webnovel

Murah and his wondrous bag (มุราห์กับระบบกระเป๋าพิศวง)

ไม่มีใครรู้และอาจทราบได้ว่า อะโกล ดินแดนของเหล่าสิ่งมีชีวิตเริ่มมี ‘สัตว์สร้าง’ เกิดขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ พวกมันเป็นสัตว์ที่ผ่านการวิวัฒนาการจนลักษณะทางกายภาพแตกต่างออกไปจากเดิม พวกมันแข็งแกร่ง ทรงพลัง ว่องไวและก้าวขึ้นมาเป็นผู้ล่าสูงสุดของห่วงโซ่อาหารในทันทีที่ปรากฎตัว แต่มนุษย์คือสิ่งมีชีวิตที่ปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว มนุษย์เริ่มก่อตั้งกลุ่ม 'นักล่า' พวกเขากำเนิดขึ้นเพื่อออกล่าสัตว์เหนือธรรมชาติเหล่านั้น บ้างก็เพื่อปกป้องมนุษย์ด้วยกัน บ้างก็เพื่อทรัพย์สินและชื่อเสียง หรือบางคนแค่เพียงต้องการความสุขเมื่อได้เห็นเลือดของสัตว์เหล่านั้นหลั่งริน "มุราห์" หนุ่มกำพร้าผู้เรียกขานตัวเองว่านักล่า ก่อนที่เขาจะเริ่มต้นออกเดินทางโดยลำพัง เขาได้รับกระเป๋าหนังใบหนึ่งที่มีพลังลึกลับบางอย่างซึ่งกำลังจะเปลี่ยนแปลงชีวิตเขาและอะโกลไปในทางที่เขาคาดไม่ถึง

DoubleT_T · Fantasy
Not enough ratings
6 Chs

ตอนที่ 6

[ล่า โอวิด 0 / x ที่ เทวานัต]

"โอวิด…ชื่อน่ารักดีนะ เจ้านี่น่าจะต้องเป็นแมวยักษ์ขนปุยแน่ ๆ ว่าแต่…เทวานัตคือที่ไหนแล้วตอนนี้ข้าอยู่ที่ไหนกันแน่ ข้าควรจะต้องทำอะไรต่อไปกันนะ บอกใบ้กันสักนิดหน่อยสิ ลักซ์…" ชายหนุ่มพยักหน้าพร้อมส่ายหน้าไปมาเบา ๆ ก่อนที่จะได้ยินเสียงกระซิบอันบางเบา

"พะ พะ…พี่ชายครับ" เสียงเล็ก ๆ ออกแววสะอื้นอยู่ไม่ไกลจากชายหนุ่ม เขาหันไปหาเจ้าของเสียง เด็กหนุ่มที่มีอายุและความสูงไม่ห่างจากตัวเขาเท่าไหร่นัก สีผมดำขลิบและนัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนคือสิ่งแรกที่เขาสังเกตเห็น ชุดเสื้อคลุมยาวทั้งตัวที่มีสีเดียวกับใบไม้ในช่วงฤดูร้อนสะดุดตาเขาต่อมา "ผมไม่รู้ว่าพี่เป็นใคร แต่…ขอบคุณมากนะครับ" เด็กหนุ่มขยับเข้ามาใกล้ ๆ อย่างระแวดระวังก่อนที่ชายหนุ่มจะพูดแทรกจนเด็กหนุ่มชะงัก

"ขอบคุณ?" เขาหันมองทางซ้ายและขวาด้วยความเลิ่กลั่กก่อนจะชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง "เจ้า…ขอบคุณข้าหรอ ขอบคุณเรื่องอะไรกัน" ชายหนุ่มถามด้วยใบหน้าแห่งความสงสัย แม้เด็กหนุ่มอยากจะคิดว่าชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าจะทำเป็นพูดติดตลกไปอย่างนั้น แต่ใบหน้าของเขากลับตรงกันข้าม เขาต้องการคำตอบจริง ๆ

"ก็…ขอบคุณที่ช่วยผมกับพ่อ…จากเจ้าสัตว์ร้ายตัวนั้นไงครับ" เด็กหนุ่มพูดปนสะอึกพลางชี้ไปที่ซากของบาเก็สต์

"หืม ช่วย ? หมายความว่ายังไงกัน ช่วยเจ้ากับ…พ่อ จากสัตว์ร้าย บาเก็สต์ ? หมายความว่าไงกัน" น้ำเสียงของชายหนุ่มจริงจังและดุดันจนสีหน้าเด็กหนุ่มขนลุกไปทั่วตัว ชายหนุ่มมองไปรอบ ๆ ตัวพลันล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าข้างเอว "เอางี้นะ เอ่อ…เจ้า เจ้าชื่ออะไรนะ"

"เอล- เอลมิคครับ"

"เอลมิค!" ชายหนุ่มตะโกนเสียงดัง เด็กหนุ่มสะดุ้งโหยงหน้าซีดแต่เขาก็ได้แต่ยืนตัวแข็งอยู่อย่างนั้น "เอางี้นะ เอลมิค ข้าไม่รู้หรอกนะว่าเจ้าจะมารูปแบบไหนหรือมาด้วยกลใหม่ ๆ อะไร แต่ข้าบอกไว้ก่อนว่าไอ้ตัวยักษ์เบิ้มนั่นที่เจ้าเห็นนอนหมอบอยู่ตรงนั้นนะ ข้าคือคนที่ซัดมันล้มด้วยตัวเอง…และคนเดียว ถ้าเจ้ายังรักชีวิตอยู่ละก็-"

"ดะดะ เดี๋ยวก่อนครับ พี่ชาย ไม่ใช่อย่างที่พี่คิดนะครับ คือว่า" เด็กหนุ่มรีบแย้งด้วยน้ำเสียงสะอื้นพร้อมกับน้ำตาที่เริ่มเอ่อจากเบ้า "ผะผะ ผมกับพ่อ บะบะ บังเอิญ- " เอลมิครู้สึกหนักแน่นไปทั่วตัวเมื่อรู้สึกได้ว่ามือหนา ๆ ที่เขาคุ้นเคยได้มาวางอยู่บนไหล่ของเขา เอลมิคไม่ต้องหันไปมองข้างหลังก็รู้ว่าเจ้าของมือนั้นเป็นใคร ดวงตาของเขาในตอนนี้กำลังจับจ้องลงไปบนเหล็กกล้าสีเงางามที่กำลังชี้พุ่งตรงมาที่ใบหน้าของเขา

"หยุดอยู่ตรงนั้นแหละ ข้าไม่ได้ขู่นะ แต่ถ้าพวกเจ้าไม่ยอมบอกว่าพวกเจ้าทั้งสองเป็นใครแล้วมีธุระอะไรกับข้า อย่าว่าแต่เครื่องในเลย ลูกตา จมูก หูหรืออะไรก็ตามที่มีค่า ข้าจะฝานจากร่างของพวกเจ้าจนไม่มีใครจำศพพวกเจ้าได้แน่และ…เอ่อ ข้าไม่ได้ขู่นะ!" ชายหนุุ่มชี้ปลายดาบสั้นพุ่งตรงไปที่เอลมิคกับพ่อของเขาอย่างทะมัดทะแมง ดวงตากลม ๆ ที่แฝงไปด้วยความดุดันนั้นลึก ๆ แล้วต้องการจะบอกอะไรบางอย่าง

"ท่าน…นอกจากฝีมือจะเก่งกาจแล้ว คำพูดคำจาของท่านก็ไม่แพ้กัน ยังหนุ่มยังแน่นอยู่เลย ผู้ใหญ่ที่ไหนเป็นคนสอนและบอกให้ท่านใช้ชีวิตแบบนี้กัน" เสียงทุ้มเข้มดังขึ้นมาเหนือหัวเอลมิค ชายที่มีอายุขยับมือจากไหล่ของลูกชายไปอยู่บนหัวแล้วลูบไปลูบมาเบา ๆ

"เห้! ข้าไม่ได้ล้อ- "

"ข้าชื่อเดนอร์ ข้ากับลูกชายเป็นหนี้ชีวิตของท่าน" ชายหนุ่มเอียงหัวพร้อมขมวดคิ้วแต่ก่อนที่เขาจะได้คิดอะไรไปมากกว่านั้น ชายคนนั้นก็เริ่มพูดต่อ "ข้าเป็นเพียงพรานชาวบ้านธรรมดา ๆ ที่อยู่อาศัยแถวนี้และวันนี้ก็เป็นเพียงวันธรรมดา ๆ ของข้าวันหนึ่งเช่นกัน ป่าแถวนี้ไม่ต่างจากบ้านของข้า ข้ารู้ทุกซอกทุกมุมของมันดีแต่ตัวของท่านเองก็น่าจะรู้เรื่องนี้ดีที่สุด…เรื่องของสัตว์สร้าง ข้าคงเดาไม่ผิดว่าท่านคงเป็นนักล่าที่มาออกตามหาสัตว์สร้างตามปกติของท่าน หรือ…อาจจะไม่ปกติ ข้าก็ไม่รู้เรื่องนั้นหรอก แต่วันนี้ท่านคงดวงดีเป็นพิเศษที่ได้มาเจอกับสัตว์สร้างตัวนี้ก่อนที่ข้ากับลูกจะถูกมันขย้ำตายแล้วค่อยเป็นข่าวส่งไปให้ในตัวเมือง แต่จริง ๆ แล้วไม่ใช่ท่านหรอกที่ดวงดี ตัวข้าต่างหาก…ที่ได้มาพบกับสัตว์สร้างตัวเป็น ๆ และยังไม่ตายแถมได้มาพบกับท่านด้วย ท่านนักล่า" เดนอร์ส่งยิ้มที่เต็มไปด้วยความอบอุ่นให้กับชายที่ถือดาบชี้ตรงมาที่หน้าของเขา แต่ชายหนุ่มไม่ได้คิดเช่นนั้น เขาขมวดคิ้วแน่นพร้อมตวาดเสียงดัง

"โฮ้ย! ตกลงแล้วพวกเจ้าเป็นใครกันแน่ เลิกพูดอ้อมค้อมแล้วบอกมาดี ๆ สักที" เอลมิคสะดุ้งโหยงแต่มือแผ่นหนาที่ยังคงลูบไปมาอยู่บนหัวช่วยประคองร่างของเขาไว้

"ข้าเข้าใจในความโกรธเกรี้ยวและความระแวงของท่าน ท่านนักล่า แต่ข้าพูดความจริงไปทั้งหมด หากท่านไม่ได้มาช่วยข้ากับลูกไว้หรือจริง ๆ ข้าและลูกชายบังเอิญมาพบเจอกับมันเข้าแล้วก็ถูกมันเข้าทำร้ายก่อน ท่านเห็นตรงนั้นไหม" เดนอร์หยุดพูดแล้วหันไปชี้บริเวณที่ต้นไม้ล้มทับกันเป็นชั้น ๆ "ข้ากับลูกถูกมันโจมตีตรงนั้น ถ้าท่านไม่ได้มาและปราบสัตว์สร้างตัวนั้นลง ข้ากับลูกคงตายและถูกกลบฝังดินไปแล้ว แม้ท่านจะไม่รู้และไม่ได้มีเจตนาจะช่วยชีวิตชาวบ้านธรรมดา ๆ สองคน แต่ข้าและลูกชายเป็นหนี้ชีวิตท่านจริง ๆ ข้าอยากให้ท่านรับฟัง" เสียงเดนอร์นั้นสุขุมและเยือกเย็นจนทำเอาไฟในตัวของชายหนุ่มมอดลง เขายังคงไม่ลดดาบในมือแต่ก็สามารถสูดลมหายใจเข้าได้ลึกและคล่องขึ้น

"แล้วเจ้ามาบอกข้าทำไม ในเมื่อเจ้าก็รู้ว่าจริง ๆ แล้วก็ข้าไม่ได้คิดจะมาช่วยพวกเจ้าสักหน่อย หนี้ชีวงหนี้ชีวิตอะไรของเจ้าข้าไม่สนหรอก แต่ตอนนี้ข้าจะบอกข้อเสนอให้ ถ้าเจ้าหันหลังแล้วเดินออกไปอย่างเงียบ ๆ ช้า ๆ และไม่หันมองกลับมาอีก ข้าจะไม่ยุ่งอะไรกับพวกเจ้าเลยแม้แต่น้อย ข้าสัญญา และหนี้ชีวิตอะไรนั่นข้ายกคืนให้หมดเลย แต่ถ้าเจ้าขืนจะทำอะไรมั่วซั่ว ข้าไม่เอาเจ้าไว้แน่ ข้าไม่ได้ขู่…จริง ๆ นะ!" ชายหนุ่มตวาดพร้อมสีหน้าที่ขึงขัง

เดนอร์มองคิ้วที่สั่นหยิกบนใบหน้าของชายหนุ่มก็หลุดยิ้มออกมาเล็ก ๆ

"ข้ารู้และเข้าใจจริง ๆ ว่าทำไมท่านถึงกลัวพวกข้า- "

"ข้าไม่ได้กลัวเจ้าสักหน่อย! และก็หันหลังไปได้แล้วหน่า"

เดนอร์ยกมือทั้งสองขึ้นมาไว้บริเวณอก "ช้าก่อนท่าน ช้าก่อน ขอข้าได้พูดกับท่านอีกสักนิด ขอให้ท่านได้หยุดฟังข้อเสนอของข้า ขอแค่ครู่เดียวเท่านั้นแล้วถ้าท่านไม่พอใจ ข้าจะหันหลังกลับทันที" ดวงตาสีดำเข้มเข้ากับสีผมดำขลิบที่ยาวลงมาพาดบนบ่าได้อย่างดี ชายหนุ่มจ้องมองดวงตาดวงนั้นของเดนอร์ที่นิ่งไม่ไหวสั่น

"ข้าไม่พอใจ หันหลังไปได้แล้ว" ชายหนุ่มโบกดาบสั้นในมือไปข้าง ๆ พลางบอกให้เดนอร์กับลูกหันหลังไป

"ท่านไม่รู้ว่าจะไปที่ไหนต่อใช่หรือไม่"

"ข้า- " ชายหนุ่มนิ่งไปครู่หนึ่งเมื่อได้ฟังคำถาม

"ท่านคงไม่มีที่พักในคืนนี้และท่านคงไม่มีเหตุจำเป็นอะไรต้องรีบเดินทางในชั่วค่ำ ขอให้ข้าได้พาท่านกลับไปพักผ่อนที่หมู่บ้านของข้าเพื่อตอบแทนหนี้บุญคุณครั้งนี้ด้วยเถอะท่าน"

"นั่นไง! เข้าอีหรอบนี้จริงอย่างที่ข้าคิดไว้เลย พอเจ้าพาข้ากลับไปที่หมู่บ้าน พวกเจ้าก็จะพาคนมาปล้นข้าใช่ไหมละ ข้ารู้ทันหรอกน่ะ แบร่! พวกเจ้าไม่มีทางได้ทำแบบนั้นหรอก หันหลังกลับไปเถอะแล้วข้าจะลืม ๆ เรื่องนี้ไป"

"หากท่านไม่เชื่อใจข้าก็ไม่เป็นไร อย่างน้อยข้าก็ได้เสนอแก่ท่านแล้วและนั่นก็แล้วแต่ท่านจะพิจารณา แต่อยากให้ท่านรู้เอาไว้ว่าถ้าข้าไม่ได้ตอบแทนหนี้ครั้งนี้สักนิด ความผิดนี้คงติดตัวข้าไปตลอดชีวิต ยามนอนก็ข่มตาหลับไม่ลง ยามตายก็คงปิดตาไม่มิด" เดนอร์พูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจังจนทำเอาบรรยากาศรอบข้างเย็นเฉียบ เอลมิคแอบเห็นใบหน้าที่ผิดหวังของพ่อเขาพร้อมกับดวงตาที่นิ่งสนิท จริงอยู่ที่พ่อของเขาจะดูเป็นชายที่แข็งกระด้างและไม่ประณีประณอม แต่นี่ก็เป็นครั้งแรกที่เขาเคยเห็นพ่อผู้แข็งแกร่งของเขาอ้อนวอนด้วยถ้อยคำอันประดิดประดอย แม้จะไม่ได้ฟังไพเราะเสนาะหูและชวนเชื่อเหมือนอย่างแม่หรือคนในหมู่บ้านคนอื่น ๆ แต่เขารู้ดีว่าพ่อของเขาพยายามอย่างสุดความสามารถแล้ว

"พะพะ พี่ชายครับ ปกติแล้วพ่อของผมไม่เคยพูดแบบนี้กับใครมาก่อน พี่ชายเป็นคนแรก หากพี่ชายไม่เชื่อใจพ่อของผม อย่างน้อยก็เชื่อใจผมเถอะ ผมและพ่อเป็นคนจากหมู่บ้านเทวานัต พวกเรานับถือเทพทั้งสามอย่างเคร่งครัด ผมและพ่อไม่มีทางพูดปดอย่างแน่นอน"

คำพูดของเด็กหนุ่มทำเอาความคิดของชายหนุ่มเปลี่ยนไป เขาลดดาบในมือลงและครุ่นคิดอะไรบางอย่าง เสียงท้องที่ร้องดังขึ้นมาพร้อมกับข้อความที่แว้บขึ้นมาในหัวก็ทำเอาชายหนุ่มยิ้มร่า

"เทวานัต…หมู่บ้านเทวานัตอย่างนั้นหรอ มันคือหมู่บ้านอย่างนั้นหรอ!" ชายหนุ่มตะโกนลั่นทำเอาเอลมิคสะดุ้งพร้อมหลับตาปี๋ เดนอร์ตอบคำถามของชายหนุ่มด้วยการพยักหน้ารับ แสงจากดวงอาทิตย์เริ่มจางไปจนเกือบหมด ป่าอันเขียวขจีเริ่มเปลี่ยนเป็นสีดำครึ้มและบรรยากาศรอบตัวพวกเขาทั้งสามก็เริ่มชวนขนลุกราวกับมีหมอกไออะไรบางอย่างไหลมาตามเท้าของพวกเขา เบ้าตาของศพบาเก็สต์ที่กลวงโบ๋เพราะโดนคว้านก็ทำเอาเอลมิคเย็นเฉียบไปทั่วตัวทุกครั้งที่เผลอหันไปมอง

"ถ้าอย่างนั้น ช่วยพาข้าไปที่หมู่บ้านของท่านที"

//

จุดแต้มสีขาวใสบนท้องฟ้าสีดำมืดช่วยส่องแสงคู่กับพระจันทร์เสี้ยวสีขาวสดที่ถูกแขวนอยู่บนฟ้า เอลมิคเหลือบหันไปมองพระจันทร์ที่ส่องแสงอยู่เจ็ดครั้งกว่าจะเริ่มคุ้นชินกับบรรยากาศรอบ ๆ ตัว พงหญ้าที่เขาวิ่งเล่นและเห็นผ่านตาทุกวันช่วยทำให้ขาที่คอยสั่นระริกตลอดทางเริ่มผ่อนคลายลง ชายหนุ่มเหลือบมองไปเห็นเสาไม้ที่สูงเพียงแค่เอววางสะเปะสะปะไปทั่วจนดูเหมือนเป็นทรงกลมแต่ก็เป็นทรงกลมเบี้ยว ๆ และเหว้าแหว่งจนไม่เป็นทรง แต่ก็พอจะทำให้เขาจินตนาการออกว่าสิ่งนั่นน่าจะเคยเป็นคอกวัวมาก่อนและนั่นก็บ่งบอกว่าเขากำลังจะถึงที่หมายแล้ว

หมู่บ้านเทวานัตไม่ได้มีความต่างจากหมู่บ้านแห่งอื่นในแถบตอนเหนือของแคว้นกุษาต์เท่าไหร่นัก ชาวบ้านแถบนี้มักจะเลือกสร้างบ้านบนพื้นที่ราบเรียบซึ่งมีอยู่ไม่มากเพราะบริเวณแถบตอนเหนือนั้นถูกยึดครองด้วยเทือกเขาและพื้นที่ราบสูง แต่พวกเขาก็พยายามจัดสรรพื้นที่อยู่อาศัยของพวกเขาให้ได้อยู่บนลานกว้างร่วมกัน บ้านของพวกเขาถูกสร้างขึ้นจากก้อนอิฐหรือท่อนไม้ซึ่งดูง่ายจนน่าเหลือเชื่อ และทุกหลังจะสร้างหลังคาและคุมด้วยฟางพร้อมทำให้มันลาดยาวลงมาจนแทบจะชิดติดพื้น บ้านแต่ละหลังอยู่ใกล้กันจนแทบจะเจาะทะลุหากันได้เพื่อเน้นการประหยัดพื้นที่ สิ่งที่สะดุดตามากที่สุดคือการที่บ้านแต่ละหลังมีถังไม้หลายขนาดและหลายใบถูกตั้งไว้อยู่ข้างหน้าบ้าน โดยแต่ละถังจะมีฝาไม้ขนาดพอดีกับปากถังปิดไว้อยู่หลวม ๆ และบางถังก็ถูกเปิดอ้าซ่าทิ้งไว้ด้วยซ้ำ ประตูไม้ที่นอกจากจะเล็กมากจนจำเป็นจะต้องมุดหัวเข้าไปแล้วนั้นยังมีบ้านบางหลังที่เปิดทิ้งคาเอาไว้จนมองเห็นผู้อยู่อาศัยภายในอีกด้วย เดนอร์บอกกับชายหนุ่มในตอนที่เดินผ่านว่าธรรมเนียมปฎิบัติของชาวเทวานัตมาแต่เนิ่นนานคือ "การต้อนรับแขกผู้ไม่รู้จักเป็นกิจของผู้มีศรัทธา" เดนอร์ยังผายมือบอกให้เขาลองไปดื่มเบียร์ในถังไม้พวกนั้นได้เลยหากว่าเขากระหายหรืออยากลิ้มลองรสชาติ

นับตั้งแต่บางสิ่งที่ดูคล้ายกับคอกวัวคอกแรกที่เขาเห็นก็มีอะไรแบบนั้นอยู่อีกไม่น้อยแต่ในสภาพที่ดูดีกว่าเมื่อผ่านบ้านแต่ละหลัง ชายหนุ่มสันนิษฐานว่ามันคงเป็นคอกวัวอีกเช่นกันแต่ก็เป็นเพียงแค่คอกเปล่า ๆ มืดค่ำเช่นนี้คงไม่มีชาวบ้านที่ไหนปล่อยวัวเลี้ยงหรือสัตว์เลี้ยงออกไปเตร่ไหนต่อไหนเป็นแน่ เขาพยายามจะเดาถึงเหตุผลต่าง ๆ เกี่ยวกับสิ่งประดิษฐ์นี้ แต่ไม่ว่าจะคิดจนหัวจะระเบิดอย่างไรเขาก็คิดไม่ออก

ชายหนุ่มหลงไปกับความคิดจนไม่รู้ว่าเดนอร์กับเอลมิคได้มาหยุดอยู่ที่บ้านหลังหนึ่งซึ่งดูผิดกับบ้านหลังอื่น ๆ ที่ผ่านมา มันดูเล็กกว่าบ้านหลังอื่นเกือบเท่าตัวแต่ก็ยังคงมีถังเบียร์ตั้งอยู่ไว้เช่นเคย หญิงสาวที่อาศัยอยู่ในบ้านหลังนั้นมองเห็นชายสองคนที่คุ้นเคยผ่านช่องประตูที่ถูกเปิดออก ก็รีบวิ่งเข้ามาโผกอดทั้งคู่ทันที

"เอลมิค! เดนอร์!" เธอตะโกนลั่นไม่เกรงใจท้องฟ้าที่มืดมิด แม้จะดังแต่เสียงของเธอก็สั่นไม่เป็นคำ ชายมีอายุรีบรับกอดของเธอเอาไว้จนตัวเขาเอนมาด้านหลังก่อนที่เธอจะค่อย ๆ ลดตัวลงเข้าไปสวมกอดเอลมิคที่รอรับเธออยู่เช่นกัน

"ข้านึกว่าพี่กับลูกจะเป็นอะไรกันไปแล้วเสียอีก ไหนพี่ว่าจะกลับมาก่อนพระอาทิตย์ตก นี่มืดค่ำจนจะเข้านอนแล้วพี่ถึงพึ่งจะโผล่มา น้องเป็นห่วงพี่มาก แต่เอลมิค…" เธอสั่นสะอื้นและพยายามอั้นอารมณ์เอาไว้เพื่อให้คำพูดของเธอยังพอฟังรู้เรื่อง

"พี่ขอโทษ…" เดนอร์ลงไปสวมกอดทั้งคู่เอาไว้แน่น น้ำเสียงของเขาดูต่ำลึกกว่าปกติ "แต่ตอนนี้พี่กลับมาแล้ว ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วงแล้ว" เขาพูดพลางลูบผมบาง ๆ สีน้ำตาลอ่อนของเธอ

ชายหนุ่มได้แต่ยืนนิ่งอยู่ข้างหลังคนทั้งสามที่กอดกันกลมอยู่บนพื้น เขาพยายามจะหันมองดูอย่างอื่นไปเรื่อยเพื่อทำให้คล้ายว่าไม่สนใจแต่ตัวของเขากลับแข็งเกร็งจนขยับร่างไม่ได้ เดนอร์เหลือบตาไปเห็นเขาจึงกระซิบเบา ๆ ที่ข้างหูหญิงสาวคนนั้น

"จีนา เดี๋ยวพี่เล่าเรื่องวันนี้ให้ฟังทีหลัง แต่ตอนนี้พี่มีแขกกลับมาด้วย ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างหลัง น้องช่วยดูแลเขาทีได้ไหม"

"...แขก" เธอยกหน้าขึ้นแล้วมองหาชายหนุ่มที่ดูไม่คุ้นหน้าคุ้นตาที่กำลังยืนอยู่สะบัดข้อมือไปมา "ท่าน…"

เดนอร์ลุกขึ้นยืนและจีนาก็ลุกขึ้นยืนตาม เธอกวาดตามองชายหนุ่มผมสีดำตั้งกับเสื้อคลุมซอมซ่อ เธอก้มหัวลงเล็กน้อยก่อนจะพูดขึ้น "ยินดียิ่ง" เมื่อเธอพูดจบเธอก็ยกหัวขึ้นแล้วพูดต่อ "ฉันชื่อจีนา ท่านผู้มาเยือน ท่าน…" จีนาหันไปมองหน้าเดนอร์เพื่อค้นคำตอบอะไรบางอย่างแต่เดนอร์ส่ายหน้าตอบรับไปอย่างเร็วไว จีนาขมวดคิ้วเล็ก ๆ ก่อนจะถามต่อ "ท่านชื่ออะไรหรือ" ชายหนุ่มผงะเล็กน้อย จีนาที่ได้เห็นปฎิกิริยาของชายหนุ่มจึงรีบพูดต่อด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล "มันเป็นธรรมเนียมของเราน่ะท่าน หากท่านไม่ต้องการบอกชื่อจริงของท่านกับพวกเรา ก็ขอคำใดก็ได้ที่สามารถใช้เรียกแทนตัวท่าน" สำเนียงพูดของจีนาราวกับเป็นบทสวดอะไรบางอย่าง

"ข้าชื่อมุราห์แห่งกาบิน" ชายหนุ่มตอบเสียงดังฟังชัด

ใบหน้าอันตื่นตระหนกและแฝงไปด้วยความกลัวคือสิ่งที่เขาได้เห็นต่อมาทันทีเมื่อพูดจบ