webnovel

ตอนที่ 11 ตัดสินใจ

บีบี ฝ่ายดูแลและรับรองแขก กิลด์ [เขี้ยวประกายแสง]

ท่านไจเกียกลับมาในสภาพเลือดท่วมตัว จิตสังหารที่ปล่อยออกมารุนแรงจนทุกคนที่หลับถึงกับสะดุ้งตื่นกันขึ้นมา

ท่านไจเกียออกคำสั่งให้ทีมหลักไปเก็บกวาดดันเจี้ยนเกิดใหม่

แสดงว่ามีดหายไปแล้วแน่ๆ ท่านถึงได้คลั่งขนาดนี้

ตอนแรกฉันก็คิดว่าจบเพียงแค่สั่งทีมหลัก แต่ท่านไจเกียเดินมาหาฉันและออกคำสั่งให้ไปรับตัวหญิงสาวคนนึงที่ดันเจี้ยนนั้นมา

ท่านไจเกียยังย้ำอีกว่าจงปฏิบัติกับเธอในฐานะแขกคนสำคัญ ไม่ว่าแขกคนนั้นจะร้องขออะไรต้องจัดการให้แขกคนนั้นได้ทุกอย่าง

หลังบอกลักษณะหน้าตาและรูปร่างเสร็จ ท่านไจเกียก็เร่งรีบออกจากกิลด์ไป

สงสารเรเชลเลยแฮะ

ทีมหลักของท่านไจเกียเตรียมตัวกันอย่างรวดเร็ว ไม่นานทุกคนก็ขึ้นรถม้าพร้อมออกตัวในทัน

กลายเป็นฉันที่ช้ากว่าใครเพื่อนทั้งที่ยังไม่ถึง 5 นาทีด้วยซ้ำ ฉันรีบแต่งตัวแล้วขึ้นรถม้าสำหรับรับรองแขก โดยมีทีมหลักคอยคุ้มกันหน้าหลังอีกที

ความเร็วในการไปถึงของทีมหลักกับทีมรองต่างกันอย่างสิ้นเชิง ทั้งม้าพันธ์ดีกว่า ตัวรถเบาและคล่องตัวกว่า ล้อก็แข็งแรงทนทานทำให้ใช้ความเร็วได้เต็มที่แม้จะเจอถนนชำรุด

เมื่อเห็นดันเจี้ยนจากที่ไกลลิบ ทุกคนในทีมหลักต่างเตรียมตัวพร้อมกระโดดลงกันแล้ว

แต่ตอนที่ใกล้ถึงทางเข้า ฉันได้ยินสมาชิกในทีมหลักคุยกันเรื่องรถม้าที่ขับสวนเราไม่ไกลจากทางเข้าดันเจี้ยน

ฉันจึงเปิดหน้าต่างรถม้าออกดู เมื่อเห็นตราบนรถม้าถึงได้รู้ว่าเป็นของกิลด์ [โซ่อัคคี]

ก็ไม่แปลกหรอกที่จะเจอพวกนี้ เพราะเส้นทางนี้เป็นทางผ่านไปล่าทาสในเขตชายแดนของพวกมันเป็นประจำ

ที่แปลกคือพวกมันหันหัวกลับเข้าเมืองทั้งที่กำลังจะเดินทางไปล่าทาส

หรือพวกนั้นอาจเห็นสิ่งท่านไจเกียทำในดันเจี้ยนแล้วคิดจะเล่นงานกิลด์เราด้วยสาเหตุนั้น

หัวหน้าของทีมหลักจึงสั่งการให้รถม้าเข้าไปขวางเส้นทางไว้และส่งบางส่วนมุ่งไปเก็บกวาดที่ดันเจี้ยนก่อน

ถ้าเป็นกิลด์ที่ระดับต่ำกว่านี้ ฝ่ายเราคงเข้าโจมตีแล้วจับมาสอบสวนไปแล้ว

แต่กับกิลด์ที่มีราชาหนุนหลัง ทีมหลักเลยทำได้แค่กระจายตัวปิดล้อมและให้ฉันเข้าไปคุยเพื่อสืบความจริงเสียก่อน

หากอีกฝ่ายคิดจะเล่นงานกิลด์ของท่านไจเกีย ทางเราก็พร้อมปะทะทันที

เมื่อรถม้าถูกหยุด ผู้คุ้มกันของอีกฝ่ายก็ชักอาวุธเตรียมพร้อม

บรรยากาศพร้อมฆ่าฟันกันได้ทุกเมื่อ รอเพียงสัญญาณของหัวหน้าฝ่ายตัวเองเท่านั้น

และจากนี้ก็คือหน้าที่ฉัน ฉันเดินยกมือแสดงให้เห็นว่าไม่มีอาวุธและเดินเข้าไปคนเดียวเพื่อให้พวกนั้นรับรู้ว่าฉันมาเพื่อเจรจา

"สวัสดีตอนกลางคืนนะคะ ดิฉันบีบีจากกิลด์ [เขี้ยวประกายแสง] ค่ะ พอดีทางเรามีข้อสงสัยเกี่ยวกับการที่พวกท่านอยู่ใกล้กับดันเจี้ยนที่กิลด์เราเป็นเจ้าของแล้ว เลยอยากสอบถามสักเล็กน้อยเพื่อไม่ให้เกิดความบาดหมางระหว่างพวกเราน่ะค่ะ ไม่ทราบว่าท่านสามารถแจ้งให้ผู้นำของท่านสละเวลาอันมีค่ามาคุยกับดิฉันสักเล็กน้อยได้ไหมคะ"

หัวหน้าคนคุ้มกันของฝ่ายนั้นที่มีท่าทีคุกคามในตอนแรก จึงผ่อนคลายลงเล็กน้อย

"รอสักครู่ เดี๋ยวผมจะไปแจ้งให้"

"ขอบคุณมากเลยค่ะ"

ชายคนนั้นเดินไปหยุดตรงหน้ารถม้าที่หรูหราที่สุดแล้วพูดอะไรบางอย่าง

จากนั้นหัวหน้ากิลด์หรืออิสทัฟก็เดินลงมาหาฉัน ด้วยท่าทางอารมณ์เสียสุดๆ

"ไม่ทราบว่ามีข้อสงสัยอะไรเหรอครับคุณบีบี"

"เกรงใจกันไปแล้วค่ะท่านอิสทัฟ เรียกชื่อฉันเฉยๆ ก็ได้ค่ะ ดิฉันไม่คู่ควรให้ท่านสุภาพขนาดนั้น"

"เข้าเรื่องเถอะครับ"

"..."

ดูท่าจะมีอะไรสักอย่าง ก็ขอให้ไม่เกี่ยวข้องกับเราก็แล้วกัน

"ไม่ทราบว่ามาทำอะไรแถวดันเจี้ยนของเราเหรอคะ"

"ก็แค่ทางผ่าน พวกคุณก็ทราบดีว่ากิลด์ของพวกเราไม่สนใจลงดันเจี้ยนกันอยู่แล้ว งานเสี่ยงตายอย่างไร้ค่าแบบนั้นกิลด์เราไม่ทำกันอยู่แล้ว"

จบคำพูดนั้น บรรยากาศก็ตึงเครียดขึ้นไปอีกขั้น ก็ไม่รู้หรอกว่าทำไมถึงอารมณ์เสียได้ขนาดนี้ แต่มันแปลกมากเลยแฮะ

จากที่ได้ยินชื่อเสียงมา เจ้าอิสทัฟมันเก็บซ่อนอารมณ์เก่งไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมคราวนี้ถึงหลุดออกมาล่ะ

ถ้าให้เดา คงเป็นเรื่องสำคัญไม่ก็ใหญ่มากของมันแน่ๆ แบบที่ไม่อยากให้พวกเรารับรู้

"เข้าใจดีเลยค่ะท่านอิสทัฟ การลงดันเจี้ยนคงไม่เหมาะกับกิลด์ที่ไร้ประสบการณ์ของท่านจริงๆ ทางเราเลยคิดว่าท่านแอบเข้าไปดูมาน่ะค่ะ ว่านักผจญภัยของจริงเขาสู้กันยังไง"

"พูดเหมือนอยากให้ทางเราเข้าไปดูจังเลยนะครับ จะนำทางไปตอนนี้เลยไหมล่ะ"

"อุ๊ย หามิได้หรอกค่ะ ดิฉันคิดว่าท่านมีเรื่องสำคัญกว่าที่ต้องจัดการ แล้วเผอิญทางเรามาขัดจังหวะเข้าพอดี"

"ก็รู้ตัวดีนี่ครับ ว่าเข้ามา...เรื่องของคนอื่น"

"แหม คนกันเองค่ะ ช่วยได้ก็ช่วย เพราะงั้นช่วยแสดงเรื่องสำคัญให้เราทราบหน่อยสิคะ เผื่อเราจะช่วยท่านได้"

"ไปจัดการธุระของตัวเองดีกว่านะครับ ผมไม่มีรสนิยมชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านเหมือนพวกคุณ"

และในจังหวะที่ฉันจะตอกคำพูดเหน็บแนมกลับไป รถม้าหรูหราอีกคันก็เกิดเรื่องขึ้น

ปึง!

มีสาวงามแต่งตัวดูดีลงมาจากรถม้าแล้วมองมาทางพวกเราด้วยสายตาขอความช่วยเหลือ

จากนั้นก็มีสองสาวใช้วิ่งลงจากรถม้าอย่างรีบร้อนมาอยู่ข้างกายสาวงามคนนั้นพร้อมกับช่วยห่มเสื้อคลุมขนสัตว์อย่างดีให้

"นายหญิงรีบกลับเข้าไปข้างในกันเถอะค่ะ อยู่ตรงนี้ท่านอาจไม่ปลอดภัย"

"ใช่ค่ะนายหญิง อากาศหนาวแบบนี้เดี๋ยวท่านจะไม่สบายเอานะคะ ที่นี่ปล่อยให้นายท่านจัดการเองเถอะค่ะ"

พวกเรายังคงตะลึงในความงามของเธอ แม้แต่ผู้คุ้มกันของอิสทัฟยังมองกันตาค้าง

แสดงให้เห็นว่าเธอไม่ได้นั่งมากับขบวนนี้ตั้งแต่แรก

และเป็นอิสทัฟที่ขยับก่อนใคร มันรีบเดินเข้าไปบังตัวเธอจากสายตาของพวกเรา

"คาลิก้ากลับไปข้างในรถม้าเถอะครับ ในนั้นทั้งอบอุ่นทั้งยังสบาย ผมทนไม่ได้ที่เห็นผิวสวยๆ ของเธอจะถูกหิมะกัดจนแดง"

อิสทัพที่ไม่มีวี่แววเรื่องการดูตัวหรือแต่งงานเพราะชื่อเสียงความโหดร้ายของมัน กำลังดูแลผู้หญิงอย่าทะนุถนอมเนี่ยนะ

แล้วฉันก็ปะติดปะต่อเรื่องราวได้

ถึงสภาพจะต่างกับที่ท่านไจเกียบอกเพราะตอนนี้เธอดูสะอาดตั้งแต่หัวจรดเท้า ชุดที่ใส่ก็ระดับคนมีเงินเขาใส่กัน

แต่รูปร่างหน้าตาและเรือนผมสีทอง ตรงกับที่ท่านไจเกียบอกทุกอย่างไม่มีผิด

ไอ้เจ้าอิสทัฟ มันตั้งใจซ่อนเธอจากท่านไจเกีย

ฉันส่งสัญญาณมือให้นักเวทในทีมดึงตัวฉันกลับด้วยเวทลม

จากนั้นทั้งสองฝ่ายก็เตรียมต่อสู้ในทันที ทีมหลักกระจายตัวเข้าล้อม อาวุธของแต่ละฝ่ายหันหน้าเข้าหากัน

"เธอคนนั้นคือแขกคนสำคัญของท่านไจเกีย เดี๋ยวทางเราจะดูแลต่อเอง กรุณาปล่อยตัวเธอมาด้วยค่ะ"

จบคำพูดของฉัน ทุกคนในทีมจึงให้ความสำคัญกับการชิงตัวท่านคาลิก้ามากกว่าการฆ่าอีกฝ่ายในทันที

"พูดให้มันดีๆ หน่อย ฝ่ายที่จะลักพาตัวน่าจะเป็นฝ่ายเธอมากกว่านะ เพราะคาลิก้าเป็นคู่หมั้นของผม"

"ขอหลักฐานยืนยันด้วยค่ะ แต่คงไม่มีสินะคะ"

"เดี๋ยวเธอก็เป็นแล้ว ใช่มั้ยครับคาลิก้า"

ก่อนที่คาลิก้าจะพูด ฉันก็ชิงพูดตัดหน้าซะก่อน

"ท่านคาลิก้า ไม่ว่าท่านจะโดนข่มขู่ด้วยเรื่องอะไร เพียงแค่เอ่ยออกมา เราจะทำให้คำขู่นั้นไร้ผลทันที"

"หัดใช้สมองประเมินผลที่ตามมาจากการเป็นศัตรูกับกิลด์ [โซ่อัคคี] ซะบ้างนะครับ"

"ก็ไม่เห็นจะมีปัญหาอะไรนี่คะ กิลด์กระจอกแบบนั้นเทียบ กิลด์ [เขี้ยวประกายแสง] ได้ด้วยเหรอคะ"

"คาลิก้ารีบขึ้นรถเถอะครับ ผมไม่อยากให้เธอเห็นภาพน่ากลัว"

"อุ๊ย น่ากลัวจังเลยเนอะ"

ฉันพูดกวนประสาทมัน ก่อนหันไปนอบน้อมกับท่านคาลิก้า

"ท่านคาลิก้าคะ หลบขึ้นไปบนรถก่อนก็ได้นะคะ เดี๋ยวจบแล้วดิฉันจะไปรับท่านเองค่ะ"

เท่านี้การเจรจาก็ล้มเหลว

ฉันกางมือออกแล้วใช้สกิลเรียกเส้นด้ายออกมาจากปลายนิ้วทั้งห้า

ส่วนเจ้าอิสทัฟมันเรียกโซ่สีดำออกมาจากทั่วร่างกาย

คนที่เหลือต่างฝ่ายต่างเรียกใช้อาวุธ สกิลหรือเวทมนตร์ที่ตนถนัดออกมาในทันที และเล็งว่าจะโจมตีใคร

รอเพียงสัญญาณสุดท้าย คือ ท่านคาลิก้าขึ้นไปหลบบนรถ นั่นจะเป็นพื้นที่ปลอดภัยเพียงหนึ่งเดียวที่ทั้งสองฝ่ายจะไม่เข้าไปแตะต้อง

*****

คาลิก้า เนฮิว

ทั้งที่รอดตายจากกิลด์ [เขี้ยวประกายแสง] แล้ว

แต่ยังมาเจอพ่อค้าทาสที่อยากได้ฉันไปเป็นภรรยาซะงั้น

ข้อเสนอฟังดูดีมาก เพราะมันสามารถเปลี่ยนชีวิตครอบครัวฉันได้เลย ไม่ต้องเสี่ยงตาย ไม่ต้องทำงาน ก็มีข้าวกินพร้อมที่ซุกหัวนอน แถมยังมีคนมาปรนนิบัติรับใช้อีก

แต่ตอนที่มันเอาพี่กับน้องฉันมาขู่ ในใจฉันก็รังเกียจเจ้าอิสทัฟคนนี้ไปแล้ว

ใครจะรับประกันว่าหลังมันได้สิ่งที่ต้องการแล้ว พี่กับน้องฉันจะอยู่อย่างปลอดภัย

แล้วถ้าวันนึงฉันขัดขืนหรือทำอะไรให้มันไม่พอใจ มันก็คงเอาพี่กับน้องฉันมาขู่อีก

ฉันไม่รู้ว่ามันวางแผนอะไรไว้ แต่ถ้าจะรักใครสักคน คุณก็ควรรักครอบครัวของเค้าด้วยไม่ใช่เหรอ

ทำแบบนี้ใครจะไปอยากแต่งด้วย เพราะงั้นยังไงก็ไม่เอา

ฟังดูดีนะ แต่ดันทำจริงไม่ได้

ฉันมันไร้พลังเกินไป จึงยอมตามสาวใช้ขึ้นรถอย่างว่าง่ายอีกแล้ว

เหมือนวัวที่ถูกจูงจมูก เหมือนหมาที่โดนล่ามปลอกคอ ไม่มีอิสระในการตัดสินใจ

ข้างในรถม้าทำให้ฉันแปลกใจไม่หยุด เพราะมันกว้างเท่ากับห้องใหญ่ๆ ห้องนึงเลย นี่คือเวทมนตร์มิติที่เคยได้ยินสินะ

ตอนที่ฉันยังเหม่อลอยมองไปรอบตัว สาวใช้ทั้งสองคนก็เข้ามาถอดเสื้อฉันไปทิ้ง จากนั้นก็ใช้ไอเทมกำจัดคราบสกปรกตามตัว

ก่อนจะใช้ผ้าที่ทั้งนุ่มและสะอาดชุบน้ำอุ่นผสมกลิ่นหอมที่สองคนนั้นคะยั้นคะยอให้ฉันเลือก ฉันเลยเลือกกลิ่นที่ชวนผ่อนคลาย ถึงจะทำใจเลือกอยู่นานเพราะขวดมันดูแพงมาก

ถึงจะบอกกับพวกเธอไปแล้วว่าฉันเช็ดเองได้ แต่พวกเธอยืนกรานว่าจะทำ ฉันเลยต้องปล่อยให้ทั้งสองคนเช็ดล้างทำความสะอาดทุกซอกทุกมุม

ตอนที่โดนผ้านุ่มๆ ชุ่มน้ำอุ่นหมาดๆ ถูตัวนั้น ฉันรู้สึกสบายอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน มันชะล้างทั้งคราบสกปรกและจิตใจจนรู้สึกผ่อนคลายราวกับได้ขึ้นสวรรค์

หลังจากเตรียมน้ำอุ่นกลิ่นหอมในอ่างจนเต็ม ทั้งคู่ก็พาฉันลงไปแช่ตัว คนนึงขัดถูอีกคนนวดตามจุดต่างๆ

ชั่วชีวิตนี้ไม่เคยคิดว่าจะได้อาบน้ำอุ่นในฤดูหนาวแบบนี้เลย อุปกรณ์เวทที่ปล่อยน้ำอุ่นคงแพงมากแน่ๆ

ระหว่างปรนนิบัติ ทั้งสองคนเอ่ยชมรูปร่างกับผิวของฉันไม่ขาดปาก

ฉันก็แปลกใจในร่างกายของตัวเองเหมือนกัน มันราวกับฉันอยู่ในร่างของคนอื่นยังไงยังงั้นแหละ สีผมก็ไม่ใช่ ความสูงยาวของลำตัวแขนขาก็ไม่เหมือน

แต่แปลกตรงที่ฉันเคยชินกับมัน ไม่มีเคลื่อนไหวสะดุดตรงไหนเลย

ยิ่งตกใจหนักเข้าไปอีก ตอนที่ได้เห็นใบหน้ากับสีตาตัวเองบนผิวน้ำ มันดูสวยซะจนฉันเองยังหลงใหลเลย

ระหว่างอาบ ทั้งสองคนพูดกับฉันว่าถ้าพอใจกับการปรนนิบัติของพวกเธอ ก็ให้ฉันพิจารณารับพวกเธอเป็นสาวใช้ส่วนตัว

เพราะอยู่ในสลัมมานาน ฉันจึงมองออกจากแววตา ท่าทางและน้ำเสียงประจบของพวกเธอ

ทั้งสองคนไม่ได้อยากดูแลฉันจากใจจริง แต่แค่อยากเกาะฉันเพื่อให้ตัวเองสบายไปด้วย

ตำแหน่งสาวใช้ส่วนตัวของนายหญิงแห่งตระกูลพ่อค้าทาส คงมีอำนาจพอตัวเลย

ฉันจึงทำเพียงพยักหน้าง่ายๆ

หลังอาบเสร็จ ฉันก็ต้องจำใจปล่อยให้พวกเธอเช็ดตัวจนแห้ง เพราะพวกเธอไม่ยอมให้ฉันทำเองอีกแล้ว

จะว่าไปคงมีแค่ฉันที่เห็นหน้าต่างโปร่งแสงนี่สินะ เพราะไม่มีใครมองหรือเอ่ยถึงมันเลย แม้แต่เจ้าอิสทัฟ

หลังเช็ดตัวเสร็จ ทั้งสองก็พาฉันไปแต่งตัว

ทั้งคู่บอกว่าท่านอิสทัฟเตรียมเสื้อผ้ากับชุดชั้นในของผู้หญิงไว้ทุกไซซ์เวลาออกไปข้างนอก

เผื่อเจอหญิงสาวที่ถูกใจอยากได้เป็นภรรยา แต่ฐานะต่างกันอย่างเป็นทาสหรือคนจน จะได้จับเปลี่ยนเป็นชุดสวยๆ พวกนี้

เกือบเข้าใจผิดว่าเจ้าอิสทัฟมีงานอดิเรกแปลกๆ ไปซะแล้ว

สาวใช้ไม่ปล่อยให้ฉันทำอะไรแล้วคอยสวมทุกชิ้นให้ฉันอย่างชำนาญ

ครั้งแรกอีกแล้วที่ได้สวมใส่ชุดชั้นใน มันทั้งนุ่มกระชับและอุ่นสบาย ต่างกับความโล่งโจ้งตลอดเวลาที่ผ่านมาที่สวมแค่เสื้อยาวถึงเข่าแค่ตัวเดียว

แถมลายยังน่ารักด้วย อยากเอาไปทำผ้าเช็ดหน้าแทนเลย

ส่วนชุดเดรสที่สวมก็เป็นผ้าเนื้อนุ่มอย่างดี การตกแต่งกับลวดลายก็สวยจนไม่กล้าขยับตัวแรงๆ เพราะกลัวทำพัง

ไม่มีฤดูหนาวไหน อบอุ่นขนาดนี้มาก่อนเลยในชีวิต

อยากให้พี่เทียร่ากับเอลด้าได้ใส่บ้างจัง น่าจะหลับสบายทั้งคืนแน่

...

โอกาสพลิกชีวิตความเป็นอยู่แบบง่ายๆ ไม่ต้องไปเสี่ยงตายด้วยมาอยู่ตรงหน้าแล้วนี่ไง

แม้จะไม่อยาก แต่คงต้องยอมแต่งสินะ อย่างน้อยความเป็นอยู่พี่เทียร่ากับเอลด้าจะได้ดีขึ้น

ไม่ต้องกังวลเรื่องอาหาร ยารักษาหรือระแวงผู้คนรอบตัว ไม่ต้องทนเห็นแววตาทุกข์ใจของพี่เทียร่ากับเอลด้าทุกครั้งที่ฉันต้องออกไปหางานทำ

หลังแต่งงานแล้ว ตำแหน่งนายหญิงคงสั่งการอะไรได้บ้างแหละมั้ง ฉันค่อยวางแผนให้พวกเธอสองคนหลบหนีไปก็ได้นี่เนอะ

ถ้าไม่สำเร็จก็จะใช้ตัวเองขู่จะฆ่าตัวตาย ถ้าอิสทัฟหลงฉันจริง คงยอมปล่อยพวกเธอไป

ฉันคงเกิดมาเพื่อถูกคนอื่นใช้งานอยู่แล้วมั้ง

งั้นก็ยอมถูกใช้แล้วใช้ประโยชน์กลับบ้างแล้วกัน

ถึงจะเสียดายสิ่งที่เจ้าหน้าต่างตรงหน้านี้บอกก็เถอะ แต่ให้คนไร้พลังอย่างฉันไปเอาแกนดันเจี้ยนนี่ เป็นไปไม่ได้หรอก

ขนาดแค่กระต่ายดุสมัยที่ยังมีแรงมากกว่านี้ฉันยังไม่มีปัญญาจัดการเลย

"นายหญิงคะ เตียงพร้อมใช้งานแล้ว เชิญขึ้นไปพักผ่อนได้เลยค่ะ"

"หลับได้อย่างสบายใจเลยนะคะนายหญิง พวกเราจะคอยดูแลอยู่ข้างๆ ท่านเอง"

ฉันเดินไปหยุดตรงปลายเตียง เอื้อมมือไปสัมผัสกับฟูกที่ปูด้วยผ้านวมอย่างดี

มือจมลงไปอย่างง่ายดาย ให้ความรู้สึกนุ่มละมุนเหมือนก้อนเมฆเลย

ฉันถูกมันดึงดูดจนคลานขึ้นไปอย่างเชื่องๆ เหมือนลูกแมว

อาห์ ~ นุ่มสบายมากเลย ~

ฉันค่อยๆ วางหัวลงบนหมอนอย่างมีความสุข

แต่ทันใดนั้นเอง

"ไม่ทราบว่ามีข้อสงสัยอะไรเหรอครับคุณบีบี"

ประโยคที่แฝงความกังวล ฉันจึงรีบลุกขึ้นมานั่ง ไม่นึกเลยว่าพวกเธอสองคนจะรีบเอาหมอนมาวางเพิ่มเพื่อให้ฉันเอนกายนั่งพิงได้อย่างสบาย

เรื่องนั้นช่างมันก่อน ฉันพยายามเงี่ยหูฟังบทสนทนาของอิสทัฟกับอีกคนที่เป็นผู้หญิง

โชคดีที่สาวใช้ทั้งสองก็เงียบตามเพราะรู้ว่าฉันกำลังแอบฟังอยู่ แถมยังทำเป็นหันไปจัดอย่างอื่นอย่างรู้งาน

สุดยอดสาวใช้เลย

ฉันจึงได้ยินทุกอย่างที่สองคนนั้นพูด และสรุปได้ว่าพวกนั้นอาจจะช่วยฉันจากเจ้าอิสทัฟได้

ฉันแกล้งลงจากเตียงอย่างเนิบช้า แต่พอเท้าแตะพื้นครบทั้งสองข้าง

ฉันก็ออกวิ่ง ผลักประตูแล้วก้าวลงไป

แล้วหันไปมองอีกฝ่ายด้วยแววตาขอความช่วยเหลือ