webnovel

ONMYOJI องเมียวจิ

แนะนำตัวละคร อวี้ อันฉี (อัลฟ่า) (184 ซม. / 74 กก.) นักเรียนแลกเปลี่ยนจากจีนที่ต้องมาอาศัยอยู่กับตระกูลอาคาวะ ถูกคุณปู่ (อาคาวะคนปู่บังคับให้เรียกเพื่อความสนิทสนม) ฝากฝังให้ต้องไปอยู่ภายใต้การดูแลของ ชิโนบุ และ แบล็ก อาคาวะ ชิโนบุ (182 ซม. / 67 กก.) ทายาทตระกูลอาคาวะที่มีชื่อเสียงเป็นตระกูลใหญ่อันดับต้น ๆ ในเกียวโต เพราะชีวิตผูกพันอยู่กับเรื่องภูตผีมาตั้งแต่เด็ก เลยไม่ค่อยจะกลัวอะไรเหมือนคนอื่นเขาสักเท่าไร อาคาวะ แบล็ก (179 ซม. / 72 กก.) เด็กหนุ่มขี้เล่นอารมณ์ดีที่ตัวติดกับชิโนบุตลอดเวลา เป็นคนที่ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ไหนก็ยังยิ้มได้ ยกเว้นเวลาที่โกรธมากจริง ๆ เจ้าตัวมักจะคอยอธิบายเรื่องต่าง ๆ ให้อัลฟ่าฟังอยู่เสมอ

LyLyAiAi · LGBT+
Not enough ratings
34 Chs

24 - ความวุ่นวาย

"เป็นไงบ้าง"

"ร่างกายกำลังฟื้นฟู คงต้องใช้เวลาอีก 2-3 วันถึงจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม"

คำตอบที่ได้รับทำให้ชิโนบุถอนหายใจออกมาอย่างพอจะคลายกังวลลงได้บ้าง ดวงตาคู่สวยสบเข้ากับแบล็กเพียงชั่วครู่ ก่อนจะมองเลยไปยังบานประตูที่ปิดสนิทอยู่ด้านหลังของอีกฝ่าย

"หมายความว่าตอนนี้ไม่เป็นไรมากแล้วใช่ไหม"

"อืม โนบุจังจะเข้าไปดูก็ได้ แต่อัลฟ่ายังหลับอยู่นะ"

ระหว่างที่ตอบไป แบล็กก็อมยิ้มบาง ๆ อย่างเอ็นดูเมื่อเห็นท่าทางเป็นห่วงของเจ้าตัว ภูตหนุ่มเอื้อมมือไปลูบแขนให้เบา ๆ เป็นเชิงปลอบ ก่อนตั้งท่าจะพาเปิดประตูเดินเข้าไปข้างใน หากแต่ถ้อยคำที่ตอบกลับมาทำให้เขาต้องชะงักขาตัวเองไว้

"ไม่เข้าไปหรอก"

"โนบุจัง?"

"แบล็ก"

หัวคิ้วที่ขมวดมุ่นเหมือนคนมีเรื่องให้คิด ทำให้แบล็กที่เห็นแบบนั้นเริ่มนึกเป็นห่วง ดวงตาจับจ้องหนูน้อยตรงหน้า ก่อนจะถามขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ถูกปรับให้อ่อนลง

"เป็นอะไรไหนบอกฉันสิ"

"อยากไปหาแม่"

"จะไปตอนนี้เลยเหรอ"

"อือ"

"แล้วอัลฟ่าล่ะ"

"เดี๋ยวให้อายาเมะมาดูก่อน ไปหาแม่เสร็จจะรีบกลับ"

แม้จะอยากรู้ว่าทำไมจู่ ๆ เจ้าตัวถึงอยากไปหาสึกิโกะ แต่ดูจากท่าทางแล้วหนูน้อยของเขาคงไม่มีทางพูดอะไรออกมาตอนนี้แน่ สุดท้ายแบล็กเลยได้แต่เอื้อมมือไปลูบแขนให้เบา ๆ แล้วพยักหน้ารับอย่างไม่คิดจะคาดคั้นอะไร

"งั้นเดี๋ยวฉันจะพาไป แต่หลังจากนั้นเราต้องคุยกันนะ โอเคไหม"

"อือ"

คำตอบที่ได้รับทำให้แบล็กยิ้มออกมาอย่างค่อนข้างพอใจ ก่อนจะจูงมือพาเจ้าตัวเดินออกไปจากตัวบ้านด้วยกัน

๐ ๐ ๐ ๐ ๐ ๐ ๐ ๐ ๐

"อืม..."

เสียงครางเบา ๆ ในลำคอที่ดังขึ้น ทำให้คนที่กำลังจดจ่ออยู่กับหนังสือรีบเงยหน้าขึ้นมอง พอเห็นว่าคนป่วยกำลังลืมตาก็รีบวางหนังสือลงที่พื้นข้างตัว แล้วขยับเข้าไปนั่งอยู่ใกล้ ๆ กับฟูกนอนทันที

"อัลฟ่า"

ไม่มีเสียงใด ๆ ตอบกลับมานอกจากดวงตาที่กระพริบปริบเพื่อปรับให้ชินกับแสง

ชิโนบุรอให้คนเพิ่งฟื้นได้ใช้เวลากับตัวเองโดยไม่เอ่ยปากเร่งอะไร เขาทำเพียงนั่งมองอยู่เฉย ๆ จนกระทั่งดวงตาคู่นั้นเลื่อนมาสบ ถึงค่อยถามออกไปอย่างเป็นห่วง

"เป็นยังไงบ้าง เจ็บตรงไหนไหม ปวดหัวหรือเปล่า"

คำถามที่ได้รับทำให้อัลฟ่าส่ายหน้าตอบกลับไปเบา ๆ คนเพิ่งฟื้นกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบากเมื่อรู้สึกกระหายน้ำมาก เจ้าตัวทำท่าจะยันตัวลุกขึ้น แต่แล้วก็ต้องขมวดคิ้วเมื่อไม่สามารถขยับร่างกายได้ดั่งใจ

"เป็นอะไร"

เห็นอีกฝ่ายขมวดคิ้วแน่นแบบนั้น ชิโนบุก็ยิ่งขยับเข้าไปใกล้ขึ้นอีกนิดเพราะเป็นห่วง

"ขยับตัวไม่ได้ เหมือนไม่มีแรงเลย"

"คงเพราะนายไม่ได้ขยับตัวมาสามวันแล้ว ร่างกายมันเลยฝืด"

"หืม?"

"นายหลับไปสามวันเลยนะรู้ไหม"

ประโยคที่ได้ยินทำให้อัลฟ่าชะงักไป แต่ยังไม่มีเวลาคิดอะไรมากกว่านั้นก็ต้องเหลือบตามองคนข้าง ๆ เมื่อเจ้าตัวเอื้อมมือมาวางทาบลงบนหน้าผากของเขาแล้วพึมพำออกมาไม่ดังนัก

"ไม่มีไข้จริงด้วย"

"หืม?"

"จริง ๆ แบล็กก็บอกแล้วว่าหลังตื่นนายจะเป็นยังไง แต่ฉันอยากเช็คดูให้แน่ใจก่อน ถ้านายไม่มีไข้ก็ไม่มีอะไรต้องกังวลแล้ว ส่วนเรื่องร่างกายแค่รออีกสักพักเดี๋ยวก็กลับมาเป็นปกติ"

ประโยคอธิบายยาว ๆ ที่ได้ยิน ทำให้อัลฟ่าพยักหน้ารับเบา ๆ พอลองนึกดูถึงสาเหตุที่ทำให้ร่างกายของเขาเสียหายหนักขนาดนี้ก็เข้าใจทุกอย่างได้ทันที นอกจากอาคมแปลก ๆ นั่น อีกส่วนหนึ่งก็เพราะพลังวิญญาณของแบล็กนั่นแหละ

จากการฝึกหนักด้วยกันก่อนหน้านี้ทำให้อัลฟ่ารู้ดีกว่าใครว่าพลังวิญญาณของแบล็กแข็งแกร่งมากขนาดไหน การถูกส่งเข้ามาในร่างกายโดยตรงถือว่าอันตรายมาก ต้องขอบคุณสายเลือดจิ้งจอกเก้าหางในตัวเขาจริง ๆ หากเป็นภูตระดับสูงตนอื่นอาจจะเจ็บหนักกว่านี้ไปแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงระดับกลางหรือระดับล่าง ภูตพวกนั้นคงได้สลายเป็นละอองไปก่อนจะรู้สึกเจ็บเสียอีก

"แล้วนี่แบล็กไปไหนล่ะ"

ระหว่างที่ถาม อัลฟ่าก็ลองใช้พลังวิญญาณของตัวเองสำรวจภายในบ้านดูคร่าว ๆ ไปด้วย โชคยังดีที่พลังวิญญาณของเขาฟื้นคืนมาเกือบสมบูรณ์แล้ว เหลือเพียงแค่ร่างกายที่ยังรู้สึกติด ๆ ขัด ๆ ขยับไม่ได้ตามที่ต้องการ

"ออกไปข้างนอกกับปู่"

"ทำไมที่บ้านไม่มีใครอยู่เลย"

"ตอนนี้มันค่อนข้างวุ่นวายน่ะ ทุกคนก็เลยยุ่งกันไปหมด"

คำตอบของชิโนบุทำให้อัลฟ่ามุนหัวคิ้วเข้าอย่างแปลกใจ เขาลองใช้พลังวิญญาณตรวจสอบภายในบ้านอีกครั้งแล้วก็ต้องขมวดคิ้วแน่นขึ้น เมื่อพบว่าภายในบ้านนอกจากพวกเราสองคนแล้วก็ไม่มีใครอยู่อีกเลย

"ชิโนบุ?"

"รู้สึกดีขึ้นหรือยัง"

การเปลี่ยนเรื่องกะทันหันยิ่งทำให้อัลฟ่ารู้สึกสงสัยมากกว่าเดิม แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังพยักหน้าตอบกลับไป

"อืม"

"เรี่ยวแรงเริ่มกลับมาแล้วใช่ไหม"

"ใช่"

"งั้นลุกขึ้นไหวไหม"

การขยับตัวเตรียมลุกขึ้นถือเป็นคำตอบของคำถามเมื่อครู่

ชิโนบุขยับเข้าไปช่วยพยุงให้เจ้าตัวลุกขึ้นมานั่งดี ๆ ก่อนที่ระหว่างทั้งคู่จะมีเพียงความเงียบ เมื่อต่างฝ่ายต่างเอาแต่มองหน้ากันโดยไม่พูดอะไร

อัลฟ่ารู้สึกเหมือนชิโนบุมีอะไรบางอย่างในใจแต่ไม่ยอมพูดออกมา ตอนแรกเขาตั้งใจไว้ว่าจะรอจนกว่าเจ้าตัวจะพร้อม แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น จนสุดท้ายต้องเป็นเขาที่ออกปากถามแทน

"ชิโนบุ?"

"....."

"มี--"

ยังถามไม่ทันจบว่ามีอะไรหรือเปล่า อัลฟ่าก็ชะงักค้างไปอย่างตกใจ ในเมื่อจู่ ๆ คนตรงหน้าก็...

"อัลฟ่า"

เสียงเรียกเบา ๆ ดังขึ้นตรงข้างหูเพราะคนเรียกกำลังซบหน้าลงที่ไหล่ของเขา พร้อมกับสองแขนที่ยกขึ้นมากอดรอบคอไว้แน่น อัลฟ่าไม่รู้หรอกว่าทำไมอยู่ ๆ ถึงโดนกอดแบบนี้ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังยกมือขึ้นมาลูบหลังให้เบา ๆ อย่างปลอบโยน

"ฉันอยู่ตรงนี้"

สิ่งที่ตอบกลับมามีเพียงเสียงพึมพำอู้อี้ที่ฟังแทบไม่ได้ศัพท์ จนอัลฟ่าต้องเอียงหน้าเข้าไปใกล้อีกนิดเพื่อให้ฟังได้ชัดขึ้น ก่อนฝ่ามือที่ลูบหลังให้เจ้าตัวอยู่เมื่อครู่จะหยุดนิ่ง ดวงตาทอดมองคนในอ้อมแขนด้วยหลากหลายความรู้สึกที่ตีกันอยู่ในอก

ภายในห้องนอนขนาดใหญ่ยังคงไร้การเคลื่อนไหวใด นอกจากเสียงกระซิบแผ่วเบาที่ดังอยู่ข้างหูของอัลฟ่าเพียงเท่านั้น ดวงตาคู่คมหลุบลงมองมือของตัวเองที่วางทาบอยู่บนแผ่นหลังของคนในอ้อมแขน ก่อนจะเผลอกระชับกอดให้แน่นขึ้น เมื่อได้ยินประโยคสุดท้ายที่ปลายเสียงยิ่งแผ่วลงจนแทบไม่ได้ยิน

แต่กลับกลายเป็นประโยคที่ชัดเจนที่สุดสำหรับคนฟัง

" '.....' "

"ฉันก็เหมือนกัน"

เสียงกระซิบที่ตอบกลับมาทำให้ชิโนบุชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะผ่อนลมหายใจออกเบา ๆ ร่างกายที่เครียดเกร็งมาตลอดระยะเวลาสามวันอ่อนยวบลง ใบหน้าเอียงซบลงกับไหล่เจ้าของอ้อมกอดที่ยิ่งกระชับแน่นจนเริ่มรู้สึกเจ็บ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่คิดจะออกปากท้วงอะไร ดวงตาคู่สวยค่อย ๆ ปิดลงพร้อมกับรอยยิ้มบาง ๆ ที่ปรากฎขึ้นเมื่อได้ยินอีกประโยคที่ตามมา

"ไม่อยากเห็นนายต้องเจ็บตัวอีกแล้ว"

สิ้นประโยคนั้น ภายในห้องก็หลงเหลือไว้เพียงความเงียบเมื่อไร้ซึ่งบทสนทนาใด มีเพียงเสียงลมหายใจของคนสองคนที่ดังคลอกันแผ่ว ๆ และอ้อมกอดที่ไม่มีทีท่าว่าจะคลายลงเท่านั้น

เวลาผ่านไปนานแค่ไหนไม่มีใครรู้ จนกระทั่งชิโนบุนึกเรื่องสำคัญอีกเรื่องได้นั่นแหละ ถึงค่อยผละตัวออกมา

ดวงตาคู่สวยมองสบกับคนตรงหน้าอย่างใช้ความคิด ในขณะที่อัลฟ่าเองก็ขมวดคิ้วเข้านิด ๆ เมื่อเห็นว่าชิโนบุมีสีหน้าเหมือนกำลังกังวลกับอะไรสักอย่าง ยิ่งเห็นว่าตอนนี้ริมฝีปากล่างของเจ้าตัวโดนขบกัดจนช้ำ ก็ยิ่งกดหัวคิ้วแน่นจนแทบเป็นปม รีบยื่นมือไปเชยคางเจ้าตัวขึ้นแล้วใช้ปลายนิ้วแตะลงไปเบา ๆ

"อย่ากัดปาก เดี๋ยวเจ็บ"

น้ำเสียงดุ ๆ ที่ได้รับทำให้คนที่เผลอกัดริมฝีปากตัวเองรีบทำตามทันที ดวงตากลม ๆ จ้องสบกลับไป ก่อนจะขยับตัวนั่งหลังตรงแล้วเริ่มพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง

"ร่างกายนายดีขึ้นมากแล้วใช่ไหม"

"อืม ขยับตัวได้สะดวกขึ้นกว่าตอนเพิ่งตื่นมากแล้ว"

พูดไปอัลฟ่าก็ลองขยับมือ ขยับแขนไปมา ตอนเพิ่งตื่นเขารู้สึกเหมือนร่างกายไม่มีเรี่ยวแรงเลยจริง ๆ แต่พอเวลาผ่านไปสักพัก ทั้งยังได้ลุกขึ้นมานั่งแบบนี้ ก็รู้สึกว่าเริ่มขยับได้ปกติไม่ติดขัดอะไรแล้ว

"ก็ดีแล้ว เพราะว่าพวกเราเองก็ต้องออกไปแล้วเหมือนกัน"

อัลฟ่าพยักหน้ารับเบา ๆ เมื่อได้ยินแบบนั้น ก่อนจะเลิกคิ้วขึ้นอย่างแปลกใจ เมื่ออยู่ ๆ ก็ได้ยินคำสั่งที่ดังขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย

"หลับตา"

"หืม?"

"หลับตา"

"หลับตาทำไม"

"พอนายลืมตาแล้วฉันไม่รู้จะเริ่มยังไง"

คำตอบที่ได้รับ ไม่ได้ช่วยคลายสิ่งที่กำลังสงสัยเลยแม้แต่น้อย แต่พอเห็นว่าคนตรงหน้าเริ่มเบะปากเพราะเขาไม่ยอมทำตามสักที สุดท้ายอัลฟ่าเลยได้แต่ยอมหลับตาให้ตามที่โดนสั่ง

ทางด้านชิโนบุพอเห็นว่าอีกฝ่ายหลับตาลงตามที่บอกแล้ว ก็กลับมากัดริมฝีปากอีกครั้งอย่างชั่งใจ ดวงตาคู่สวยมองคนตรงหน้าอย่างคิดหนัก หัวคิ้วทั้งสองข้างขมวดมุ่นด้วยความประหม่า ก่อนที่สุดท้ายจะถอนหายใจออกมาเบา ๆ พร้อมกับพวงแก้มทั้งสองข้างที่ค่อย ๆ ถูกแต่งแต้มด้วยสีชมพูระเรื่อเพราะความ...เขิน

".....!"

สัมผัสแผ่วเบาที่ประทับลงบนริมฝีปาก ทำให้อัลฟ่าสะดุ้งตัวอย่างตกใจ รีบลืมตาขึ้นมองแม้ในใจจะรู้ดีว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ทันเห็นแค่ใบหน้าที่อยู่ใกล้กันในระยะปลายจมูกคั่นเพียงเสี้ยววินาที ดวงตาทั้งสองข้างของเขาก็ถูกอีกฝ่ายเอื้อมมือมาปิดไว้จนมองไม่เห็นอะไรอีก

ชิโนบุกดริมฝีปากให้แนบชิดขึ้นอีกนิดแล้วค้างสัมผัสไว้อย่างนั้น ดวงตาคู่สวยเหลือบลงมองปลายจมูกที่เสียดสีกันเบา ๆ แล้วก็ยิ่งรู้สึกถึงความร้อนที่รุกลามไปทั่วใบหน้า จนสุดท้ายก็ต้องหลับตาลงเช่นกัน

ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหนที่ริมฝีปากของทั้งคู่แนบสนิทกันอยู่แบบนั้น เมื่อต่างฝ่ายต่างหลับตาจึงไม่มีใครเห็นว่าคนตรงหน้าแสดงอารมณ์ใดออกมา ยิ่งไปกว่านั้นคือไม่มีใครทันเห็นว่าตอนนี้...

กำไลของอัลฟ่าที่ชิโนบุสวมติดตัวไว้ตลอดเวลา กำลังเรืองแสงสีขาวอ่อน ๆ ขึ้นมาตั้งแต่ที่ริมฝีปากของทั้งคู่สัมผัสกัน

"....."

ไร้เสียงพูดคุยใด ๆ ในตอนที่ชิโนบุผละริมฝีปากออก ใบหน้าขาว ๆ ที่ถูกแต่งแต้มด้วยสีชมพูอย่างน่ารักเบือนหลบไปทางอื่นทันทีอย่างไม่กล้าสบตา ส่วนทางด้านอัลฟ่าก็ได้แต่นั่งนิ่งมองคนตรงหน้า ก่อนจะพึมพำออกมาเสียงเบา

"นาย..."

"เตรียมตัว เราจะออกไปกันแล้ว"

ไม่รอให้อัลฟ่าพูดจบประโยค ชิโนบุก็รีบแย่งพูดก่อน เจ้าตัวทำท่าจะลุกหนีแต่ก็โดนอัลฟ่าคว้าข้อมือไว้ได้ทัน ก่อนที่อีกฝ่ายจะออกแรงกระตุกทีเดียว ตัวเขาก็แทบถลาไปเกยอยู่บนตักซะแล้ว

พวกภูตนี่แรงเยอะกันจริง

"จะรีบไปไหน"

"ไปเตรียมตัว"

"เมื่อกี้ทำอะไร"

คำถามที่ได้รับทำให้ใบหน้าที่ร้อนอยู่แล้วยิ่งร้อนหนักกว่าเดิม แต่ถึงอย่างนั้นชิโนบุก็ยังฝืนหันมาสบตาแล้วพูดขึ้นด้วยท่าทางจริงจัง

"ให้พลังนายไง"

อัลฟ่าหลุดยิ้มออกมาทันทีที่ได้ยินคำตอบนั้น ก่อนจะย้อนถามกลับไปด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ

"องเมียวจิเขาส่งพลังให้ภูตกันแบบนี้เหรอ"

"มันเป็นวิธีแบบมิโกะ"

"แล้วนายเป็นมิโกะหรือไง"

"แม่ฉันเป็นมิโกะไง"

ยิ่งได้ยินแบบนั้นอัลฟ่าก็ยิ่งยิ้มกว้างขึ้น เพราะรู้ดีว่าต่อให้เป็นมิโกะโดยทั่วไปก็คงไม่ใช้วิธีนี้กันแน่ ๆ ซึ่งความจริงแล้วชิโนบุเองก็ไม่ได้โกหก เมื่อกี้เขาถ่ายทอดพลังวิญญาณบริสุทธิ์จากลมหายใจให้อัลฟ่าไปจริง ๆ เพื่อช่วยกระตุ้นให้พลังฟื้นฟูในร่างกายของอีกฝ่ายรักษาตัวได้เร็วขึ้น นี่ถือเป็นพิธีกรรมของพวกมิโกะที่ใช้มอบพลังวิญญาณบริสุทธิ์เพื่อปัดเป่าโชคร้ายให้กับผู้คน เพียงแต่...

มิโกะทั่วไปไม่ได้ใช้วิธีนี้ และมีส่วนน้อยมากจริง ๆ ที่จะยอมมอบพลังวิญญาณบริสุทธิ์ของตนให้กับพวกภูตผี

"หึ ๆ"

เสียงหัวเราะในลำคอดังขึ้นเบา ๆ เมื่อเห็นว่าแก้มทั้งสองข้างของคนที่กำลังเขินยังคงแดงระเรื่ออย่างน่าเอ็นดู อัลฟ่าใช้ปลายนิ้วไล้ไปมาเบา ๆ แต่ยังไม่ทันได้คุยอะไรกันมากกว่านั้น เสียงโครมครามที่ดังขึ้นจากหน้าบ้านก็ทำให้ทั้งคู่ต้องหันไปมองเป็นตาเดียว

"รีบไปดูกันเถอะ"

ชิโนบุพยักหน้ารับคำนั้น ร่างสูงโปร่งรีบขยับเข้าไปช่วยพยุงให้คนเพิ่งฟื้นไข้ได้ลุกขึ้น แต่ไป ๆ มา ๆ กลายเป็นว่าตัวเขาเองนี่แหละที่โดนอัลฟ่าประคองขึ้นมา เพราะเรี่ยวแรงของเจ้าตัวฟื้นฟูกลับมาเกือบจะสมบูรณ์แล้ว

"เรี่ยวแรงกลับมาแล้วเหรอ"

เมื่อเห็นท่าทางคล่องแคล่วเหมือนเดิม ชิโนบุก็ถามขึ้นเพื่อความแน่ใจ ซึ่งคำตอบที่ได้รับกลับมาคือการพยักหน้ารับเบา ๆ ก่อนที่อีกฝ่ายจะคว้าข้อมือของเขาแล้วพาเดินออกไปยังจุดกำเนิดเสียงด้วยกัน

๐ ๐ ๐ ๐ ๐ ๐ ๐ ๐ ๐

ภาพที่เห็นตรงหน้าทำให้ทั้งคู่กดหัวคิ้วเข้าทันที เมื่อภูตลาดตระเวนหลายตนนอนกองอยู่ที่พื้นด้วยสภาพลมหายใจรวยริน อาการบาดเจ็บหนักของแต่ละตน ทำให้ชิโนบุทำท่าจะรีบเข้าไปดูเพราะความเป็นห่วง แต่ยังไม่ทันก้าวขาก็โดนอัลฟาดึงตัวหลบมาอีกทาง พร้อมกับ...

ฉึก!

เสียงของมีคมปักลงบนเนื้อไม้ที่ดังขึ้น ทำให้ชิโนบุรีบหันไปมองทันที ตรงตำแหน่งที่พวกเขาเคยอยู่ปรากฎเป็นมีดสั้นเล่มหนึ่ง ที่หากเมื่อกี้อัลฟ่าพาหลบไม่ทันมันคงปักลงบนตัวของเขาไปแล้ว

หัวคิ้วเหนือดวงตาคู่สวยขมวดมุ่น ก่อนจะหันมองคนข้าง ๆ ที่ตอนนี้เปลี่ยนมาอยู่ในร่างกึ่งภูต เมื่อไม่จำเป็นต้องปกปิดตัวตนอีกต่อไป

ดวงตาสองคู่สบกันเพียงเสี้ยววินาที ก่อนที่อัลฟ่าจะพุ่งตัวออกไปเมื่อเห็นเงาของชายชุดดำสองคนกำลังหลบหนีไปทางด้านข้างของตัวบ้าน

"ระวังด้วย"

เสียงตะโกนของชิโนบุไม่ได้รับการตอบกลับ เมื่อตรงหน้าบ้านไม่เหลือเงาของใครสักคน ความเป็นห่วงและกังวลฉายชัดอยู่ในดวงตา แต่ถึงอย่างนั้นเจ้าตัวก็รีบเรียกสติกลับมา แล้วเข้าไปตรวจดูอาการบาดเจ็บของภูตลาดตระเวนทันที

ร่างสูงโปร่งย่อตัวลงวาดวงเวทย์ที่พื้น ลักษณะคล้ายคลึงกับวงเวทย์อัญเชิญหากแต่ให้ผลตรงกันข้าม คาถายาวเหยียดถูกท่องจนจบภายในระยะเวลาไม่ถึงนาที ก่อนที่แสงสว่างจะกลืนกินทุกอย่างให้เลือนหายไป ช่วงเวลาเพียงอึดใจเดียวที่แสงค่อย ๆ จางลง ภูตลาดตระเวนทั้งหมดก็ถูกส่งตัวกลับไปยังถิ่นที่พักเดิมของพวกมันเพื่อรักษาตัว

วูบ ~

สายลมวูบหนึ่งที่พัดผ่านตัวไป ทำให้ชิโนบุที่เพิ่งส่งตัวภูตลาดตระเวนกลับไปยังโลกของภูตเผลอกดหัวคิ้วเข้า ดวงตามองตามไปยังทิศทางที่ได้ยินเสียงต่อสู้ดังขึ้นแล้วก็ยิ่งขมวดคิ้วแน่นกว่าเดิม

ใช้เวลานานขนาดนี้แสดงว่าพวกนั้นคงมีฝีมือพอควร ที่สำคัญคืออัลฟ่ายังฟื้นตัวได้ไม่สมบูรณ์ดี

หวังว่าจะปลอดภัยและไม่บาดเจ็บเพิ่มนะ...

".....!!"

ฉึก!

ร่างสูงโปร่งหมุนตัวหลบได้ทันกับมีดสั้นที่ถูกซัดเข้าใส่ ดวงตาคู่สวยตวัดมองไปยังคนที่ลอบทำร้ายตัวเอง แล้วก็ยิ่งขมวดคิ้วแน่นเมื่อเห็นเป็นชายชุดดำอีกคนหนึ่ง แต่ก่อนที่จะได้ทำอะไรมากกว่านั้น ก็ต้องหลบไปด้านข้างเพราะมีดสั้นอีกเล่มที่พุ่งเข้ามา

"ชิ!"

เสียงสบถดังขึ้นเบา ๆ ที่เมื่อกี้เกือบพลาดท่า โชคดีที่มันแค่กรีดผ่านเนื้อผ้าตรงหัวไหล่แต่ไม่ลึกลงมาถึงผิวเนื้อ หัวคิ้วทั้งสองข้างขมวดแน่นกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ชิโนบุยอมรับจริง ๆ ว่าเขาไม่ชินกับการรับมือกับคนเลยสักนิด ถ้าเป็นพวกภูตผีคงจัดการได้ง่ายกว่านี้…

"อะ?!"

เสียงร้องเบา ๆ ดังขึ้นอย่างตกใจเมื่อร่างทั้งร่างชาวาบ ก่อนจะทรุดลงกับพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง องเมียวน้อยทำได้แค่นอนกระพริบตามองชายชุดดำคนนั้นที่เดินเข้ามาใกล้ยิ่งขึ้นอย่างไม่เข้าใจ

เกิดอะไรขึ้น?

"ทำได้ดี"

ชิโนบุมองตามสายตาของชายชุดดำไป แล้วก็ได้เห็นเข้ากับภูตน้อยตนหนึ่งที่ยืนตัวสั่นอยู่ไม่ไกล แค่เห็นลักษณะกลม ๆ และขนสีเทา ชิโนบุก็รู้แล้วว่าที่ตัวเองขยับไม่ได้แบบนี้เป็นเพราะอะไร

แต่ดูท่าแล้ว...

ไม่ได้อยากทำหรือเปล่านะ?

โดยปกติภูตชนิดนี้จะอยู่รวมกันเป็นฝูงใหญ่เพราะมีนิสัยขี้กลัว พวกมันค่อนข้างรักสงบ ทั่วทั้งตัวก็ไม่มีสิ่งที่จะทำอะไรใครได้ นอกจากละอองชาที่ติดอยู่ตรงปลายขน ซึ่งมีฤทธิ์แค่ทำให้ชาเพื่อใช้ในการหลบหนีเท่านั้นไม่ได้มีไว้เพื่อทำร้ายใคร

คงจะโดนจับมาแล้วบังคับให้ทำแบบนี้

ถ้าเป็นอย่างนั้นก็จะสอดคล้องกันพอดี เพราะเจ้าภูตน้อยตนนั้นไม่ได้อยากทำร้ายเขาแต่จำใจต้องทำ จึงไม่มีจิตมุ่งร้ายใด ๆ กำไลของอัลฟ่าเลยไม่ทำงาน

"ชิโนบุ!"

เสียงตะโกนเรียกที่ดังขึ้น ทำให้ชิโนบุเหลือบตาไปมองทันที แต่เพราะโดนละอองชาทำให้ตอนนี้เขาไม่สามารถขยับตัวได้ ทำได้แค่มองอัลฟ่าที่กำลังพุ่งตัวเข้ามา ก่อนที่เจ้าตัวจะชะงักไปเมื่อชายชุดดำข้าง ๆ เอามีดมาจ่อเข้าที่ลำคอของเขา

"อย่าเข้ามา"

"ปล่อยเขาซะ"

น้ำเสียงแข็งกร้าวและดวงตาที่วาวโรจน์ขึ้น ทำให้ชายชุดดำรู้ทันทีว่าตัวเองไม่ควรทำอะไรบุ่มบ่าม มือที่จ่อมีดอยู่ตรงลำคอของทายาทอาคาวะขยับออกห่างเล็กน้อย แต่ก็ยังไม่ได้ปล่อยไปซะทีเดียว

"มาตกลงกัน"

"ปล่อยเขา"

"ได้ แต่พวกแกต้องมากับเรา"

จบประโยคนั้นชายชุดดำอีกสองคนก็มาสมทบพอดี แม้จะมีสภาพไม่เต็มร้อยเหมือนตอนมาก็ตาม อัลฟ่าไม่ได้ละสายตาไปมอง ตอนนี้เขาสนใจอยู่แค่ความปลอดภัยของชิโนบุเท่านั้น แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังแผ่ไอพลังออกมากดดันทั้งสามไว้เพื่อบอกให้รู้ว่า...ถ้าคนของเขาเป็นอะไรไปแม้แต่นิดเดียว เขาก็พร้อมจะฆ่าทุกคนที่นี่ทันที

และแน่นอนว่า ชายชุดดำทั้งสามไม่มีใครคิดจะแตะชิโนบุเกินจำเป็น

พวกเขาได้รับคำสั่งมาแค่ให้พาตัวทั้งสองคนกลับไปเท่านั้น จะใช้วิธีไหนก็ได้แต่ต้องหลีกเลี่ยงการปะทะให้มากที่สุด แม้ไม่เคยมีใครได้สัมผัสกับพลังของเก้าหางมานานมากแล้วนับตั้งแต่นางโดนผนึกไว้ แต่ทุกคนรู้กันเป็นอย่างดีว่าพลังของเก้าหางแข็งแกร่งขนาดไหน แม้แต่เซย์เมย์ที่มีชื่อเสียงว่าเก่งกาจที่สุดในบรรดาองเมียวจิยังทำได้เพียงแค่ผนึกไว้เท่านั้น

"ตกลงไหม"

อีกประโยคที่ถูกส่งมา ทำให้อัลฟ่าที่กำลังสบตากับชิโนบุกดหัวคิ้วเข้าเล็กน้อย ก่อนจะละสายตาจากมาแล้วหันไปพูดกับชายชุดดำตรง ๆ

"ส่งเขามาให้ฉัน"

"มากไป"

"ส่งเขามาให้ฉัน แล้วฉันจะยอมตามไป"

"ไม่มีทาง"

"คิดดีแล้วใช่ไหม"

เป็นเพียงประโยคสั้น ๆ ที่ผู้พูดไม่ได้ตะคอกหรือขึ้นเสียง หากแต่ทำให้คนฟังรู้สึกกดดันจนเริ่มมีเหงื่อซึมออกมาตามข้างขมับ ไอพลังสีแดงที่โอบล้อมอยู่โดยรอบยิ่งเข้มข้นขึ้นยามที่อีกประโยคถูกเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงนิ่ง ๆ แต่กลับฟังดูน่ากลัวขึ้นกว่าเดิม

"แค่ส่งตัวเขามาฉันจะยอมตามไป แต่ถ้าไม่..."

"....."

"ก็เตรียมตัวตายกันได้เลย"

จิตสังหารอันตรายแผ่กระจายไปโดยรอบ จนเหล่าภูตที่อยู่ในบริเวณนั้นรีบหนีเอาตัวรอดไปคนละทิศละทาง ไม่เว้นแม้แต่สัตว์เล็ก ๆ อย่างนกหรือแมลง ที่แตกฮือส่งเสียงร้องอพยพกันราวจะเกิดภัยพิบัติใหญ่

ชายชุดดำทั้งสามหันมองหน้ากัน แล้วก็ได้คำตอบในทันทีว่าควรจะทำอย่างไร คนที่จ่อมีดอยู่ตรงคอของชิโนบุเก็บมันกลับเข้ากระเป๋าลับ แล้วรีบตอบกลับไปก่อนที่การเจรจาจะล้มเหลวเพราะเก้าหางเกิดคลั่งขึ้นมาซะก่อน

"พวกเราตกลง"

อัลฟ่าเหลือบมองคนพูดเพียงเล็กน้อย ก่อนจะยอมสลายจิตสังหารของตัวเองทิ้งไป ร่างสูงใหญ่เดินเข้าไปหาคนที่ยังคงนอนขยับตัวไม่ได้อยู่ที่พื้น แต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อยันต์แผ่นหนึ่งถูกยื่นมาตรงหน้า

"เป็นเครื่องยืนยันว่าจะไม่มีการผิดคำพูด ถ้าแกยอม เราก็จะให้เด็กนี่กับแก"

อัลฟ่าไม่ได้ตอบอะไรกลับไป ทำเพียงแค่ยืนนิ่ง แต่แค่นั้นก็เพียงพอแล้วว่าเขาไม่ได้ปฏิเสธข้อแลกเปลี่ยนนี้ ดวงตาคู่คมมองยันต์แผ่นนั้นที่เขารู้ดีว่าแท้จริงมันคือเครื่องพันธนาการ เพราะชิโนบุเคยเปิดตำราให้ดูว่า มันคือยันต์ต้องห้ามสำหรับตระกูลอาคาวะ

ตระกูลองเมียวจิที่ไม่เคยบังคับให้ใครต้องตกอยู่ใต้อาณัติของตน นอกเสียจากเป็นความเต็มใจของภูตตนนั้นเอง

"....."

ภูตหนุ่มไม่ได้พูดอะไรออกมา หากแต่หัวคิ้วกลับกดเข้าจนแทบเป็นปมอย่างไม่ค่อยพอใจนัก กับโซ่เส้นใหญ่ที่พันอยู่รอบคอ ความรู้สึกกดหนักทำให้ไม่สบายตัว เมื่อตามข้อมือและข้อเท้า เริ่มปรากฏตรวนล่ามไว้ราวกับนักโทษ

ดวงตาคู่คมตวัดมองคนที่ส่งยันต์ให้ตัวเองอย่างหมายหัวไว้ในใจ ก่อนจะเดินเข้าไปคุกเข่าลงตรงหน้าชิโนบุที่มองมาด้วยสายตาเป็นห่วง

รอยยิ้มบางถูกส่งให้คนตรงหน้าคลายกังวล ก่อนจะค่อย ๆ ช้อนตัวอีกฝ่ายขึ้นอุ้มแนบอกอย่างเบามือ ดวงตาคู่คมทอดอ่อนลงขณะมองคนในอ้อมแขน ที่ตอนนี้กำลังพิงอกเขาแล้วหลับตาลง

ชิโนบุคงจะเหนื่อยมากตลอดสามวันที่ผ่านมา

ร่างสูงใหญ่ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง สองมือกระชับแน่นให้ร่างของอีกฝ่ายแนบชิดกับตนยิ่งขึ้น ก่อนจะโน้มหน้าลงเล็กน้อย แล้วกระซิบบอกด้วยน้ำเสียงที่แตกต่างจากตอนคุยกับชายชุดดำราวเป็นคนละคน

"ไม่เป็นไร...มันจะไม่เป็นไร"

tbc...