webnovel

[เงินตรา ปัญญา คำสอน]

"อื๋อ?... ฮ้าว~~~ กี่โมงละเนี่ย งึมๆ บ่ายสองครึ่งเหรอ"

ผมหยิบมือถือขึ้นมาทันทีเพื่อจะเช็คตลาดประมูล อยากรู้ตอนนี้มันได้ยอดเท่าไรแล้ว แต่ก็หยุดและนึกขึ้นได้ว่า

"เออ แจ็กมันบอกให้มาลุ้นด้วยกันตอนสุดท้ายนี่หว่า อืมๆ รอก็ได้"

ผมที่นอนกลิ้งเกลือกไปมาบนเตียง นอนคิดอะไรนู้นนี้นั่นไปเรื่อยเปื่อย…

อ๊ะ ก่อนอื่นเลย ผมขอเล่าก่อนนะครับว่าทำไมผมถึงเพิ่งจะมาตื่นเอาบ่ายสองโมง เหตุการณ์เมื่อคืนมันเป็นแบบนี้ครับ

....

หลังจากแม่ของผมออกไปทำกับข้าวรอบดึกที่ร้านอาหาร ผมก็อาบน้ำอาบท่าเตรียมตัวไปทำงานรอบดึกเช่นกัน

ใช่ครับ คุณฟังไม่ผิดหรอก ผมกำลังจะออกไปทำงาน งานที่เด็กหนุ่มอายุ 18 จะทำได้ ก็เป็นงานพาร์ทไทม์เนี่ยละครับ ผมจะเล่าตารางการทำงานช่วงนี้ของผมให้ทุกคนได้ฟังกันนะครับ

เริ่มจาก 20.00 น. ผมจะออกไปทำงานติดป้ายหาเสียงเลือกตั้ง รายละเอียดการทำงานก็คือ พวกเราจะแบ่งเป็นทีมๆ ละ 4 คน ต่อรถกระบะหนึ่งคัน ที่ขนแผ่นป้ายไวนิลกรอบไม้ขนาด 250*120 ซม. ของนักการเมืองที่จะลงเลือกตั้งที่จะถึงนี้ แต่ละทีมจะแบ่งพื้นที่กระจายกันออกไปติดตามเสาไฟฟ้ารอบเมือง งานนี้ใช้แรงไม่เบา เพราะต้องขนแบกป้าย และออกแรงใช้คีมบิดลวดเพื่อผูกมัดป้ายให้แน่นหนา แต่เมื่อทำไปเรื่อยๆ ก็จะชินเอง ถึงจะหนักหน่อยในคืนที่ฝนตกก็เถอะ รายได้ต่อคืนคือ 300 บาท ผมจะเสร็จจากงานนี้ตอนประมาณตีสองครึ่งครับ

เมื่อกลับถึงบ้านผมจะหลับทันทีที่หัวถึงหมอน แล้วนาฬิกาปลุกจะดังขึ้นตอนตีห้าครึ่ง เพื่อปลุกให้ผมตื่นมาล้างหน้าล้างตา แปรงฟันและออกไปขายข้าวเหนียวหมูปิ้งต่อ ผมจะตั้งโต๊ะเล็กๆ วางขายอยู่เยื้องตรงทางเข้าปั้มปากซอยนั่นแหละครับ ข้าวเหนียวแม่จะนึ่งเตรียมเอาไว้ให้ ส่วนหมูเสียบไม้ ผมสั่งแบบสำเร็จรูปจากเจ้าดังอยุธยามาเตรียมไว้แล้วเช่นกัน ที่เหลือก็แค่ออกไปนั่งปิ้งไปหาวไป เตรียมแพ็คข้าวเหนียวใส่ถุง พร้อมขายแล้วครับ ทำแบบนี้ถึงจะได้กำไรน้อยหน่อย แต่ก็ไม่ต้องเสียเวลาเตรียมของมากมาย งานนี้ผมขายได้กำไรวันละ 200 บาท

และเมื่อถึงเวลา 8.30 น. ผมก็เก็บร้านและเข้าไปช่วยแม่ล้างจานที่ร้านในปั้มต่อ นี่คือเฉพาะช่วง ส-อ นะครับ ถ้าวันปกติผมก็จะใส่ชุดนักเรียนมาเลย และเลิกขายเร็วหน่อยเพื่อไปให้ทันโรงเรียนเข้าพอดี (แต่ส่วนใหญ่จะสาย)

เมื่อล้างจานที่กองเป็นภูเขาเสร็จแล้ว ผมก็จะกินข้าวเช้าพร้อมกับแม่และกลับบ้านมาอาบน้ำนอนต่อที่บ้าน จะอยู่ที่ช่วงประมาณ 10.00 น. และผมก็หลับยาวจนตื่นมาอีกทีตอนประมาณบ่ายสองครึ่งนี่ละครับ

"ฮึบ กินกล้วยดีกว่า รองท้องซะหน่อย… หึหึหึ เห็นกล้วยแล้วนึกถึงไอ้แจ็กแฮะ ขำเป็นบ้า 'สกิลแจกกล้วย' สกิลแบบนั้นยังใช้ประโยชน์ได้อีกนะเพื่อนตู ไม่ผิดหวังจริงๆ"

ง่ำ ง่ำ ขณะที่กินกล้วย ผมก็เปิดคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คเช็คข่าวสารอัพเดทไปด้วย เริ่มจากอ่านข่าวเศรษฐกิจบ้านเมืองที่น่าสนใจทั้งในประเทศและต่างประเทศแบบผ่านๆ เสร็จใน 5 นาที จากนั้นเปิดอ่านการ์ตูนที่อัพเดททั้งหมดเสร็จในครึ่งชั่วโมง

"ฮื้อ~! ตั้งแต่ One pierce กับ Solo Level จบอวสานไปแล้ว ไม่มีการ์ตูนอื่นเรื่องอื่นจะสนุกเทียบเท่าได้เลยแหะ"

เมื่อกินกล้วยเสร็จผมก็กินนมตามอีกหนึ่งแก้ว อึก อึก อึก และกดเปิดเพลงบรรเลงธีมแฟนตาซีขึ้นมาฟัง

"ติ่ง ติง ติ๊ง ติ่ง ติ๊ง ติง …"

"เช็คข่าวสารเกมต่างโลกดีกว่า ดูสิวันนี้มีกระทู้อะไรน่าสนใจบ้าง หือ? มีคนส่งข้อความมา"

[From น้ำ: เอ่อ..วิน ในกระทู้เมื่อคืนนั่น นายจริงๆ ใช่ไหมที่ค่าหัวหนึ่งล้านน่ะ นี่มันเรื่องอะไรกันเนี่ย? แถมเครื่องหมายรูปปีกนั้นมันสัญลักษณ์ของราชวงศ์คาเอลุม แสดงว่านั่นคือเควสพระราชาของจริงเหรอ? (ปล. เรื่องนี้ฉันยังไม่ได้บอกเพื่อนๆ นะ และถึงฉันจะเพิ่งได้คุยกับนาย แต่ฉันเชื่อว่านายไม่ใช่คนที่จะทำเรื่องชั่วร้ายได้)]

"ก็นะ… ลงรูปแบบนี้ คนที่รู้จักก็ต้องทักมาอยู่แล้ว ยังไงก็ตอบไปหน่อยดีกว่า"

[From วิน: ขอบใจนะน้ำที่เชื่อในตัวฉัน เอาไว้มีโอกาสจะเล่าให้ฟังนะ แต่ยังไงช่วงนี้คงไปปาร์ตี้กับพวกเธอไม่ได้แล้ว เพราะมันอันตรายมาก ขืนอยู่ด้วยกันพวกเธออาจพลอยโดนหางเลขไปด้วย]

"มีข้อความจากเรย์ด้วย อ้าว เป็นสติ๊กเกอร์เฉยๆ

(รูปการ์ตูนหมีตัวหนึ่งกำลังโอบไหล่ปลอบใจหมีอีกตัว)

"เรย์นี่ก็แอบมีมุมน่ารักดีแฮะ แสดงว่าเห็นกระทู้แล้วสิเนี่ย งั้นเราจะส่งสติ๊กเกอร์อะไรตอบดีหว่า… อันนี้… ไม่ดีๆ อันนี้ล่ะ… อืม อันนี้ละกัน"

(รูปหมีน่ารักยิ้มอ่อนและยกนิ้วโป้ง)

"โอเค มานั่งไล่อ่านกระทู้กัน [ศึกกิลด์วอร์ First Class] เงินรางวัลหนึ่งล้านดอลล่าร์ นี่มันสุดๆ เลย แต่สถานการณ์ของเราตอนนี้ จะไปเข้ากิลด์ใครได้ล่ะ คงได้แต่นั่งดูถ่ายทอดล่ะนะ ไว้ชวนแจ็กดูด้วยกันดีกว่า"

จากนั้นผมก็นั่งไล่อ่านกระทู้ฟรีเกือบทั้งหมด ใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมง ผมบอกได้เลยว่ากระทู้ขอแรงรุมประชาทันฑ์ล่าค่าหัวผมนั้นฮอทเหลือเกิน ติดอันดับหนึ่งในห้ายอดฮิตประจำวันเลยทีเดียว เนื่องจากคำว่า 'เควสพระราชา' มันมีความหมายสำหรับเพลเยอร์มหาศาล ไม่ใช่แค่เรื่องเงินรางวัลเท่านั้น แต่มันการันตีค่าชื่อเสียงเพลเยอร์ได้ดีอีกด้วย

[ค่าชื่อเสียง: ในเกมต่างโลกคะแนนค่าชื่อเสียงสำคัญมาก ถ้าคุณมีค่าชื่อเสียงในเมืองนั้นมากพอ คุณอาจมีสิทธิ์ได้รับเควสระดับสูงจาก NPC ที่การันตีผลตอบแทนดีเยี่ยมมากตามไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นด้าน EXP หรือไอเท็ม ในทางกลับกันหากคุณมีค่าชื่อเสียงไม่พอ NPC บางคนอาจไม่คุยด้วยเลยก็มีเหมือนกัน เพลเยอร์ใหม่จึงต้องค่อยๆ สะสมค่าชื่อเสียงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อนึ่งคะแนนนั้นสามารถเพิ่มหรือลดได้ขึ้นอยู่ที่การกระทำของเพลเยอร์เอง]

"วิน~~~ว้อย ฉันมาแล้ว ตื่นอะยาง!" เสียงแจ็กดังมาจากหน้าประตูบ้าน

"โอ้ ตื่นแล้วเรอะ เอานี่ ฉันเอาก๋วยเตี๋ยวที่บ้านมาฝาก เล็ก ยำ กระดูกอ่อน พิเศษเพิ่มเกี๊ยวและหมูสับ"

"ขอบใจมาก กำลังหิวเลย" ผมรับก๋วยเตี๋ยวมาและเดินไปหยิบชามมาใส่ แจ็กกระโดดทิ้งตัวนอนลงที่เตียงแทนที่ผมทันที

"วิน หมดเวลาประมูลกี่โมงวะ"

"16.00 น. เป๊ะ เหลืออีก 10 นาที" ผมตอบแจ็กแล้วเอาโต๊ะญี่ปุ่นตัวเล็กมาตั้ง เพื่อนั่งกินก๋วยเตี๋ยว

"คิกๆๆ" แจ็กนอนเล่นมือถือและหัวเราะออกมา

ซู้ดดด "ฮ่าห์! ก๋วยเตี๋ยวอร่อยเหมือนเดิมเลย ว่าแต่ขำอะไรวะ แชทกับสาวที่ไหนอีกล่ะ เดี๋ยวปั้ดฟ้องน้ำเลย"

"ไอ้นี่ ยังแซวไม่เลิกอีก ก็แชทกับน้ำเนี่ยแหละ"

"ฮั่นแน่! มิน่าละยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เชียว ไหนคุยไรกันเอามาดูดิ" ผมทำท่าจะคว้ามือถือแจ็กมาดู แต่มันลุกขยับหนีอย่างไวเลย

"ไม่ให้เฟ้ย เขินตายชัก ไม่มีไรหรอกน่า คุยไร้สาระไปเรื่อย เออว่าแต่ เหมือนน้ำจะเห็นกระทู้นายด้วยแน่ะ เห็นถามมาว่าฉันเห็นรึยัง แล้วมีอะไรอีกนะ เอ่อ… อ๋อ! พวกสาวๆ อยากชวนพวกเราไปปาร์ตี้ด้วยกันอีก"

"แล้วนายตอบไปว่าไง"

"ฉันบอกว่า เห็นกระทู้แล้ว ส่วนเรื่องปาร์ตี้เดี๋ยวขอถามนายก่อน"

"อืม ดีแล้วๆ ช่วงนี้คงต้องห่างกับพวกเธอสักพัก ไม่งั้นพวกเธอจะโดนหาว่าสมรู้ร่วมคิดกับเราไปด้วย"

"แต่… พวกเธออาจยินดีก็ได้นา"

"อย่าเลย ต้องสู้กับเพลเยอร์ แถมเผลอๆ ต้องสู้กับทหารประจำเมืองอีก โดนจับได้ละก็รับรองว่าค่าชื่อเสียงร่วงกราวแน่นอน เอาไว้เคลียร์เรื่องนี้ให้ได้ก่อนค่อยว่ากัน"

"โอเคๆ งั้นฉันตอบน้ำไปตามนั้นละกัน"

...

เมื่อวินกินก๋วยเตี๋ยวหมดชาม ก็ได้เวลาบ่ายสี่โมงพอดิบพอดี

"แจ็กมาเถอะ ถึงเวลาระทึกใจแล้ว" แจ็กรีบตะกุยตะกายคลานจากเตียงลงมาอยู่ด้านหลังวินอย่างรวดเร็ว

"นายกะว่าจะได้สักเท่าไร?" แจ็กถาม

"อืมม์… ถ้าได้สัก 80,000 บาทละก็แจ๋วเลยล่ะ"

"แปดหมื่นเลยเรอะ?! ชีวิตนี้ฉันไม่เคยมีเงินเยอะขนาดนั้นเลย ว๊าก- ตื่นเต้นแทนนายว่ะ" แจ็กเอามือมาบีบไหล่ผม

"ไอ้บ้า นายตื่นเต้นแทนตัวเองด้วยเลยก็ได้ ฉันตั้งใจจะหาจนกว่าพวกเราจะซื้อเครื่อง VR ได้สองเครื่องนั่นแหละ นี่ก็ถือเป็นเงินของนายครึ่งหนึ่ง พวกเราฝ่าฟันมาด้วยกันนี่นา และจากที่เข้าเกมกับนายแค่ครั้งเดียว ฉันยิ่งมั่นใจเลยว่าพวกเราจะรวยไปกับเกมนี้แน่นอน"

"โอ้ววว นายนี่มันพูดให้ฉันคึกคักได้ทุกทีสิน่า รวยเลยเหรอวะ เป็นไปได้จริงดิ"

"เป็นไปได้อยู่แล้ว ฉันจะทำให้ได้ ฉันจะซื้อบ้านหลังนี้จากธนาคาร ฉันจะไม่ให้แม่ต้องลำบากทำงานหนักอีกต่อไป พอกันทีกับชีวิตที่แต่ละวันต้องวนเวียนกับการหาเงินแบบเดือนชนเดือน ฉันอยากให้แม่ได้ใช้ชีวิตแบบที่มีความสุขกว่านี้"

"โอเค ฉันเข้าใจนายแล้ว เอาเลย พวกเราจะรวยให้ได้ตั้งแต่ยังเด็กนี่ละ"

"งั้นฉันกดล่ะนะ" ผมกดเปิดแอพในมือถือ

[ตลาดประมูลAWO]

[สินค้าประมูลของท่านได้ถูกขายแล้วค่ะ]

[ท่านได้รับเงิน 1,020,000 G]

"1,020,000 G! เฮ้ย! ไอ้วิน ตีเป็นเงินบาทได้เท่าไรวะ?!" แจ็กตะโกนออกมาอย่างตกใจ

"หนึ่ง… แสน" ผมตอบอย่างตกตะลึงกับตัวเลขในหัวเช่นกัน

"122,400 บาท"

"โอ้ มาย ก๊อดดดดดด!! ว๊ากกกก!! แสนสอง!! บ้าไปแล้ว~!!" แจ็กดีใจจนสติหลุดวิ่งพล่านไปทั่วบ้าน

ผมเข่าอ่อนกับเงินมากมายที่ตัวเองได้รับ จนทรุดลงไปนั่งเอนหลังที่ข้างเตียง ผมมองตัวเลขในมือถืออีกครั้ง เอานิ้วชี้ไล่ดูทีละตัว หนึ่งแสนสองหมื่นจริงๆ "ฮ่ะ ฮ่ะ ไม่อยากจะเชื่อเลย" ผมยิ้มกว้างเงยหน้ามองเพดานบ้าน พลันนึกขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายที่คุ้มครองและช่วยดลบันดาลให้ได้รับพรเช่นนี้

"ก๊ากฮ่าฮ่าฮ่า!!" แจ็กยังหัวเราะลั่นอยู่ และวิ่งมาจับมือขวาของผมชูขึ้นฟ้า "ไชโย!! ไอ้วินเพื่อนผมคือผู้ชนะครับ!! ฮ่ะฮ่าฮ่า โอยหัวเราะจนเหนื่อย ขอไปหยิบน้ำอัดลมกินแป๊บ"

"ในตู้เย็นไม่มีว่ะ ไปซื้อที่ปั้มปากซอยดีกว่า ฉันจะไปซื้ออย่างอื่นพอดีเลย แล้วเดี๋ยวฉันต้องกลับมาทำงานแปลเอกสารให้เสร็จอีกด้วย"

"โห ไอ้วิน นายจะกลับเข้าสู่ชีวิตจริงเร็วไปไหนฟะ นี่เพิ่งได้เงินก้อนโตมานะ มันต้องฉลองกันเซ่"

"เออ ฉันก็ดีใจอยู่แล้วเว้ย ...ดีใจจริงๆ แต่เป้าหมายพวกเราไม่ใช่แค่นี้นี่หว่า ขั้นแรกคือเก็บให้ได้สองแสนนะ VR สองเครื่องไง"

"โอเคๆ ป่ะ ไปกัน ตะโกนจนคอแห้งละ"

...

ผมนั่งซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์เวสป้าคันเก่าของแจ็กไปที่ปั้มปากซอย เมื่อไปถึงพวกเราก็เดินเข้าร้านสะดวกซื้อ แจ็กบอกว่าขอเวลาซื้อของแป๊บ เห็นบอกว่าจะมาจัดงานฉลองเล็กๆ กัน ผมซื้อของใช้ในบ้านเสร็จจึงเดินออกมานั่งรอที่ม้านั่งหน้าร้านเพื่อเช็ครายละเอียดงานที่จะต้องแปลในวันนี้ งานที่ว่านี้คืองานแปลเอกสารงานวิจัยของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งครับ งานนี้ผมได้มาเพราะศาสตราจารย์ของพ่อผม เป็นคนติดต่อเข้ามา บอกว่าอยากจะช่วยเหลือครอบครัวและนี่เป็นสิ่งหนึ่งที่พ่อเคยฝากฝังคนที่ทำงานเอาไว้ว่า 'เขาอยากให้ผมเก่งภาษาเหมือนกับตัวเขาซึ่งเป็นอาจารย์ประจำภาควิชาภาษาศาสตร์ เขาเชื่อว่าผมมีพรสวรรค์ด้านนี้เช่นกัน'

บอกตามตรงว่าผมก็ไม่รู้ว่าตัวเองมีพรสวรรค์รึเปล่านะ แต่ปัจจุบันผมพูดได้ 5 ภาษาแล้ว มีภาษาไทย จีนกลาง อังกฤษ อาหรับและสเปน ถ้าคนทั่วไปรู้เรื่องนี้เขาก็คงคิดว่าเด็กอายุ 18 พูดได้หลายภาษาขนาดนี้ นี่มันอัจฉริยะแล้ว อะไรประมาณนั้นครับ แต่ผมไม่คิดแบบนั้นเลย ไม่เลยสักนิดเดียว เพราะสิ่งที่พ่อผมฝากฝังเอาไว้ให้กับศาสตราจารย์ ดูเหมือนท่านจะจริงจังเกินเหตุ จริงจังสุดๆ จริงจังขนาดที่ว่าส่งครูชั้นหนึ่งมาสอนพิเศษถึงที่บ้านเป็นเวลา 2 ชั่วโมงทุกวัน จ-ศ ส่วนช่วงวันหยุดก็ให้การบ้านไว้เยอะมาก พอสอนผมได้สักระยะหนึ่ง ก็บอกว่าให้ช่วยแปลงานให้หน่อย แล้วจะให้ค่าจ้าง ค่าขนม ผมก็อยากหาเงินช่วยแม่ด้วยอีกแรงหนึ่งอยู่แล้ว เลยมุมานะเรียนเต็มที่ เพื่อให้แม่สบายใจ และเมื่อได้เงินจากการแปลเอกสารทีละห้าสิบบาท หรือหนึ่งร้อยบาท เมื่อผมเอาไปให้แม่ แม่ก็ยิ้มหน้าบาน กอดผมและชมเชยว่า 'เก่งมากลูก เก่งเหมือนพ่อเลย'

งานแปลเอกสารนี้ ผมใช้เวลาทำประมาณวันละ 3 ชั่วโมง ได้เงินต่อเดือนเฉลี่ยแล้ว 12,000 - 15,000 บาท ผมอยากทำมากกว่านี้ ผมชอบแปลภาษาเพราะมันสนุกเหมือนกับได้ไขปริศนารหัสลับอะไรสักอย่าง แต่ดูเหมือนว่าศาสตราจารย์จะไม่อยากให้ผมหมกมุ่นกับมันทั้งวัน เลยส่งงานมาให้ปริมาณแค่นี้ในแต่ละเดือน

ในหนึ่งอาทิตย์จะมีหนึ่งวันที่ศาสตราจารย์จะเป็นคนมาสอนด้วยตัวเอง ผมจะชอบคลาสสอนของท่านเป็นพิเศษ ท่านเป็นคนแก่อายุ 60 ที่เฟี๊ยวมาก รูปร่างของท่านอ้วนล่ำเหมือนหมีน่ากอดตัวโต ไว้ผมทรงอันเดอร์คัทเปิดข้างแต่ด้านบนยาวและรวบมัดไว้ดานบน ผมของท่านหงอกแซมขึ้นเกือบทั้งหัว เวลาที่เจอผม ท่านจะมีรอยยิ้มให้เสมอ ศาสตราจารย์จะเรียกตัวเองว่าปู่และเรียกผมว่าหลาน ท่านเป็นคนที่ตลกโปกฮา แต่แฝงไว้ด้วยบารมีที่น่าเคารพอย่างล้นเหลือ ศาสตราจารย์จะไม่เชิงสอนแบบวิชาการ แต่จะมาเล่าเรื่องสนุกของภาษา ความลี้ลับของภาษาโบราณที่สูญหาย ปรัชญาการใช้ชีวิตที่มาพร้อมกับความหมายของตัวอักษร

ศาสตราจารย์ช่วยให้ชีวิตของเด็กคนหนึ่งอยู่กับร่องกับรอยมากขึ้น พูดได้เต็มปากว่าถ้าไม่ได้ท่าน ชีวิตผมคงหลงทางไปอีกไกลแน่นอน มีเหตุการณ์หนึ่งที่ผมจำได้ไม่ลืมเลย เรื่องมันเกิดขึ้นหลังช่วงเวลาที่พ่อจากไปได้ประมาณครึ่งปี ขณะที่ผมนั่งเรียนคลาสสอนภาษาพิเศษอย่างเซื่องซึม เป็นวันที่ผมเหนื่อยใจและหดหู่กับชีวิตรอบตัวเป็นอย่างมาก เหมือนศาสตราจารย์จะสังเกตได้ เพราะท่านหยุดสอนกะทันหัน แล้วเดินมานั่งข้างๆ ผม

"วิน หลานเป็นอะไรรึเปล่าวันนี้ เกิดอะไรขึ้นที่โรงเรียนงั้นเหรอ?"

"...."

"คือวันนี้… เพื่อนที่โรงเรียน… กลุ่มที่เล่นด้วยกันตลอด จู่ๆ พวกเขาก็ตีตัวออกห่างไปนะครับ พอผมเข้าไปจะเล่นด้วย ทุกคนก็พากันวิ่งหนี… ไม่รู้ว่าทุกคนรู้เรื่องที่บ้านผมได้ยังไง แต่ตอนนี้ทุกคนรู้หมดแล้ว พอเห็นว่าบ้านผมจน ผมไม่มีพ่อ ทุกคนก็กระจัดกระจายหนีหายไปหมดเลย

"อ้าว แล้วเพื่อนชื่อแจ็กที่เคยเล่าให้ฟังล่ะ แจ็กก็หนีด้วยเหรอ"

"เปล่าครับ แจ็กอยู่คนละโรงเรียนกัน…" พอเล่าถึงตอนนี้ ผมก็ทนไม่ไหว น้ำตาก็เริ่มพรั่งพรูออกมา...

"ฮึก ฮือ! ทำไมครับ ทำไมผมถึงต้องเจอเรื่องแบบนี้ ทั้งๆ ที่อายุ 11 ขวบเท่ากัน แต่ทำไมมีแต่ผมคนเดียวที่ไม่เหมือนกับเด็กอายุ 11 ขวบคนอื่นๆ! ฮึก อือ…!"

"ดูสิ ผมร้องไห้อีกแล้ว ถึงผมจะทำตัวเก่งแค่ไหน สุดท้ายก็เป็นเด็กอยู่ดี เกือบทุกวันที่ผมตื่นมาลำพังในบ้าน ผมจะพบว่าตัวเองตื่นมาทั้งน้ำตา ผมเคยมีครอบครัวที่อบอุ่น แต่ตอนนี้ไม่มีอีกแล้ว ผมอยากจะเข้มแข็งครับ อยากจะเป็นลูกผู้ชายที่เข้มแข็ง ไม่ร้องไห้ให้กับเรื่องจิ๊บจ๊อยแบบนี้...!!" ผมเอามือทุบโต๊ะ ปัง! และฝุบหน้าลงไปร้องไห้ อือ…! ฮือ! อา...

"ถึงจะร้องไห้ไป ก็ไม่มีใครมาช่วยหรอกนะ"

ผมตกใจเล็กน้อยกับน้ำเสียงที่ดุของท่าน และรีบเงยหน้าขึ้นมามองศาสตราจารย์ทันที ท่านมองตาของผมกลับด้วยแววตาที่อ่อนโยน เอามือจับไหล่ผมและพูดต่อว่า

"อย่าให้คนอื่นเห็นความอ่อนแอได้ง่ายๆ ไม่งั้นจะถูกเอาเปรียบก่อนได้รับความสงสาร... และที่สำคัญปู่ขอให้หลาน

"จงอย่ากลัวที่จะแตกต่างจากผู้อื่น

เพราะสิ่งนี้แหละมันจะเป็นอาวุธของเราในวันหนึ่ง"

"อา…วุธ..." ผมทวนคำอย่างแผ่วเบา ศาสตราจารย์พยักหน้ารับและพูดต่อว่า

"อย่าไปคิดว่าขณะนี้เป็นช่วงเวลาวิกฤตกาล จงคิดซะว่าเวลาแห่งความทุกข์นี่แหละคือโอกาส... โอกาสที่จะขัดเกลาจิตใจให้เข้มแข็งขึ้น เข้มแข็งมากพอที่จะมีชีวิตอยู่โดยที่สามารถแยกตัวออกจากกลุ่มได้"

"...หากทำได้ละก็ จะทำให้เราเข้มแข็งขึ้นได้โดยที่ไม่ต้องร้องไห้ และคนที่สามารถทำได้แบบนี้..."

"นั่นคือลูกผู้ชายที่แท้จริงอย่างแน่นอน"

"...."

เหมือนศาสตราจารย์ช่วยคลี่คลายปัญหาปมในใจของผม ทำให้ผมได้เห็นทางเดินของตัวเองชัดขึ้น ผมคิดในใจตอนนั้นว่า 'ผมจะต้องเข้มแข็งขึ้นให้ได้' และจากนั้นท่านก็ช่วยคลายปมปัญหาอีกข้อหนึ่งให้กับผมด้วย โดยการยื่นแผ่นกระดาษที่มีตัวหนังสือจีนรูปกาน้ำชามาให้ผม

"วิน รู้ไหมว่าคำนี้มีความหมายว่าอะไร?"

"...ไม่ครับ เกี่ยวกับค้าขายรึเปล่า" ผมเอามือเช็ดน้ำตา

"เปล่าเลย คำนี้อ่านว่า 'สี่ชี่หม่านถาง' 'ความสุขที่อบอวลไปทั่วบ้าน'" ท่านอธิบายต่ออีกว่า

"อักษรมงคลภาพนี้เป็นลักษณะการออกแบบด้วยการสร้างสรรค์พิเศษให้กลายเป็นอักษรศิลปะรูปภาพ 'กาน้ำชา' เพราะกาน้ำชาถือเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในทุกๆ งานมงคลของจีนนั่นเอง

ตรงฝาปิดกาน้ำอ่านว่า (สี่) แปลว่า ยินดี, เรื่องมงคล

ตรงส่วนหูจับอ่านว่า (ชี่) แปลว่า อากาศ, บรรยากาศ

ตรงส่วนปากกาน้ำชาอ่านว่า (หม่าน) แปลว่า เต็ม, อบอวลทั่วบริเวณ

ตรงส่วนด้านล่างกาน้ำชาอ่านว่า (ถัง) แปลว่า ห้องโถง, ห้องด้านใน

คำทั้งสี่รวมกันจึงหมายถึงกิริยาท่าทางที่แสดงออกถึงความดีอกดีใจหรือบรรยากาศแห่งความยินดีปรีดาที่อบอวลไปทั่วทั้งบ้าน เพื่อแสดงความยินดีกับทุกคนเนื่องจากเป็นวันแห่งมงคล เช่น วันรวมญาติ วันฉลองปีใหม่ ฯลฯ"

"ความสุขที่อบอวลไปทั่วบ้านงั้นเหรอครับ ถ้าบ้านผมตอนนี้เป็นแบบนั้นก็ดีสิ" ผมพูดด้วยท่าทางหงอยๆ

"หลานก็ทำให้เป็นแบบนั้นสิ"

"อะไรนะครับ"

ศาสตราจารย์เอามือมาลูบหัวผมและพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนแต่หนักแน่นจริงจัง

"ตอนนี้เมื่อพ่อไม่อยู่ ชีวิตของหลานไม่สมบูรณ์อีกต่อไป หลานต้องยอมรับความจริงข้อนี้ให้ได้ และถึงแม้ว่าหลานจะยังเป็นเด็ก แต่ก็คือผู้ชายคนเดียวของบ้าน หลานต้องเป็นเสาหลักของครอบครัว เมื่อแม่กลับมาถึงบ้าน หลานลองเข้าไปกอดแม่ด้วยรอยยิ้ม เอาน้ำให้แม่กิน แล้วถามแม่ว่า 'เหนื่อยไหม' แค่นี้ก็ช่วยเติมพลังใจให้แม่พร้อมสู้งานหนักในวันต่อไปได้แล้ว การที่กลับมาบ้านเจอลูกชายที่รักและคิดถึงมาทั้งวัน ยิ้มให้อย่างร่าเริง แค่นี้แม่ของเธอก็มีความสุขแล้วละ ทำบ้านหลังนี้ให้อบอวลไปด้วยความสุขไงล่ะ"

คำที่ท่านพูดเหมือนเป็นคำตอบที่เฉลยคำถามในหัวของผมจนหมดสิ้น เพราะที่โรงเรียนผมโดนเพื่อนทิ้ง เพื่อนๆ เอาแต่จับกลุ่มนินทาและทำตัวห่างเหินกับผม ไม่เล่นไม่คุยกันเหมือนเดิม พอกลับมาบ้านก็ไม่เจอใคร แม่ก็เอาแต่ทำงาน ผมเข้าใจในเหตุผลแหละว่าทำไม แต่ด้วยความเป็นเด็ก ความน้อยใจมันก็ผุดขึ้นมาเรื่อยๆ ทีละน้อย จนเกิดเป็นคำถามในใจว่า 'แม่ไม่คิดถึงเราบ้างเลยเหรอ? แม่รักเราน้อยลงใช่ไหม?' แต่เมื่อได้ยินคำที่ศาสตราจารย์พูด ผมถึงได้ตระหนักว่า

'นั่นสินะ แม่ก็คิดถึงเราเหมือนกันนี่นา'

....

ผมนึกขอบคุณศาสตราจารย์เสมอในทุกสิ่งที่ท่านสอน ถึงแม้ว่าช่วงสามปีมานี้จะไม่ได้เจอท่านเลย เพราะบอกว่าต้องไปทำงานวิจัยสำคัญที่ต่างประเทศเมลไปก็ไม่เคยตอบ ถามกับพี่ที่ส่งงานมาให้แปล เค้าก็ตอบแค่ว่า 'ท่านสบายดีไม่ต้องเป็นห่วง อีกสักพักก็กลับมาไทยแล้วละ'

"แล้วสักพักที่ว่าเมื่อไรล่ะเนี่ย? อยากรู้จังว่าศาสตราจารย์ไปทำงานอะไร"

ขณะที่ผมเปิดโทรศัพท์มือถือดูอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงของรถพยาบาล วี้หว่อ วี้หว่อ ดังมาแต่ไกล และขับเลี้ยวเข้ามาในปั้มและไปจอดที่หน้าร้านอาหารที่แม่ทำงานอยู่ ใจผมเต้นไม่เป็นจังหวะ ผมภาวนาขอให้อย่าเป็นเหมือนที่ผมคิดเลยเถอะ และพร้อมกันนั้นเสียงมือถือของผมก็ดังขึ้น

ตรู๊ด~~~!

[ป้าเอียดโทรเข้า]

บิ๊บ "ฮะ..ฮัลโหลครับ ป้าเอียด"

"วิน! แม่กาญล้มลงน่ะลูก ตอนนี้รถพยาบาลมารับแล้ว ลูกอยู่ไหนตอนนี้?!"