webnovel

0013 มอนสเตอร์(2)

ตอนที่ 13 มอนสเตอร์(2)

เท้ายักษ์อีกข้างผลุบออกมาจากเมฆทะมึน และเหยียบย่ำลงข้างๆ บ่อกักศพ ก่อให้เกิดการสั่นสะเทือนและเสียงคำรามของผืนโลก

สองคนที่ซ่อนตัวอยู่ในโคลนก็พลอยได้รับผลกระทบไปด้วย แรงสั่นสะเทือนหนักหน่วงจนเกือบตัวลอยขึ้นจากพื้นดิน

ตามมาด้วยมือยักษ์อันน่าหวาดหวั่นโผล่ออกมาจากเมฆทะมึน มันคว้าจับเพียงครั้งเดียว ร่างมารอสูรที่นอนอยู่เบื้องล่างและบ่อกักศพใกล้ๆ ทั้งหมดก็ถูกรวบไว้ในฝ่ามือเดียว

จากนั้น มือยักษ์ก็ค่อยๆ หดกลับเข้าสู่ชั้นเมฆ

ตามมาด้วยเสียงเคี้ยวกรุบกรับ ให้ความรู้สึกคล้ายเสียงฟ้าร้องต่ำ

ท้องฟ้ามืดมิด เลือดสีดำอันเย็นเยียบสาดเทลงมา เพียงพริบตาเดียวด้านหน้าค่ายทหารก็ถูกปกคลุมด้วยสีทะมึนของคนตาย และส่งกลิ่นอายน่ารังเกียจ

หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง เสียงเคี้ยวกรุบกรับที่อยู่เหนือเมฆทะมึนขึ้นไปก็หยุดลง และฝนเลือดที่พรั่งพรูก็ค่อยๆ จางหายไป

คู่เท้ายักษ์ทั้งสองเริ่มก้าวเดินอีกครั้ง เสียงดังตึงตังค่อยไกลห่างออกไปจากทั้งสอง มันย่ำไปได้ไม่กี่ก้าวก็หายลับไปจากสายตาของกู่ฉิงซานและจ้าวหลิว

จ้าวหลิวดูจะสูญเสียจิตวิญญาณไปแล้ว เขากล่าวออกมา “เจ้ามอนสเตอร์ตัวนั้นมันคืออะไรกัน… ”

กู่ฉิงซานที่บัดนี้หัวใจจมลงสู่หุบเหวลึก เอ่ยพึมพำกับตนเอง “แม้กระทั่งมันก็ยังปรากฏตัวขึ้น… ”

จ้าวหลิวเอ่ยซ้ำๆ ราวแผ่นเสียงที่ติดขัด “เจ้ามอนสเตอร์ตัวนั้นมันคืออะไรกัน…เจ้ามอนสเตอร์ตัวนั้นมันคืออะไรกัน…”

กู่ฉิงซานไม่ได้สนใจอีกฝ่าย หัวใจของเขาเพียงจมลงสู่ห้วงความคิด

รามสูรไร้พระพักตร์ จัดอยู่ในประเภทเผ่ามารที่พบเจอได้ยากยิ่ง ตัวตนของเผ่าพันธุ์อันทรงพลัง ปฐมบทแห่งความโกลาหล!

รามสูรไร้พักตร์ ใช่ว่าจะพบเจอได้ง่ายๆ มันมักจะปรากฏตัวขึ้นเมื่อเผ่ามารล้อมกรอบเมืองมนุษยชาติเป็นระยะเวลาแต่ยังไม่อาจจับกุมตัวได้ เมื่อนั้นมันจะได้รับคำสั่งให้บุกโจมตีตำแหน่งดังกล่าว

ในความทรงจำก่อนหน้า ปัจจุบันนี้ยังอยู่ในปีสุดท้ายของราชวงศ์เฉิง และเผ่ามารก็พึ่งเริ่มก่อความวุ่นวาย แล้วมอนสเตอร์อย่างรามสูรไร้พักตร์จะปรากฏตัวขึ้นได้อย่างไร?

นี่คือปีสุดท้ายก่อนที่สงครามระหว่างมนุษยชาติและเผ่ามารจะปะทุขึ้น และต้องใช้ระยะเวลากว่าหนึ่งปีเต็มสงครามครั้งแรกจึงสิ้นสุดลง กู่ฉิงซานจดจำเรื่องนี้ได้อย่างชัดเจน

ในการต่อสู้ครั้งสุดท้ายของปีนั้น ผู้เล่นนับล้านไม่อาจหาวิธีโค่นรามสูรไร้พักตร์ลงได้ จึงทำได้เพียงปล่อยให้มันทำลายเมืองชายแดนลง

ในเวลานั้น ผู้เล่นที่พึ่งเริ่มทยอยกันเข้าเกมมาได้แค่เพียงครึ่งปี แต่ก็ต้องพบเจอกับฉากนี้ ระดับยุทธของพวกเขาอยู่เพียงขั้นพื้นฐานและธรรมดายิ่ง ยามรามสูรไร้พักตร์ปรากฏตัว เหล่าผู้เล่นจึงได้รู้ซึ้งถึงความไร้กำลังของตนเอง

ท้ายที่สุด ก็ต้องถึงมือของราชันอมตะรุ่นแรกเป็นคนออกโรงด้วยตัวเอง จึงสังหารมารตนนี้ลงได้

อย่างไรก็ตามในเวลานั้น เมืองชายแดนก็ได้ถูกทำลายลงไปแล้ว กองทัพมนุษยชาติพ่ายแพ้ และจำต้องล่าถอย และนั่นทำให้พวกเขาต้องสูญเสียดินแดนอันอุดมสมบูรณ์ซึ่งเป็นด่านกันชนไป

ในการต่อสู้ครั้งแรก มนุษยชาติพ่ายแพ้และจำต้องล่าถอย!

แต่…แต่ทว่า!

ปัจจุบันนี้ยังอยู่ในราชวงศ์เฉิงปีสุดท้าย สงครามยังไม่ทันได้เริ่มต้นขึ้น มนุษยชาติกับเผ่ามารต่างฝ่ายต่างเฝ้ามองและทดสอบกันและกันอยู่

ทว่าในเวลานี้ รามสูรไร้พักตร์กลับปรากฏตัวขึ้น เนื้อเรื่องมันไม่ควรจะเป็นเช่นนี้

เว้นเพียงแต่จะเกิดเหตุบางสิ่งบางที่กู่ฉิงซานเองก็ไม่รู้ว่ามันได้เกิดขึ้น

กู่ฉิงซานรู้สึกคล้ายมีหมอกหนาปรากฏขึ้นในจิตใจ และไม่อาจฝ่ามันออกมา ไม่อาจมองเห็นถึงความจริงข้างใน

จ้าวหลิวที่ดวงตาเปลี่ยนเป็นหมองคล้ำไร้ชีวิตชีวายังคงเอ่ยประโยคเดิมซ้ำๆ

“เจ้ามอนสเตอร์ตัวนั้นมันคืออะไรกัน…”

กู่ฉิงซานขมับแม่งใส่จ้าวหลิว จนอีกฝ่ายสิ้นสติไป

เดิมจ้าวหลิวก็ได้รับการกระทบกระเทือนจิตใจอยู่ก่อนแล้ว แทนที่จะปล่อยให้จินตนาการเตลิดไปไกล สู้ให้เขาพักจะดีกว่า

ครั้งแรกที่เห็นมอสเตอร์รามสูรไร้พักตร์ ผู้เล่นจำนวนมากตกตะลึงสุดขีด เช่นนั้นยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงจ้าวหลิวที่เป็นคนธรรมดาในโลกใบนี้ เพียงเห็นรามสูรปรากฏตัวขึ้นอย่างฉับพลัน เขาก็อาจจะกลัวจนเป็นบ้าไปเลยก็ได้

กู่ฉิงซานแบกจ้าวหลิวขึ้นบนบ่า พากลับเข้าไปในค่ายทหารก่อนจะโยนอีกฝ่ายลงบนเตียง จากนั้นก็หันไปยังทิศทางประตูค่าย

ตั้งแต่ที่รามสูรปรากฏตัวขึ้น บางที อาจมีกองกำลังอื่นร่วมทางไปกับมันก็เป็นได้

หลังจากที่เฝ้ารอมานานกว่าครึ่งชั่วโมง ในที่สุดกองทัพมารก็ปรากฏตัวขึ้นจริงๆ

กลุ่มแรกที่ปรากฏตัวขึ้นคือปีศาจนาคาเพลิงลักซ่อน มันมักจะซ่อนตัวอยู่ในป่าทึบ เลื่อยลดคดเคี้ยวไปมาบนพื้นดินอย่างไร้สรรพเสียง และตลอดเส้นทางที่เลื้อยผ่านก็มักจะทิ้งรอยไหม้เอาไว้อีกด้วย

บนหลังของมัน เป็นมอนสเตอร์ที่มีรูปร่างคล้ายมนุษย์นั่งอยู่ มันสวมเกราะหนักสีเทา มือและเท้าทั้งหมดเป็นกรงเล็บแหลม ทว่าบนใบหน้ากลับไม่มีสิ่งใด นอกจากปากขนาดใหญ่ที่ฉาบไปด้วยเลือด ปากของมันแสยะกว้างไปจนถึงหลังหัว

มารกระหายเลือด!

ถ้าหากมันได้บุกฝ่าเข้าไปถึงกลางกองกำลังมนุษยชาติแล้วล่ะก็ บริเวณนั้นอาจนำไปสู่การสังหารหมู่ขนาดย่อม!

นาคาเพลิงตัวแรกปรากฏตัว ตัวอื่นๆ ก็ทยอยตามมา และทุกตัวก็จะมีมารกระหายเลือดนั่งอยู่บนหลังของมัน

หนึ่งตัว สอง สาม…ทั้งหมดยี่สิบตัว

กู่ฉิงซานถึงกับลืมหายใจ และยืนจ้องมองฉากตรงหน้าอยู่ภายในค่ายทหารอย่างเงียบๆ

กองทัพมารเลื้อยผ่านหน้าค่ายทหารไปอย่างรวดเร็ว มุ่งไปตามทิศทางที่รามสูรก้าวนำไป ไม่นานก็หายลับเข้าไปในป่า

ตลอดทั้งกระบวนการนี้ ค่ายทหารไม่ได้ถูกค้นพบ ซึ่งนี่นับว่าเป็นเรื่องที่โชคดีจริงๆ

ทว่าแม้จะโชคดี แต่กู่ฉิงซานกลับไม่สามารถรู้สึกสุขใจได้

ปีศาจนาคาเพลิงลักซ่อนเป็นราชันในหมู่มารอสูรประเภทลอบสังหาร ทุกการกระทำนั้นเงียบเชียบ และเกิดมาพร้อมกับการปลดผนึกธาตุไฟซึ่งเป็นหนึ่งในห้าธาตุ จึงเป็นการยากที่จะจัดการกับมัน

ขนาดสัตว์ขี่ยังขนาดนี้ ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงความน่าหวาดหวั่นของมารกระหายเลือด

นายพลที่คอยปกป้องค่ายทหารแห่งนี้ คงไม่แคล้วตกตายด้วยน้ำมือของมารกระหายเลือด

ในกองทัพ มิได้มีกฎเขียนเอาไว้ว่า ทหารสามารถละทิ้งภารกิจได้ทันที ในกรณีที่พบเจอกับมารกระหายเลือด และไม่จำเป็นต้องถูกลงโทษจากเจ้าหน้าที่ระดับสูง

มีเพียงทหารระดับนายพลเท่านั้นจึงจะสามารถต้านทานมารตนนี้ได้

ยี่สิบนาคาเพลิง และยี่สิบมารกระหายเลือด เกือบทั้งหมดก็เพียงพอที่จะก่อสงครามขนาดย่อม

นับว่าโชคยังดีที่ไม่เกิดเหตุดังกล่าว และพวกมันก็ได้ตามรามสูรไร้พักตร์ไปอย่างสงบ

นี่สมควรจะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้น

กู่ฉิงซานครุ่นคิดอยู่ดีๆ ทันใดนั้นเขาก็เห็นนกที่ดูอ่อนล้า ถลาเกาะลงบนกิ่งไม้นอกค่ายทหาร

นกตัวนี้มีใบหน้าค่อนข้างยาวเรียว ดูเหมือนมันจะลงจอดพักหายใจเล็กน้อย และกำลังมุ่งตรงไปในทิศทางเดียวกับรามสูร

“เหนื่อยเหลือเกิน เหนื่อล้าไปหมดแล้ว เมื่อไหร่จะไล่ทันเสียที!”

มนสเตอร์นกบ่นอุบ

มันสยายปีกออก สะบัดหยาดเลือดออกจากร่างกาย ก่อนจะเริ่มลามเลียบาดแผลยาวใต้ปีกด้วยลิ้นสั้นๆ ที่ดูคล้ายแผ่นขนมปัง

บาดแผลนั้นค่อนข้างลึก และมีหยดเลือดไหลออกมาเป็นครั้งคราว

กู่ฉิงซานจ้องไปที่บาดแผลของมอนสเตอร์นก เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะยกธนูกองทัพขึ้น พร้อมกับง้างศรและปล่อยออกไป

ยิงต่อเนื่อง!

ในครั้งแรก ลูกศรสามดอกถูกปล่อยออกไปติดๆ กัน ตามมาด้วยการแผลงศรหนึ่งครั้งปล่อยไปหกดอก และแผลงศรอีกครั้งยิงออกไปทีเดียวสิบสองดอก!

หนึ่งลมหายใจ ยิงศรออกไปถึงยี่สิบเอ็ดดอก และหนุนเสริมด้วยสกิล ‘ทรงตัว’ ทำให้สองมือของกู่ฉิงซานยังคงสงบนิ่งไม่สั่นไหว

ในเวลานั้นเอง กู่ฉิงซานได้ระเบิดความแข็งแกร่งทั้งหมดที่มีออกมา

ตั้งแต่เริ่มที่คิดจะจู่โจมมัน เขาจะต้องไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายมีชีวิตรอดอยู่อีกต่อไป ใครจะรู้เจ้านกตัวนี้อาจเปิดภูมิปัญญาแล้วก็ได้ หากมันไม่ตาย และหนีไปได้ มันจะต้องกลับมาอีกครั้งพร้อมกับกองทัพเผ่ามารอย่างแน่นอน

ปลายธนูคมกริบพุ่งอย่างรวดเร็วจนเห็นเพียงเงาออกจากค่ายทหาร และทะลวงชั้นอากาศตรงเข้าใส่มอนสเตอร์นก

สามดอกแรกบินออกไป หนึ่งในนั้นเข้าเป้า มอนสเตอร์นกสยายปีกออกหลบศรหกดอกที่ลอยตามเข้ามา แต่สุดท้ายมันก็ถูกปิดตายทางหนีด้วยลูกศรสิบสองดอกอยู่ดี

“พลังวิญญาณบวกสอง พลังวิญญาณปัจจุบันสามส่วนห้า”

“คุณใช้งานสกิล ‘ทรงตัว’ จนถึงขั้นเชี่ยวชาญ การพัฒนาระหว่างการต่อสู้ประสบผลสำเร็จ สกิลจะถูกอัปเกรดขึ้นเป็น : ทรงตัวขั้นสูง ”

กระแสความร้อนอันอบอุ่นไหล่บ่าลงสู่แขนทั้งสองที่กำอาวุธ และไม่นานความรู้สึกนี้ก็หายไป

สกิลขั้นสูง?

กู่งฉิงซานตกใจ ก่อนจะหยิบลูกศร วางแนบคันธนู ง้างจนสุด และดึงมันกลับมา

สองแขนแทบไร้ความรู้สึก มันไม่สั่นไหวเลยแม้แต่น้อย

กู่ฉิงซานลองเคลื่อนไหวไปมารอบๆ แล้วหยุดยิง หรือยิงระหว่างที่กำลังวิ่งอยู่ ปรากฏว่ามันมิได้ส่งผลกระทบใดๆ ต่อสองมือของเขาเลย

สองมือยังคงมั่นคงอยู่ในท่าเล็ง ราวกับท่วงท่านี้จะคงอยู่ในจนนิรันดร์

เป็นสกิลที่ดี!

กู่ฉิงซานวางคันธนูลง ในหัวใจของเขาได้ตัดสินใจแล้ว

แม้นี่จะมิใช่สกิลขั้นสูงในตำนาน แต่เป็นการวิวัฒนาการแบบก้าวกระโดดของสกิลธรรมดา

ธรรมดาแล้วอย่างไร? เพราะมันก็ยังยอดเยี่ยมอยู่ดี

“ทรงตัว” เป็นสกิลขั้นต้นของสกิล “ทรงตัวขั้นสูง” นอกจากนี้ยังเป็นเพียงสกิลขั้นต้นที่มีประสิทธิภาพน้อยที่สุดในวิชายุทธเทพสงครามเท่านั้น หากเขาได้พัฒนาสกิลขั้นต้นที่ทรงพลังยิ่งกว่าสกิลทรงตัวเล่า?…ความสามารถนี้ช่างเป็นสิ่งที่น่าประทับใจจริงๆ

สกิล ‘ทรงตัวขั้นสูง’ นี้ ดูเหมือนว่าจะเพิ่มความมั่นคงเวลาเคลื่อนไหวเท่านั้น แต่มันก็ยังยอดเยี่ยมอยู่ดี

จากนี้ไปแม้ว่าในช่วงเวลาที่ต้องเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว มือของกู่ฉิงซานจะไม่สั่นไหวแม้เล็กน้อย เขาสามารถรักษาการโหมโจมตีอย่างต่อเนื่องในทุกๆ สถานการณ์ต่อสู้ได้

ยิ่งเผชิญหน้ากับมอนสเตอร์ที่เคลื่อนไหวช้า การโจมตีของเขาจะยิ่งทรงประสิทธิภาพ เขาสามารถวิ่งไปด้วยยิงไปด้วยโดยไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับรูปแบบการโจมตีที่รุนแรง

กู่ฉิงซานเก็บธนูกองทัพ ก่อนจะเดินออกไปนำมอนสเตอร์นกกลับเข้ามาในค่ายทหาร แล้วโยนมันลงบนกองเพลิงจนเหลือแต่ขี้เถ้า

ถึงแม้พอคิดๆ ดูแล้วการกระทำเช่นนี้มันจะแปลกอยู่บ้าง แต่เผ่ามารก็ยังเป็นเผ่ามาร เผามันซะจะได้ไม่หลงเหลือหลักฐานคงจะดีกว่า

“เอ๋? นั่นมันอะไรน่ะ?”

กู่ฉิงซานมองดูกองขี้เถ้าหลังจากที่ซากนกถูกเผาจนไม่หลงเหลือด้วยความประหลาดใจ

ท่ามกลางกองขี้เถ้า ปรากฏแผ่นหยกสีเลือดจมอยู่ในกองขี้เถ้าอย่างสงบ

.......................................