝ้ารอให้เสียงฝีเท้านี้จางหายไป จะได้กลับไปนอนพักผ่อนต่อเสียที

หลังจากที่รออยู่ครู่หนึ่ง เสียงฝีเท้าก็หายไปอีกครั้ง

จ้าวหลิวหาวและตรง และตรงกลับเข้าไปยังที่พัก

แต่ในตอนนั้นเอง เขาบังเอิญหันไปมองทางประตูค่ายทหาร และจู่ๆ ก็ชะงักไป

คู่ฝ่าเท้ายักษ์อันน่าสยองขวัญยืนนิ่งอยู่เบื้องหน้าทางเข้าค่ายทหาร

ทันใดนั้นทุกอย่างก็พลันทะมึน ทั่วทั้งค่ายทหารจมลงสู่ความมืด

จ้าวหลิวเงยหน้าขึ้น และเห็นแค่เพียงมือยักษ์อันน่าสยดสยองกำลังทิ้งดิ่งลงมาจากฟากฟ้า ขนาดของมันบดบังได้แม้กระทั่งท้องนภาและแสงอาทิตย์

ข่ายอาคมรอบค่ายทหารปรากฏประกายแสงจางๆ เล็กน้อย ก่อนที่มันจะสลายไปราวกับฟองสบู่เมื่ออยู่ต่อหน้ามือยักษ์

มันจบแล้ว

จ้าวหลิวจ้องมองมือยักษ์สยองขวัญที่กำลังใกล้เข้ามา ใกล้เข้ามามากขึ้นเรื่อยๆ และทันใดนั้นเขาก็พลันนึกถึงคำชักชวนของกู่ฉิงซาน

ความสำนึกเสียใจอันไร้ที่สิ้นสุดหลั่งไหลเข้ามาในหัวใจของจ้าวหลิว เขาคร่ำครวญออกมาเสียงดัง

“ไม่! อย่ากินฉัน!”

และนั่นคือเสียงคร่ำครวญครั้งสุดท้ายของจ้าวหลิวในโลกใบนี้…

........................................