คาลิก้า เนฮิว
"อ๊าาาาาาาาาาาาาาาาาาา!"
ฉันรีบจับบริเวณหัวใจที่โดนมีดแทงจนทะลุ
"เจ็บบบบบบบบบบ... อ๊ะ!? ไม่เจ็บแล้ว?"
ฉันรีบสำรวจร่างกายตัวเอง ก่อนจะพบว่า
ไม่มีทั้งเลือด บาดแผล ไม่โดนมัด แล้วก็ไม่มีใครอยู่เลย เงียบจนวังเวง
ฉันจำทิวทัศน์รอบตัวได้ แสดงว่าฉันยังอยู่ในดันเจี้ยน แตกต่างกันตรงที่มันมืดสนิท ถ้าไม่มีแสงจากตะเกียงที่วางอยู่รอบตัวฉันคงคิดว่าตัวเองตาบอดไปแล้ว
ที่สงสัยที่สุดคือรอบตัวฉัน มีข้าวของสกปรกแถมยังเปื้อนเลือดสดใหม่วางเต็มไปหมด
พอได้กลิ่นคาวเลือดฉันก็นึกถึงความทรงจำแย่ๆ ตอนที่โดนโรจากับทีมของมันทรมานจนเลือดไหลลงคอตลอดเวลา
ข้าวของพวกนั้นมีอาวุธ เสื้อผ้า กระเป๋า แต่ที่มากสุดคือคบเพลิงกับตะเกียง
มันน่าแปลกตรงที่เหมือนมีคนเอาของพวกนี้มาวางไว้ให้ฉันหยิบไปได้เลยงั้นแหละ
แล้วยังจุดตะเกียงให้แสงสว่างรอฉันด้วย
ฉันจึงลองนึกย้อนความทรงจำว่ามันเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้ยังไง
แต่ไม่ว่านึกยังไงก็นึกไม่ออก สิ่งสุดท้ายที่นึกออกคือโรจามันฆ่าฉัน
จริงสิ! ฉันตายไปแล้วนี่นา แล้วทำไมยังรอดอยู่อีกล่ะ
"หืม!"
ไม่ใช่แค่รอดแล้ว ฉันรีบจับใบหน้าของตัวเอง
"มะ ไม่เจ็บแล้ว แผลก็ไม่มี"
ความเจ็บปวดที่เหมือนมีหนอนกัดกินตลอดเวลาได้หายไปแล้ว
แทนที่ด้วยผิวที่เนียนนุ่มและเกลี้ยงเกลาราวกับเด็กทารก
ฉันร้องไห้อีกครั้ง
รอยแผลที่ถูกคนทำร้าย ทั้งชกต่อย เอาไม้ไล่ทุบ เขวี้ยงของใส่ ฟันดาบใส่ เพราะเห็นว่าเราสกปรก เพราะเห็นว่าพวกเราเคยทำผิดทั้งที่พวกเราไม่เคยทำ
ร่องรอยพวกนั้น... มันหายไปหมดแล้ว
"ฮึก ๆ ๆ"
อยากให้สิ่งดีๆ แบบนี้
เกิดขึ้นกับพี่เทียร่าแล้วก็เอลด้าแทนฉันจัง
เมื่อคิดถึงครอบครัว ฉันก็รีบเช็ดน้ำตา ตอนนี้ไม่ใช่เวลามามัวร้องไห้แล้ว
ฉันต้องรีบกลับแล้วเพื่อไม่ให้พี่เทียร่ากับเอลด้าเป็นห่วง
ฉันควานหาเสื้อผ้าที่ดูไซซ์พอดีตัวมาใส่ ถึงมันจะสกปรกและมีเลือดติดอยู่ ฉันก็ไม่รู้สึกอะไร การอยู่ในสลัมมันทำให้ฉันเคยชินกับเรื่องพวกนี้ไปแล้ว
สวมเสร็จก็เอาผ้าสกปรกขาดๆ มาพันปกปิดใบหน้าจนเหลือแค่ส่วนตา
การกลับสลัมโดยที่หน้าตาปกติสมบูรณ์ดี อาจทำให้ฉันตกเป็นเป้าหมายของพวกโจรหรือพ่อค้าทาส
สวมใส่เสร็จก็หากระเป๋าที่ยังพอใช้ได้ เพื่อขนผ้ากลับไป
ถ้าเอาพวกเศษผ้ามาเย็บต่อกัน พวกเราก็จะได้มีผ้าห่มกันคนละผืน ถ้าเหลือก็เอาไปอุดช่องกันลมหนาวได้อีกด้วย
ฉันเอามีดสั้นไปอีกหลายเล่มเท่าที่พอแบกไหว เอาไปใช้ป้องกันตัวกับขายเอาเงินไปซื้ออาหารกับยา
ดาบดูราคาแพงกว่า แต่มันหนักและเด่นเกินไป
อยู่ในสลัมโลภมากจะตกเป็นเป้าง่ายและตายเร็ว ฉันจึงไม่ลังเลที่จะทิ้งดาบในทันที
สุดท้ายก็เก็บตะเกียงดีๆ ไว้ใช้ในบ้านสักอันและถืออีกอันเดินขึ้นไปชั้นบน
ระหว่างที่เดินพร้อมหอบสัมภาระขึ้นไป ฉันก็ตกใจจนเกือบทำตะเกียงหล่น
ก็อยู่ๆ มันมีหน้าต่างสี่เหลี่ยมโปร่งแสงเด้งขึ้นมาตรงหน้าและขึ้นข้อความว่า
[ต้องการแกนดันเจี้ยน 0 / 1 เพื่ออัพเลเวลและเปิดใช้งาน]
"...อะไรเนี่ย!"
ฉันพยายามปัดมือใส่มัน แต่ก็ทะลุผ่านและไม่มีทีท่าว่าจะหายไป
"ต้องการแกนดันเจี้ยน... จะบ้าเรอะ [แรงค์ F] อย่างฉันจะไปมีปัญญาล้มบอสได้ยังไง"
อย่าว่าแต่บอสเลย มอนสเตอร์หน้าดันฉันยังไม่รอดเลยมั้ง
ราวกับจะปฏิเสธฉัน ข้อความเก่าหายไป แทนที่ด้วยข้อความใหม่
[คาลิก้า เนฮิว - สถานะ : พึ่งเกิด]
"...งงกว่าเดิมอีก"
แล้วทำไมฉันต้องมาเถียงกับมันด้วยเนี่ย พอจะเดินต่อ ข้อความเก่าก็ถูกแทนที่อีกครั้ง
[มนุษย์ถูกจำกัดด้วยแรงค์ หากอยากพัฒนาไปแรงค์ถัดไป ต้องฝึกฝนและเรียนรู้ตลอดเวลา แต่ละคนมีความสามารถไม่เท่ากัน จึงใช้เวลาแตกต่างกัน]
เรื่องนั้นใครๆ ก็รู้
เอ๊ะ! เดี๋ยวก่อนนะ ถ้าที่เจ้าหน้าต่างนี่บอกเป็นความจริง แปลว่า [แรงค์ F] ก็พัฒนาได้อีกน่ะสิ
เพียงแต่มันต้องใช้เวลานานกว่าชาวบ้านเขามากกว่ามากๆๆ แค่นั้นเอง
ดูมีความหวังขึ้นมานิดนึง แต่ว่านะ ประวัติศาสตร์มันพิสูจน์มาแล้วอะ ว่าไม่เคยมีใครพัฒนาไป [แรงค์ E] กันได้เลย
ไม่ตายก็พิการกัน ต่อให้ทำได้ ตอนนั้นฉันอาจกลายเป็นรุ่นย่าแล้วก็ได้มั้งแล้วมันจะไปมีประโยชน์อะไรถ้าได้ [แรงค์ E] ตอนแก่
แต่เจ้าหน้าต่างดันข้ามไปอธิบายอีกเรื่องเฉยเลย
[มอนสเตอร์ ถูกจำกัดไม่ให้วิวัฒนาการเมื่ออยู่ในดันเจี้ยน หากอยากวิวัฒนาการ ต้องออกจากดันเจี้ยนและกินจนกว่าจะวิวัฒนาการเป็นอสูร]
[อสูร ถูกจำกัดให้พัฒนาได้ด้วยการกินเท่านั้น ยิ่งกินมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น]
แล้วจะมาบอกฉันทำไมเนี่ย
[คาลิก้า เนฮิว ถูกจำกัดและไม่อาจถูกจำกัดได้ด้วยกฎเดิม]
...??? ฉันมึนตึ้บกับคำอธิบายอะไรของมันก็ไม่รู้
[คาลิก้า เนฮิว – เผ่าพันธุ์ : มนุษย์อสูร]
[เนื่องจากเป็นเผ่าพันธุ์มนุษย์อสูร คาลิก้า เนฮิว สามารถพัฒนาไปในรูปแบบผสมกันจากทั้งสองเผ่าพันธุ์]
"แล้วจะพัฒนาไงอะ"
[ต้องการแกนดันเจี้ยน 0 / 1 เพื่อเปิดใช้งาน]
มันก็ยังยากอยู่ดีอะ นั่นแกนดันเลยนะ
อาวุธฉันยังไม่มีปัญญาซื้อเลย จะเอาอะไรฆ่ามอนสเตอร์ตามทางก่อนไปล้มบอสล่ะ
[ต้องการแกนดันเจี้ยน 0 / 1 เพื่อเปิดใช้งาน]
"..."
เอาเป็นช่างมันละกัน ฉันเมินเจ้าหน้าต่างนี้แล้วหาทางขึ้นไปชั้นบน
แต่การเดินแบกของข้ามชั้นที่โคตรกว้าง เป็นอะไรที่สาหัสสำหรับฉันมาก
ระหว่างทางฉันทิ้งข้าวของไปเยอะเพื่อให้เดินไหว จนสัมภาระแทบไม่เหลือแล้ว
ทำไมรู้สึกว่าแรงกายมันน้อยกว่าเมื่อก่อนจัง เหมือนกับเด็กเล็กยังไงยังงั้นแหละ
ใช้เวลานานพอตัวฉันถึงข้ามชั้นได้สำเร็จ แต่ภาพตรงหน้าฉัน ดันเป็นภาพที่น่าหวาดกลัวมากๆ
ไม่ว่าจะส่องไฟจากตะเกียงไปทางไหน ก็มีแต่อวัยวะกับเลือดสีแดงสดสาดกระจายไปทั่ว
มะ มีมอนสเตอร์เกิดเหรอ!?
แต่จะเป็นไปได้ยังไง ก็แกนดันเจี้ยนมันตายไปแล้ว หลักฐานคือดันเจี้ยนมันมืดสนิท
ฉันรีบเอาผ้าคลุมตะเกียงแล้วถอยกลับมาซ่อนตัวที่หลังก้อนหินในชั้นเดิม
ฉันเพ่งสมาธิไปที่การฟังเสียง เงี่ยหูฟังว่าตัวที่ฆ่าคนพวกนั้นมันยังอยู่แถวนี้ไหม
คำตอบคือความเงียบ
เงียบจนขนลุก
เพราะไม่รู้เวลา ฉันจึงไม่รู้ว่ามันผ่านมานานเท่าไหร่แล้ว
ท้องก็เริ่มหิวจนส่งเสียงประท้วง
ไม่ได้การ ฉันทิ้งพี่เทียร่ากับเอลด้านานไปกว่านี้ไม่ได้แล้ว
ฉันรวบรวมความกล้าอีกครั้ง แล้วออกจากที่ซ่อน
ฉันยืนหยุดนิ่งตรงระหว่างทางขึ้นไปชั้นต่อไปอยู่นาน จนแน่ใจว่าไม่ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหว
ฉันจึงค่อยก้าวขาออกไปอย่างช้าๆ
ใช้เวลานานมาก เพราะต้องหลบชิ้นส่วนอวัยวะไปตลอดทาง
แต่พอผ่านขึ้นไปอีกชั้น กลับไม่เจอภาพน่ากลัวแบบนั้นเลย แต่มีรอยเท้าเปื้อนเลือดที่ไม่ใช่ของมนุษย์ที่เห็นได้ชัด
ฉันเดินไม่ใกล้ไม่ไกลจากรอยเท้านั้น เพราะมันนำฉันขึ้นไปชั้นบน
ถ้าให้เดา สิ่งที่ฆ่าคนพวกนั้น คงขึ้นไปชั้นบนแล้ว
ฉันจึงเดินได้อย่างสบายใจขึ้นนิดนึง
และพอขึ้นมาอีกชั้นได้ ฉันก็เจอภาพน่าสยดสยองแบบชั้นที่แล้ว
แต่จำนวนศพดูเหมือนจะมากกว่าเดิมเป็นเท่าตัวเลย
ฉันเดินอย่างระแวดระวัง เพราะรอยเท้าเปื้อนเลือดมันผสมปนเปกันไปหมด
ที่เหมือนกันคือ รอยเท้าเปื้อนเลือดพวกนี้วิ่งไปในทิศทางเดียวกัน
ทางขึ้นไปชั้นบน
และพอขึ้นไปถึง ฉันก็หยุดอ้วกตัวเองไม่ได้อีกแล้ว
ภาพตรงหน้ามันยิ่งกว่าโรงฆ่าสัตว์ไปแล้ว ไม่มีพื้นตรงไหนไม่มีคราบเลือด แม้แต่บนเพดานหรือกำแพงยังมีศพเละๆ ฝังติดไปทั่ว
กลิ่นคาวเลือดรุนแรงมาก ขนาดเอาผ้าปิดจมูกแล้วยังทนไม่ไหว
แต่ที่ทำให้ฝืนไม่วิ่งกลับไปชั้นเดิม เพราะฉันเห็นทางออกจากดันเจี้ยน
ฉันฝืนอดทนเดินตรงไปที่ทางออกอย่างทุลักทุเล
ระหว่างทางฉันลื่นล้มเพราะเผลอเหยียบชิ้นส่วนศพ ทั้งตัวจึงเลอะเลือดจนดูไม่ได้
พอถึงทางออกฉันก็ส่องตะเกียงมองหารอยเท้าของเจ้าสิ่งที่ฆ่าคนพวกนั้น
เมื่อเห็นว่ารอยเท้ามันไม่ได้วกกลับเข้ามา ฉันถึงค่อยโล่งอกและรีบเดินหนีมาให้ไกลจากดันเจี้ยน เพื่อสูดอากาศบริสุทธิ์
จนฉันใจเย็น ฉันถึงพึ่งนึกได้
ตอนนั้นฉันถูกพาไปที่ชั้น 10 ไม่ใช่เหรอ แต่เท่าที่ขึ้นมา มันแค่ 5 ชั้นเองนะ
คิดยังไงก็คิดไม่ออก ฉันเลยเลิกคิดแล้วตัดสินใจรีบกลับบ้าน
แต่มีอีกอย่างที่ชวนให้อดคิดไม่ได้ เพราะไม่ว่าจะนานขนาดไหน เจ้าหน้าต่างบ้านี่ก็ยังแสดงข้อความแบบเดิมและไม่ยอมหายไปไหนเลย
แต่ก็ต้องขอบคุณมัน เพราะเห็นเจ้าสิ่งแปลกปลอมนี้ตลอดเวลา ฉันถึงยังไม่สติแตกตอนเห็นภาพน่ากลัวพวกนั้น
แต่สุดท้ายก็เกือบสติแตกอยู่ดี
ตามปกติ ถ้าไม่ใช่พวกโจร ไม่ว่าใครก็จะปล่อยผ่านคนแบบฉันไปทันที เพราะเอาไปขายก็ไม่มีใครซื้อ ทาสแรงงานยังเป็นไม่ได้
แต่คราวนี้ขบวนรถม้าถึง 50 คันพร้อมคนคุ้มกันอีกนับไม่ถ้วน ต่างพร้อมใจกันหยุดตรงหน้าฉัน
จากนั้นคนคุ้มกันบางส่วนก็พุ่งเข้าล้อมตัวฉัน พร้อมกับชักอาวุธออกมา