webnovel

0003 หน้าต่างระบบเทพสงคราม

ตอนที่ 3 หน้าต่างระบบเทพสงคราม

ในสายตาของกู่ฉิงซานหน้าต่างตัวละครสีน้ำเงินจางๆ เบื้องหน้านี้ ไม่แตกต่างไปจากในยุคเดิมของเขามากมายนัก เว้นก็เสียแต่ว่ามันมีปุ่มพิเศษหลายปุ่มที่อยู่ด้านล่างเพิ่มเข้ามา

ปุ่มเหล่านี้ดูราวกับเป็นหลุมดำที่ปล่อยหมอกสีหมึกออกมาเป็นครั้งคราว

เหนือปุ่ม ปรากฏเส้นแสงสีน้ำเงินที่มีตัวอักษรเขียนเอาไว้ว่า

“เปิดใช้งานหน้าต่างระบบเทพสงครามเสร็จสมบูรณ์ สามารถใช้งานฟังก์ชันแรกได้แล้ว”

“ต้องการเปิดใช้งานเลยหรือไม่?”

“ใช่”

เมื่อได้รับการยืนยันจากฉิงซาน ปุ่มๆ หนึ่งในท่ามกลางหมอกสีดำหมึกก็ค่อยๆ เผยชื่อของมันออกมาอย่างช้าๆ

“วิชายุทธเทพสงคราม?”

กู่ฉิงซานมองลงไปยังชื่อที่ปรากฏขึ้น และอ่านมันอย่างรวดเร็ว

หลังจากนั้นไม่นาน

ฉิงซานก็ถูกส่งไปยังชั้นวางอาวุธ เขาแหงนมองชั้นวางที่มีเพียงอาวุธไม่กี่ชนิดวางอยู่

เคียวที่อยู่ในสภาพเสียหาย, หอกสนิมเขรอะ และธนูกองทัพที่อยู่ใต้ฝุ่นหนาเตอะ

ช่างน่าเสียดายที่บนชั้นวางไม่มีดาบ

ในยุคของฉิงซาน เหล่าผู้ฝึกยุทธชั้นนำกว่าสิบล้านคนต่างก็เลือกที่จะใช้ดาบเป็นอาวุธ และกู่ฉิงซานก็เป็นหนึ่งในนั้น นอกจากนี้เขายังเป็นผู้ฝึกวรยุทธดาบที่ติดหนึ่งในสิบอันดับของ ‘นักดาบนิรันดร์’ อีกด้วย

เพียงแค่ชื่อ ไม่ต้องบอกก็พอจะรู้แล้วว่านั่นคือยอดยุทธระดับสูง

นอกจากนี้ กู่ฉิงซานยังเป็นผู้บัญชาการรบประจำสหพันธ์แห่งชาติอีกด้วย นั่นทำให้ทุกๆ วันเขาต้องรับผิดชอบในทุกๆ ด้านหลังจากสงครามเริ่มต้นขึ้นจนแทบจะไม่มีเวลาพักผ่อน

แม้ในโลกจริง เขาจะยังต้องคอยก้มหัวให้กับผู้นำของรัฐต่างๆ อยู่ก็ตาม แต่ฉิงซานก็ยังเต็มใจร่วมมือกันวางกลยุทธ และแลกเปลี่ยนธุรกิจที่มีความซับซ้อนสูงกับเหล่าประเทศต่างๆ

จนเหล่ายอดยุทธระดับสูงหลายคนต่างพากันสงสารกู่ฉิงซานและกล่าวว่าเขามัวแต่ทุ่มกำลังไปกับสิ่งที่กล่าวมามากเกินไป หากมุ่งสนใจแต่เพียงวิถีดาบ ฉิงซานคงไม่หยุดอยู่แค่สิบอันดับดาบบนิรันดร์ แต่คงก้าวเข้าสู่ ‘ดาบแห่งเต๋า’ ไปแล้วก็เป็นได้

เนื่องจากบนชั้นวางไม่มีดาบ กู่ฉิงซานจึงทำได้เพียงส่ายหัวและหยิบเคียวขึ้นมา

ในหน้าต่างระบบเทพสงคราม มีข้อมูลเพิ่มเติมขึ้นมาทันที

“เคียวรุ่นมาตรฐานของกองทัพ เสียหาย หากเลือกใช้งานจะได้รับสกิลดังต่อไปนี้ :”

“สกิลแรก : กวาดทำลายล้าง, แสดงผล: ท่าพิฆาต”

“สกิลสอง : สะบั้นไล่ล่า, แสดงผล: ระยะกว้าง”

“การเรียนรู้สกิลทั้งสอง แต่ละสกิลต้องการหนึ่งแต้มพลังวิญญาณ”

เมื่อเห็นข้อมูลตรงหน้า แม้กระทั่งคนจากอนาคตอย่างกู่ฉิงซานก็ยังรู้สึกทึ่ง

สามารถเรียนรู้สกิลได้โดยตรง นี่น่ะหรือคือวิชายุทธเทพสงคราม?

นอกจากนี้ นี่ยังเป็นเพียงฟังก์ชันแรกของระบบเทพสงครามเท่านั้น ฟังก์ชันอื่นยังคงถูกปกคลุมด้วยหมอกสีดำหมึก ไม่อาจเปิดใช้งานได้

ทว่า แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว เพราะถ้าหากคุณสามารถเรียนรู้สกิลต่างๆ ของผู้ฝึกยุทธได้ทั้งหมดตั้งแต่ต้น แล้วอย่างนั้นจะมีพวกผู้ฝึกยุทธชั้นสูง หรือสกิลลับไปทำไมเล่า?

กู่ฉิงซานสูดหายใจลึก และรอจนกระทั่งอารมณ์สงบลงเล็กน้อย จึงค่อยเอ่ยว่า “แต้มพลังวิญญาณคืออะไร”

และแทบจะในทันที ก็ปรากฏตัวอักษรเล็กๆ ขึ้นบนหน้าต่างตัวละคร

“การฆ่าสิ่งมีชีวิตจะทำให้ได้รับแต้มพลังวิญญาณ ส่วนการฆ่าเปลือกมารเมื่อครู่ ทำให้คุณได้รับ พลังวิญญาณสี่แต้ม , ปัจจุบันมีแต้มพลังวิญญาณสี่ส่วนห้า”

ฆ่าเปลือกมารในไม่กี่ลมหายใจ แต่กลับได้มาถึงสี่แต้มพลังวิญญาณ!

แต่ทว่า เปลือกมารนั้นมิใช่พวกมารธรรมดาๆ ความแข็งแกร่งของมันห่างไกลจากพวกมารปกติและผู้ฝึกวรยุทธ อย่างไรก็ตาม ก็นับว่ายังดีที่มนุษย์นั้นชาญฉลาด สามารถใช้กลวิธีแอบซ่อนตัวและลอบสังหารมันได้

และโชคดีที่กู่ฉิงซานสามารถคว้าโอกาสนั้น อาศัยจังหวะสังหารมารลงได้ในคราวเดียว

ไม่อย่างนั้นล่ะก็ กู่ฉิงซานที่เป็นเพียงผู้ฝึกวรยุทธขั้นต้นคงพ่ายแพ้แก่มันโดยสมบูรณ์ และไม่จบแค่เพียงมานั่งพันแผลอยู่ที่นี่ ส่วนทางฝั่งเปลือกมารคงไม่แม้แต่จะมีเลือดออกด้วยซ้ำ

กู่ฉิงซานพยักหน้า เพราะอย่างไรเสีย ในกรณีนี้ แต้มพลังวิญญาณดูเหมือนจะมีแค่สี่ส่วนหน้า หรือนี่จะหมายความว่าแต้มพลังวิญญาณมีขีดจำกัดสูงสุดแค่ห้าแต้มเท่านั้น?

นี่มันน้อยเกินไป

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ หน้าต่างตัวละครก็ปรากฏตัวอักษรเล็กๆ เพิ่มขึ้นอีกบรรทัด

“ยิ่งรากฐานการฝึกวรยุทธสูงขึ้นเท่าไหร่ ขีดจำกัดของพลังวิญญาณก็ยิ่งเพิ่มสูงขึ้นเป็นเงาตามตัว”

หมายความว่าแต้มพลังวิญญาณเชื่อมโยงกับรากฐานการฝึกวรยุทธ?

กู่ฉิงซานอดไม่ได้ที่เหลือบมองไปยังระดับตัวละครของตนที่ลอยเด่นเป็นเครื่องหมายดูสะดุดตา “ปราณปรับแต่งขั้นหนึ่ง”

นี่คือระดับเริ่มต้นของผู้ฝึกยุทธสำหรับมนุษย์ทุกคนในต่างโลก แสดงให้เห็นว่าระดับของกู่ฉิงซานในอดีตได้ถูกรีเซตไปแล้ว

กู่ฉิงซานถอนหายใจ เขาวางอาวุธเคียวลงอย่างเงียบๆ จากนั้นก็หันไปหยิบหอกสนิมเขรอะขึ้นมา

สำหรับตัวหอก มีสกิลที่สามารถเรียนรู้ได้เพียงสกิลเดียวเท่านั้น

กู่ฉิงซานส่ายหัวอีกรอบ เขาวางหอกลงแล้วเอื้อมไปหยิบอาวุธชิ้นสุดท้าย

“ธนูรุ่นมาตรฐานของกองทัพ แสดงผลสกิลที่สามารถใช้ได้ดังต่อไปนี้”

“สกิลแรก ทรงตัว แสดงผล: ระยะไกล”

“สกิลสอง ยิงต่อเนื่อง แสดงผล: ระยะไกล”

“สกิลสาม แม่นยำ แสดงผล:ระยะไกล”

“สกิลสี่ คู่นางแอ่นเหิน แสดงผล: ระยะไกล”

“เรียนรู้ ทรงตัวกับยิงต่อเนื่อง ต้องใช้อย่างละสองแต้มพลังวิญญาณ”

“เรียนรู้ แม่นยำ ต้องใช้สี่แต้มพลังวิญญาณ”

“เรียนรู้คู่นางแอ่นเหิน ต้องใช้หกแต้มพลังวิญญาณ”

ตามข้อมูลความทรงจำ การโจมตีระยะไกลมีไว้ให้สำหรับคนทั่วไปในกองทัพใช้ปกป้องค่ายทหาร หัวและท้ายของธนูจะมีมีดปลายแหลมติดเอาไว้ เพื่อไว้ใช้โจมตีและป้องกันเผื่อศัตรูเข้ามาในระยะประชิด แต่สุดท้ายพวกเขาก็ตายด้วยน้ำมือของ ‘มารกระหายเลือด’ อยู่ดี

สายตาของกู่ฉิงซานกวาดผ่านสกิลทั้งสี่ และหยุดนิ่งตรง ‘คู่นางแอ่นเหิน’

สกิลนี้ต้องการถึงหกแต้มวิญญาณในการเรียนรู้ ซึ่งอยู่เหนือขีดจำกัดแต้มวิญญาณของกู่ฉิงซาน

“น่าเสียดาย ดูเหมือนว่าปราณปรับแต่งขั้นแรกจะยังไม่สามารถเรียนรู้ได้ ฉันควรจะเริ่มต้นฝึกวรยุทธเพื่อเพิ่มขีดจำกัดแต้มวิญญาณให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ซะแล้ว”

กู่ฉิงซานส่ายหัว

สิ่งที่เรียกว่าระดับปราณปรับแต่งนี้เป็นขอบเขตขั้นต่ำสุดของผู้ฝึกยุทธ

เหนือจากขั้นปราณปรับแต่ง ก็จะเป็น ซูจี ขั้นก่อตั้ง จินตัน ขั้นแก่นทองคำ หยวนหยิง ขั้นก่อกำเนิด ฮั่วเฉิน ขั้นก้าวสู่เทพ และขอบเขตอื่นๆ ที่จะกล่าวในภายหลัง

ข่าวดีก็คือ แม้ว่ากู่ฉิงซานจะยังเป็นเพียงผู้เล่นชั้นพื้นฐานของผู้ฝึกยุทธ แต่ความสามารถดังกล่าวนี้ก็ยังติดตัวกลับไปยังโลกจริงด้วย

ปราณปรับแต่งขั้นแรก สามารถรับรู้ถึงพลังวิญญาณและใช้งานมันได้!

หากเขาได้ถูกส่งข้ามเวลาย้อนอดีตมาจริงๆ ต่อให้ทั้งตัวของเขาจะไม่สวมใส่อุปกรณ์ใดๆ สูญเสียสกิลทั้งหมดที่เคยมีมา กู่ฉิงซานก็ยังยินดีเต็มหนึ่งหมื่นส่วน

หลังจากทั้งหมดนี้ มนุษย์ทุกคนนั้นมีเรื่องที่ทำให้เกิดความรู้สึกเสียใจและไม่ยินยอม เมื่อใดก็ตามที่ต้องออกจากห้วงความฝันหวานในยามค่ำคืน กู่ฉิงซานเองก็ไม่เป็นข้อยกเว้น เขาทำได้เพียงเลียบาดแผลที่ร้าวลึกในหัวใจ รอยแผลที่ไม่อาจรักษาได้อย่างเงียบๆ

ถ้าเขาถูกส่งย้อนกลับมาอีกครั้งจริงๆ…

กู่ฉิงซานส่ายหัว ก่อนที่จะพยายามควบคุมอารมณ์ แล้วคว้าธนูกองทัพขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

สิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้คือการเอาชีวิตรอด

ด้วยระดับปราณปรับแต่งขั้นแหนึ่งในเวลานี้ หากบังเอิญต้องปะทะกับมารตรงๆ แม้จะวิ่งหนีก็ยังทำไม่ได้เลยด้วยซ้ำ

ดาบ กระบี่ และหอกนั้นเป็นอาวุธต่อสู้ระยะประชิด แต่หากเป็นผู้ฝึกยุทธขั้นต่ำสุดต่อสู้กับมารเพียงลำพังล่ะก็ เขาคงทำได้เพียงสร้างรอยขีดข่วนเล็กๆ แก่มัน ส่วนเรื่องเรียกเลือดมารในการต่อสู้ตัวต่อตัวน่ะหรือ คงไม่ต้องพูดถึงหรอกกระมัง?

เมื่อเผชิญหน้ากับมาร ความประมาทเพียงนิดก็อาจตกตายได้

ตัวกู่ฉิงซานในเวลานี้ มิได้เป็นถึงนักดาบนิรันดร์มิได้เป็นตัวตนในตำนานที่คอยนำทัพปกป้องประเทศดังแต่ก่อนอีกแล้ว

ขณะนี้ เขาเป็นเพียงทหารธรรมดาๆ ดังเช่นทหารคนอื่นๆ ในค่าย แตกต่างกันเพียงทหารคนอื่นๆ มิได้เป็นผู้ฝึกยุทธ ดังนั้นนี่จึงเป็นเรื่องยากมากสำหรับกู่ฉิงซานที่มีระดับเพียงปราณปรับแต่งขั้นแรกที่จะสามารถปกป้องที่แห่งนี้ได้

เหลือเวลาอีกไม่นาน ข่ายอาคมอำพรางคงหมดสภาพลง อย่างน้อยก็หนึ่งถึงสองวัน หรืออาจมากกว่านั้นเล็กน้อย เมื่อถึงเวลานั้นศิลาวิญญาณก็จะหยุดทำงาน

เมื่อข่ายอาคมหยุดลง มารทุกชนิดก็จะมารวมกัน

กู่ฉิงซานจู่ๆ ก็พบว่าเวลานี้ตัวเขาเองอยู่ในสถานการณ์ที่ค่อนข้างอันตราย

ดูเหมือนว่าจะเกิดการต่อสู้ขึ้นในระยะเวลาอันใกล้ แทนที่จะรอป้องกันค่ายโดยอาศัยการโจมตีระยะไกล สู้อาศัยช่วงเวลาที่ข่ายอาคมอำพรางยังทำงานอยู่ เร่งยกระดับตัวละครให้สูงขึ้นที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ดีกว่า

เมื่อคิดถึงจุดนี้ กู่ฉิงซานก็ตัดสินใจได้ในที่สุด

“ฉันขอเลือกเรียนรู้สกิล ทรงตัว และยิงต่อเนื่อง”

ในวินาทีนั้นเอง กระแสความร้อนจากธนูกองทัพก็หลั่งไหลเข้าสู่ร่างของกู่ฉิงซาน ก่อนที่จะหมุนคว้างเป็นวงกลม และแพร่กระจายไปในทะเลแห่งความรู้

กู่ฉิงซานจ้องมองฉากนี้อย่างโง่งม ก่อนที่จู่ๆ ก็ยกคันธนูขึ้น และยิงลูกศรขนนกออกไป

ซิบ!

ลูกศรจมลึกเข้าไปในแผ่นไม้แผ่นหนึ่งในตัวบ้าน

แต่เขายังไม่หยุดมือเพียงเท่านั้น จู่ๆ ศรขนนกก็เปล่งแสงออกมาราวกับสายน้ำ ก่อนที่มันจะถูกยิงออกไปอย่างต่อเนื่อง

ซิบ ซิบ ซิบ ซิบ!

สิบสองดอกในหนึ่งลมหายใจ แต่มือที่กำคันธนูของกู่ฉิงซานกลับยังแข็งเป็นหิน ไม่ขยับและสั่นไหวเลยแม้แต่น้อย

‘นี่ก็คือผลของสกิล ยิงต่อเนื่องกับทรงตัว อย่างนั้นสินะ’ เลือดลมของกู่ฉิงซานอดไม่ได้ที่จะเดือดพล่าน

‘วิชายุทธเทพสงคราม’ ช่างทรงพลังอย่างแท้จริง!

ตราบใดที่มีแต้มพลังวิญญาณเพียงพอ เขาก็จะสามารถเรียนรู้สกิลจากอาวุธได้ในทันที แบบนี้มันไม่ได้หมายความว่า เขาจะสามารถนำสกิลเหล่านั้นไปใช้ในโลกจริงได้หรอกหรือ?

........................................