webnovel

ตอนที่ 8 ตื่น

คาลิก้า เนฮิว

"อ๊าาาาาาาาาาาาาาาาาาา!"

ฉันรีบจับบริเวณหัวใจที่โดนมีดแทงจนทะลุ

"เจ็บบบบบบบบบบ... อ๊ะ!? ไม่เจ็บแล้ว?"

ฉันรีบสำรวจร่างกายตัวเอง ก่อนจะพบว่า

ไม่มีทั้งเลือด บาดแผล ไม่โดนมัด แล้วก็ไม่มีใครอยู่เลย เงียบจนวังเวง

ฉันจำทิวทัศน์รอบตัวได้ แสดงว่าฉันยังอยู่ในดันเจี้ยน แตกต่างกันตรงที่มันมืดสนิท ถ้าไม่มีแสงจากตะเกียงที่วางอยู่รอบตัวฉันคงคิดว่าตัวเองตาบอดไปแล้ว

ที่สงสัยที่สุดคือรอบตัวฉัน มีข้าวของสกปรกแถมยังเปื้อนเลือดสดใหม่วางเต็มไปหมด

พอได้กลิ่นคาวเลือดฉันก็นึกถึงความทรงจำแย่ๆ ตอนที่โดนโรจากับทีมของมันทรมานจนเลือดไหลลงคอตลอดเวลา

ข้าวของพวกนั้นมีอาวุธ เสื้อผ้า กระเป๋า แต่ที่มากสุดคือคบเพลิงกับตะเกียง

มันน่าแปลกตรงที่เหมือนมีคนเอาของพวกนี้มาวางไว้ให้ฉันหยิบไปได้เลยงั้นแหละ

แล้วยังจุดตะเกียงให้แสงสว่างรอฉันด้วย

ฉันจึงลองนึกย้อนความทรงจำว่ามันเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้ยังไง

แต่ไม่ว่านึกยังไงก็นึกไม่ออก สิ่งสุดท้ายที่นึกออกคือโรจามันฆ่าฉัน

จริงสิ! ฉันตายไปแล้วนี่นา แล้วทำไมยังรอดอยู่อีกล่ะ

"หืม!"

ไม่ใช่แค่รอดแล้ว ฉันรีบจับใบหน้าของตัวเอง

"มะ ไม่เจ็บแล้ว แผลก็ไม่มี"

ความเจ็บปวดที่เหมือนมีหนอนกัดกินตลอดเวลาได้หายไปแล้ว

แทนที่ด้วยผิวที่เนียนนุ่มและเกลี้ยงเกลาราวกับเด็กทารก

ฉันร้องไห้อีกครั้ง

รอยแผลที่ถูกคนทำร้าย ทั้งชกต่อย เอาไม้ไล่ทุบ เขวี้ยงของใส่ ฟันดาบใส่ เพราะเห็นว่าเราสกปรก เพราะเห็นว่าพวกเราเคยทำผิดทั้งที่พวกเราไม่เคยทำ

ร่องรอยพวกนั้น... มันหายไปหมดแล้ว

"ฮึก ๆ ๆ"

อยากให้สิ่งดีๆ แบบนี้

เกิดขึ้นกับพี่เทียร่าแล้วก็เอลด้าแทนฉันจัง

เมื่อคิดถึงครอบครัว ฉันก็รีบเช็ดน้ำตา ตอนนี้ไม่ใช่เวลามามัวร้องไห้แล้ว

ฉันต้องรีบกลับแล้วเพื่อไม่ให้พี่เทียร่ากับเอลด้าเป็นห่วง

ฉันควานหาเสื้อผ้าที่ดูไซซ์พอดีตัวมาใส่ ถึงมันจะสกปรกและมีเลือดติดอยู่ ฉันก็ไม่รู้สึกอะไร การอยู่ในสลัมมันทำให้ฉันเคยชินกับเรื่องพวกนี้ไปแล้ว

สวมเสร็จก็เอาผ้าสกปรกขาดๆ มาพันปกปิดใบหน้าจนเหลือแค่ส่วนตา

การกลับสลัมโดยที่หน้าตาปกติสมบูรณ์ดี อาจทำให้ฉันตกเป็นเป้าหมายของพวกโจรหรือพ่อค้าทาส

สวมใส่เสร็จก็หากระเป๋าที่ยังพอใช้ได้ เพื่อขนผ้ากลับไป

ถ้าเอาพวกเศษผ้ามาเย็บต่อกัน พวกเราก็จะได้มีผ้าห่มกันคนละผืน ถ้าเหลือก็เอาไปอุดช่องกันลมหนาวได้อีกด้วย

ฉันเอามีดสั้นไปอีกหลายเล่มเท่าที่พอแบกไหว เอาไปใช้ป้องกันตัวกับขายเอาเงินไปซื้ออาหารกับยา

ดาบดูราคาแพงกว่า แต่มันหนักและเด่นเกินไป

อยู่ในสลัมโลภมากจะตกเป็นเป้าง่ายและตายเร็ว ฉันจึงไม่ลังเลที่จะทิ้งดาบในทันที

สุดท้ายก็เก็บตะเกียงดีๆ ไว้ใช้ในบ้านสักอันและถืออีกอันเดินขึ้นไปชั้นบน

ระหว่างที่เดินพร้อมหอบสัมภาระขึ้นไป ฉันก็ตกใจจนเกือบทำตะเกียงหล่น

ก็อยู่ๆ มันมีหน้าต่างสี่เหลี่ยมโปร่งแสงเด้งขึ้นมาตรงหน้าและขึ้นข้อความว่า

[ต้องการแกนดันเจี้ยน 0 / 1 เพื่ออัพเลเวลและเปิดใช้งาน]

"...อะไรเนี่ย!"

ฉันพยายามปัดมือใส่มัน แต่ก็ทะลุผ่านและไม่มีทีท่าว่าจะหายไป

"ต้องการแกนดันเจี้ยน... จะบ้าเรอะ [แรงค์ F] อย่างฉันจะไปมีปัญญาล้มบอสได้ยังไง"

อย่าว่าแต่บอสเลย มอนสเตอร์หน้าดันฉันยังไม่รอดเลยมั้ง

ราวกับจะปฏิเสธฉัน ข้อความเก่าหายไป แทนที่ด้วยข้อความใหม่

[คาลิก้า เนฮิว - สถานะ : พึ่งเกิด]

"...งงกว่าเดิมอีก"

แล้วทำไมฉันต้องมาเถียงกับมันด้วยเนี่ย พอจะเดินต่อ ข้อความเก่าก็ถูกแทนที่อีกครั้ง

[มนุษย์ถูกจำกัดด้วยแรงค์ หากอยากพัฒนาไปแรงค์ถัดไป ต้องฝึกฝนและเรียนรู้ตลอดเวลา แต่ละคนมีความสามารถไม่เท่ากัน จึงใช้เวลาแตกต่างกัน]

เรื่องนั้นใครๆ ก็รู้

เอ๊ะ! เดี๋ยวก่อนนะ ถ้าที่เจ้าหน้าต่างนี่บอกเป็นความจริง แปลว่า [แรงค์ F] ก็พัฒนาได้อีกน่ะสิ

เพียงแต่มันต้องใช้เวลานานกว่าชาวบ้านเขามากกว่ามากๆๆ แค่นั้นเอง

ดูมีความหวังขึ้นมานิดนึง แต่ว่านะ ประวัติศาสตร์มันพิสูจน์มาแล้วอะ ว่าไม่เคยมีใครพัฒนาไป [แรงค์ E] กันได้เลย

ไม่ตายก็พิการกัน ต่อให้ทำได้ ตอนนั้นฉันอาจกลายเป็นรุ่นย่าแล้วก็ได้มั้งแล้วมันจะไปมีประโยชน์อะไรถ้าได้ [แรงค์ E] ตอนแก่

แต่เจ้าหน้าต่างดันข้ามไปอธิบายอีกเรื่องเฉยเลย

[มอนสเตอร์ ถูกจำกัดไม่ให้วิวัฒนาการเมื่ออยู่ในดันเจี้ยน หากอยากวิวัฒนาการ ต้องออกจากดันเจี้ยนและกินจนกว่าจะวิวัฒนาการเป็นอสูร]

[อสูร ถูกจำกัดให้พัฒนาได้ด้วยการกินเท่านั้น ยิ่งกินมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น]

แล้วจะมาบอกฉันทำไมเนี่ย

[คาลิก้า เนฮิว ถูกจำกัดและไม่อาจถูกจำกัดได้ด้วยกฎเดิม]

...??? ฉันมึนตึ้บกับคำอธิบายอะไรของมันก็ไม่รู้

[คาลิก้า เนฮิว – เผ่าพันธุ์ : มนุษย์อสูร]

[เนื่องจากเป็นเผ่าพันธุ์มนุษย์อสูร คาลิก้า เนฮิว สามารถพัฒนาไปในรูปแบบผสมกันจากทั้งสองเผ่าพันธุ์]

"แล้วจะพัฒนาไงอะ"

[ต้องการแกนดันเจี้ยน 0 / 1 เพื่อเปิดใช้งาน]

มันก็ยังยากอยู่ดีอะ นั่นแกนดันเลยนะ

อาวุธฉันยังไม่มีปัญญาซื้อเลย จะเอาอะไรฆ่ามอนสเตอร์ตามทางก่อนไปล้มบอสล่ะ

[ต้องการแกนดันเจี้ยน 0 / 1 เพื่อเปิดใช้งาน]

"..."

เอาเป็นช่างมันละกัน ฉันเมินเจ้าหน้าต่างนี้แล้วหาทางขึ้นไปชั้นบน

แต่การเดินแบกของข้ามชั้นที่โคตรกว้าง เป็นอะไรที่สาหัสสำหรับฉันมาก

ระหว่างทางฉันทิ้งข้าวของไปเยอะเพื่อให้เดินไหว จนสัมภาระแทบไม่เหลือแล้ว

ทำไมรู้สึกว่าแรงกายมันน้อยกว่าเมื่อก่อนจัง เหมือนกับเด็กเล็กยังไงยังงั้นแหละ

ใช้เวลานานพอตัวฉันถึงข้ามชั้นได้สำเร็จ แต่ภาพตรงหน้าฉัน ดันเป็นภาพที่น่าหวาดกลัวมากๆ

ไม่ว่าจะส่องไฟจากตะเกียงไปทางไหน ก็มีแต่อวัยวะกับเลือดสีแดงสดสาดกระจายไปทั่ว

มะ มีมอนสเตอร์เกิดเหรอ!?

แต่จะเป็นไปได้ยังไง ก็แกนดันเจี้ยนมันตายไปแล้ว หลักฐานคือดันเจี้ยนมันมืดสนิท

ฉันรีบเอาผ้าคลุมตะเกียงแล้วถอยกลับมาซ่อนตัวที่หลังก้อนหินในชั้นเดิม

ฉันเพ่งสมาธิไปที่การฟังเสียง เงี่ยหูฟังว่าตัวที่ฆ่าคนพวกนั้นมันยังอยู่แถวนี้ไหม

คำตอบคือความเงียบ

เงียบจนขนลุก

เพราะไม่รู้เวลา ฉันจึงไม่รู้ว่ามันผ่านมานานเท่าไหร่แล้ว

ท้องก็เริ่มหิวจนส่งเสียงประท้วง

ไม่ได้การ ฉันทิ้งพี่เทียร่ากับเอลด้านานไปกว่านี้ไม่ได้แล้ว

ฉันรวบรวมความกล้าอีกครั้ง แล้วออกจากที่ซ่อน

ฉันยืนหยุดนิ่งตรงระหว่างทางขึ้นไปชั้นต่อไปอยู่นาน จนแน่ใจว่าไม่ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหว

ฉันจึงค่อยก้าวขาออกไปอย่างช้าๆ

ใช้เวลานานมาก เพราะต้องหลบชิ้นส่วนอวัยวะไปตลอดทาง

แต่พอผ่านขึ้นไปอีกชั้น กลับไม่เจอภาพน่ากลัวแบบนั้นเลย แต่มีรอยเท้าเปื้อนเลือดที่ไม่ใช่ของมนุษย์ที่เห็นได้ชัด

ฉันเดินไม่ใกล้ไม่ไกลจากรอยเท้านั้น เพราะมันนำฉันขึ้นไปชั้นบน

ถ้าให้เดา สิ่งที่ฆ่าคนพวกนั้น คงขึ้นไปชั้นบนแล้ว

ฉันจึงเดินได้อย่างสบายใจขึ้นนิดนึง

และพอขึ้นมาอีกชั้นได้ ฉันก็เจอภาพน่าสยดสยองแบบชั้นที่แล้ว

แต่จำนวนศพดูเหมือนจะมากกว่าเดิมเป็นเท่าตัวเลย

ฉันเดินอย่างระแวดระวัง เพราะรอยเท้าเปื้อนเลือดมันผสมปนเปกันไปหมด

ที่เหมือนกันคือ รอยเท้าเปื้อนเลือดพวกนี้วิ่งไปในทิศทางเดียวกัน

ทางขึ้นไปชั้นบน

และพอขึ้นไปถึง ฉันก็หยุดอ้วกตัวเองไม่ได้อีกแล้ว

ภาพตรงหน้ามันยิ่งกว่าโรงฆ่าสัตว์ไปแล้ว ไม่มีพื้นตรงไหนไม่มีคราบเลือด แม้แต่บนเพดานหรือกำแพงยังมีศพเละๆ ฝังติดไปทั่ว

กลิ่นคาวเลือดรุนแรงมาก ขนาดเอาผ้าปิดจมูกแล้วยังทนไม่ไหว

แต่ที่ทำให้ฝืนไม่วิ่งกลับไปชั้นเดิม เพราะฉันเห็นทางออกจากดันเจี้ยน

ฉันฝืนอดทนเดินตรงไปที่ทางออกอย่างทุลักทุเล

ระหว่างทางฉันลื่นล้มเพราะเผลอเหยียบชิ้นส่วนศพ ทั้งตัวจึงเลอะเลือดจนดูไม่ได้

พอถึงทางออกฉันก็ส่องตะเกียงมองหารอยเท้าของเจ้าสิ่งที่ฆ่าคนพวกนั้น

เมื่อเห็นว่ารอยเท้ามันไม่ได้วกกลับเข้ามา ฉันถึงค่อยโล่งอกและรีบเดินหนีมาให้ไกลจากดันเจี้ยน เพื่อสูดอากาศบริสุทธิ์

จนฉันใจเย็น ฉันถึงพึ่งนึกได้

ตอนนั้นฉันถูกพาไปที่ชั้น 10 ไม่ใช่เหรอ แต่เท่าที่ขึ้นมา มันแค่ 5 ชั้นเองนะ

คิดยังไงก็คิดไม่ออก ฉันเลยเลิกคิดแล้วตัดสินใจรีบกลับบ้าน

แต่มีอีกอย่างที่ชวนให้อดคิดไม่ได้ เพราะไม่ว่าจะนานขนาดไหน เจ้าหน้าต่างบ้านี่ก็ยังแสดงข้อความแบบเดิมและไม่ยอมหายไปไหนเลย

แต่ก็ต้องขอบคุณมัน เพราะเห็นเจ้าสิ่งแปลกปลอมนี้ตลอดเวลา ฉันถึงยังไม่สติแตกตอนเห็นภาพน่ากลัวพวกนั้น

แต่สุดท้ายก็เกือบสติแตกอยู่ดี

ตามปกติ ถ้าไม่ใช่พวกโจร ไม่ว่าใครก็จะปล่อยผ่านคนแบบฉันไปทันที เพราะเอาไปขายก็ไม่มีใครซื้อ ทาสแรงงานยังเป็นไม่ได้

แต่คราวนี้ขบวนรถม้าถึง 50 คันพร้อมคนคุ้มกันอีกนับไม่ถ้วน ต่างพร้อมใจกันหยุดตรงหน้าฉัน

จากนั้นคนคุ้มกันบางส่วนก็พุ่งเข้าล้อมตัวฉัน พร้อมกับชักอาวุธออกมา