1 บทเริ่มต้นสู่โลกผสม

ณ ห้วงอวกาศอันแสนกว้างใหญ่ ยานบรรทุกรูปวงรีขนาดเท่าตึกร้อยชั้น กำลังขับเคลื่อนผ่านดาวเคราะห์น้อยใหญ่อย่างระมัดระวัง

ภายในห้องคนขับ ชายหนุ่มผู้ถือคันบังคับมองเส้นทางข้างหน้าด้วยท่าทีอันแสนเบื่อหน่าย ก่อนจะเอื้อมไปหยิบขวดเครื่องดื่มที่อยู่หลังเบาะคนขับออกมา

เพื่อนที่นั่งข้าง ๆ คนขับเอ่ยเตือนด้วยความหวังดี

"เฮ้ย เรากำลังขนหลุมดำอยู่นะโว้ย เดี๋ยวแกก็ได้เผลอทำใครหลุดเข้าไปในหลุมดำอีกหลอก"

คนขับหยิบออกมาอีกขวดและส่งให้กับเพื่อนที่นั่งข้าง ๆ

"นิดหน่อยน่าพวก เอาด้วยมะ"

เพื่อนคนขับโบกมือปฏิเสธ

"ไม่ละ ถ้าแกเมาฉันจะได้ขับแทนแกได้"

แต่คนขับก็ยังพยายามที่จะยัดเหยียดขวดใส่มือของอีกฝ่ายให้ได้

"เอาน่า นิดนึง"

เพื่อนคนขับเห็นขวดเครื่องดื่มแล้วก็ใจอ่อน

"เออ นิดนึงก็ได้"

สามนาทีต่อมา

คนขับและเพื่อนคนขับนั่งหน้าแดงผงกหัวไปมาอยู่บนเบาะนั่ง ด้านหลังเบาะนั้นเต็มไปด้วยขวดเปล่ามากมายกระจัดกระจายอยู่เต็มไปหมด

เพื่อนคนขับเอื้อมไปที่เบาะหลังของตนก่อนจะเอาผ้าห่มผืนหนึ่งออกมา แล้วหันมาพูดกับคนขับ

"ขับดีดีนะโว้ย อย่าให้ชนอีกละ"

พูดจบเพื่อนคนขับก็แอ่นเบาะไปด้านหลังจนสุดแล้วหลับไป

คนขับมองเพื่อนของตัวเอง

"เอ๊า หลับคนเดียวได้ไง หลับมั่งดีกว่า"

คนขับที่เหมือนจะลืมไปแล้วว่าตัวเองยังต้องบังคับยานต่อไป ก็ฟุ่บหลับไปบนแผงขวบคุมยาน

ติ๊ด หน้าผากคนขับกระแทกกับปุ่มบางอย่างที่เขียนไว้ว่า 'เปิดใช้งานระบบความเร็วแสง'

เสียงระบบแจ้งเตือนของตัวยานดังขึ้น

"นับถอยหลังเข้าสู่ความเร็วแสงในอีก สิบ เก้า แปด"

แต่ตอนนี้กับไม่มีใครสนใจมันเลยแม้แต่น้อย

ด้วยความมึนเมาคนขับที่นึกว่าเป็นเสียงของเพื่อนตนก็ยกมือโบกเล็กน้อย ก่อนจะเข้าสู่นิทรา

"ราตรีสวัสดิ์"

"สาม สอง หนึ่ง"

ฟิ่ว ยานบรรทุกขนาดใหญ่พุ่งไปด้านหน้าด้วยความเร็วสูงจนเห็นเป็นแค่เส้นแสงสีขาว

ตูม!!! เสียงระเบิดดั่งสนั่นหวั่นไหวเมื่อยานนั้นชนเข้ากับดาวเคราะห์สีฟ้าดวงหนึ่ง แรงขับเคลื่อนด้วยความเร็วแสงส่งผลให้ยานบรรทุกขนาดใหญ่ทะลุผืนดินเข้าไปในแกนดาว จนทำให้ดาวนั้นแตกเป็นเสี่ยง ๆ ผืนแผ่นดินแยกออกจากกันเป็นชิ้น ๆ เหมือนกับจิ๊กซอว์ หลุมดำที่หลุดจากห้องกักเก็บขยายตัวขึ้นเรื่อย ๆ มันขยายใหญ่จนสามารถดูดกลืนแผ่นดินได้ทั้งประเทศ เพียงเวลาแค่ไม่กี่นาที แผ่นดินแต่ละส่วนที่แยกออกจากกัน ก็ถูกดูดกลืนหายเข้าไปในหลุดดำจนหมดสิ้น

ปี ค.ศ. 3000

โลกเกิดแผ่นดินไหวอย่างรุนแรงจนแผ่นดินแยกออกจากกัน เหล่าประชากรชาวโลกต่างพากันหนีตายและหาที่หลบภัย และในขณะที่เกิดแผ่นดินไหวอยู่นั้น ท้องฟ้าที่เคยสว่างไสวก็มืดลงในฉับพลัน แผ่นดินเกิดการสั่นไหวอย่างรุนแรงมากขึ้น แต่นั่นก็เพียงครู่เดียวก่อนที่ทุกอย่างจะกลับมาสว่างไสวอีกครั้งพร้อมกับแผ่นดินไหวที่หยุดลง เหล่าผู้คนต่างพากันงุนงงกับเหตุการณ์ประหลาดนี้ แต่พวกเขาก็งุนงงกันอยู่ได้ไม่นาน เมื่อมีสัตว์รูปร่างหน้าตาแปลกประหลาดปรากฏตัวขึ้นมา บางตัวคล้ายสัตว์ในเทพนิยาย บางตัวก็เป็นสัตว์ที่มนุษย์ไม่เคยเห็นมาก่อน สัตว์ประหลาดจำนวนมากเหล่านี้ ต่างพากันปรากฏตัวออกมาจากรอยแยกและเริ่มเข้าจู่โจมมนุษย์อย่างบ้าคลั่ง หลายคนพากันวิ่งหนีและกรีดร้อง ตึกที่ยังคงสภาพดีถูกใช้เป็นที่หลบภัย ทุกอย่างที่หาได้ถูกดัดแปลงมาเป็นอาวุธและชุดเกราะ

1 ปีต่อมา

ณ ตึกใหญ่ที่เคยเป็นห้างสรรพสินค้าและโรงแรมห้าดาว เหล่าทหารอเมริกันผู้กล้าหาญหนึ่งกองร้อย กำลังทำการคุ้มกันประชาชนเพื่อเดินทางไปยังใจกลางลาสเวกัสซึ่งเป็นเมืองที่พวกเขาได้รับสัญญาณวิทยุว่ามนุษย์ที่พากันอยู่ที่นั่นสามารถสร้างป้อมปราการขึ้นมาได้

ที่ชั้นหนึ่งของตึก ประตูทุกด้านถูกปิดจนสนิท เหลือไว้เพียงประตูใหญ่ด้านหน้าที่เปิดเอาไว้ โดยหน้าประตู เหล่าทหารได้พากันนำซากรถหลายคันมาเรียงต่อกันและสร้างเป็นบังเกอร์สำหรับป้องกันการโจมตี

แม้จะเป็นกลางวันแสก ๆ แต่เหล่าสัตว์ประหลาดก็ยังพากันกรูเข้ามาไม่หยุด มนุษย์หมาป่าและแมงมุมตัวใหญ่จำนวนมาก ต่างพากันพยายามวิ่งฝ่าแนวกระสุนเพื่อหมายจะสังหารเหล่ามนุษย์ให้จงได้

แต่เหล่าทหารผู้กล้าไม่มีวันยอมง่าย ๆ ปืนกลและปืนไฟจำนวนมากถูกระดมยิงออกไปเพื่อสกัดกั้นสัตว์ร้ายเหล่านั้นเอาไว้

ตะวันบนฟากฟ้าเคลื่อนตัวคล้อยต่ำยามเมื่อราตรีมาเยือน เหล่าสัตว์ร้ายที่อยู่บริเวณโดยรอบถูกทหารผู้กล้าสังหารจนหมดสิ้น เหล่าชายชุดเขียวต่างพากันนั่งพักผ่อนอย่างเหนื่อยล้า

หัวหน้าทหารที่เป็นชายวัยกลางคนนามว่าสตีฟเดินไปหาผู้ใต้บังคับบัญชาของตนที่กำลังดูแลเครื่องปั่นไฟ

"เจค เราเหลือน้ำมันเท่าไหร่"

เจค รีบลุกขึ้นตอบ

"เอ่อ หลังจากที่เติมเครื่องปั่นไฟปืนไฟรถทั่วไปและรถบัสทุกคันแล้ว เราก็ไม่เหลือน้ำมันเลยครับ"

สตีฟมองเหล่าประชาชนที่อยู่ด้านในตึกด้วยสีหน้าวิตกกังวล ประชาชนนับพันคนยอมติดตามเขามา ด้วยความหวังที่จะมีแหล่งที่อยู่อาศัยที่ดีกว่าเดิม

"ไม่เหลือเลยเหรอ"

เจคพยักหน้าอย่างรู้สึกผิด

สตีฟเอามือขวาจับปลายคางนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง

"อืม ดูแลเรื่องการส่องไฟคืนนี้ให้ดีแล้วกัน อย่าให้พวกลิงล่องหนมันเล็ดลอดเข้ามาได้"

เจ็ดยืนตัวตรงแล้วทำท่าวันทยหัตถ์

"ครับท่าน"

สตีฟเดินตรงเข้าไปในตัวอาคาร ในใจพลางครุ่นคิดถึงวันพรุ่งนี้ ตอนนี้พวกเขาอยู่ห่างจากลาสเวกัสเพียงแค่ 400 กว่ากิโลเมตร ซึ่งน้ำมันเต็มถังของรถบัสรุ่น G73 แต่ละคันที่พวกเขามี ก็จะวิ่งได้ราว ๆ นี้พอดี ซึ่งถ้าหากเกิดเหตุฉุกเฉินขึ้น น้ำมันของพวกเขาอาจจะหมดระหว่างทางและทำให้พวกเขาไปไม่ถึงยังที่หมาย ส่วนรถคันอื่น ๆ อย่างรถฮัมวี่กับรถเก๋งนั้นตรงนี้เขาไม่ห่วงเท่าไหร่ เพราะน้ำมันเต็มถังสามารถวิ่งได้ไกลกว่ารถบัสอยู่แล้ว

เด็กสาวผมทองวัยเจ็ดขวบหน้าตาน่ารักวิ่งเข้าไปกอดผู้เป็นพ่อที่กำลังเดินเข้ามา

"คุณพ่อ"

สตีฟกอดตอบลูกสาวตัวน้อย ก่อนจะอุ้มอีกฝ่ายขึ้นมา

"ว่าไงยัยตัวแสบของพ่อ"

"วันนี้คุณพ่อเหนื่อยมั้ยคะ"

"เหนื่อยมากเลยลูก"

"งั้นรอหนูแป๊บนึง"

เด็กสาวกระโดดลงจากอ้อมกอดของพ่อ ก่อนจะวิ่งไปหยิบเอากระป๋องอาหารเก่า ๆ ใบหนึ่งมา ซึ่งข้างในมีน้ำสีน้ำตาลเข้มอุ่น ๆ อยู่ด้านใน เด็กสาวยื่นส่งกระป๋องให้กับพ่อพร้อมรอยยิ้มอันสดใส

"โกโก้สูตรพิเศษจากหนูค่ะ"

"ลูกสาวพ่อน่ารักจังเลย"

ผู้เป็นพ่อรับกระป๋องใส่โกโก้ไปด้วยความยินดี ก่อนจะกระดกไปหนึ่งที รสชาติที่ขมยิ่งกว่ากาแฟทำให้สตีฟหน้าเสียเล็กน้อย แต่ก็ต้องเก็บอาการไว้ ด้วยกลัวว่าสาวน้อยตรงหน้าเขาจะเสียใจ เมื่อกระดกไปอึกหนึ่งเขาก็เอาแก้วออกจากปาก ก่อนจะหันไปยิ้มให้กับสาวน้อยเจ้าของโกโก้ขมปี๋ตรงหน้า

"อร่อยมากเลยลูก ขอบใจนะ"

สาวน้อยยิ้มร่า ก่อนจะวิ่งกลับไปหาผู้เป็นแม่

"คุณแม่ คุณพ่อบอกอร่อยด้วยละ"

ผู้เป็นแม่มองสีหน้าของสามีก็ยิ้มให้อย่างขบขันปนเห็นใจ เพราะเธอได้แอบชิมก่อนแล้วว่าโกโก้ฝีมือลูกสาวตนนั้นรสชาติเป็นยังไง

สตีฟเดินต่อขึ้นไปยังชั้นสอง เพื่อไปคุยกับเหล่าทหารที่มีหน้าที่สอดส่องดูแลความเรียบร้อยด้านนอกตึก

สตีฟวางกระป๋องลงบนโต๊ะที่พลทหารคนหนึ่งนั่งอยู่

"เป็นไงบ้าง"

พลทหารลุกขึ้นตอบ

"สงบเรียบร้อยดีครับท่าน"

"แล้วพวกประชาชนที่ติดตามเรามาละ เรียบร้อยดีมั้ย"

"ไม่ครับ ทุกอย่างยังสงบเรียบร้อยดี ประชาชนแต่ละคนเราก็อนุญาตให้อยู่ได้แค่ชั้นหนึ่งกับชั้นสอง ส่วนทางขึ้นลงไปชั้นอื่น ๆ ได้ให้กำลังบางส่วนเฝ้ายามไว้หมดแล้วครับ"

"ดี"

สตีฟวางกระป๋องทิ้งไว้แล้วเดินจากไป

พลทหารที่เห็นกระป๋องยังมีน้ำโกโก้เหลืออยู่เต็มก็ตะโกนเรียก

"หัวหน้าครับ ท่านลืมของ"

สตีฟหันไปโบกมือ

"ชั้นยกให้ เอาไปเลย"

พลทหารยิ้มรับด้วยความยินดี

"ขอบคุณครับ"

เมื่อสตีฟเดินจากไปพลทหารก็ยกกระป๋องขึ้นดื่ม แต่เมื่อของเหลวด้านในสัมผัสโดนลิ้น เขาก็พ่นมันออกจากปากทันที

"แหวะ ขมเป็นบ้า"

เช้าวันรุ่งขึ้นเมื่อยังไม่มีสัตว์ประหลาดมาจู่โจมพวกเขา ประชาชนก็พากันทยอยออกจากห้าง แล้วพากันไปขึ้นรถบัสแต่ละคันที่จัดเตรียมไว้ให้

เจคที่กำลังตรวจสอบรายการรถแต่ละคัน ก็มีอันต้องหน้าเสีย เมื่อรถเก๋งสองคันยางแบนจนไม่สามารถนำมาขับต่อได้

สตีฟเดินเข้ามาจากด้านหลัง แล้ววางมือลงบนบ่าขวาของเจค

"ไง เรียบร้อยดีมั้ย"

เจคสะดุ้งเฮือก

"อ่ะ เอ่อ มีรถเก๋งสองคันยางแบนจนไม่สามารถวิ่งต่อได้ครับ"

สตีฟนิ่งคิดครู่หนึ่ง

"ให้ที่เหลือเดินทางออกไปก่อน ถ้าช้ากว่านี้พวกสัตว์ประหลาดอาจจะโผล่ออกมาอีก"

"ได้ครับ แล้วจะทำยังไงกับคนที่เกินมา"

ครอบครัวของสตีฟสามคนและทหารอีกเจ็ดคนยอมเสียสละรถของตัวเองให้ประชาชนเจ้าของรถเก๋ง เนื่องจากพวกสัตว์ประหลาดนั้นจะเริ่มบุกจู่โจมเมื่อพวกเขาอยู่ที่ใดที่หนึ่งนานเกินไป นั่นทำให้สตีฟตัดสินใจให้คนอื่นรีบเดินทางกันไปก่อนโดยไม่ต้องรอพวกเขา

ใช้เวลาไม่นานรถเก๋งสองคันก็ได้รับการเปลี่ยนล้อยางจนเสร็จ ทั้งหมดพากันขึ้นรถแล้วรีบขับตามขบวนรถไปให้เร็วที่สุด เพราะพวกเขาอยู่รั้งท้ายนานเกินไปแล้ว

สตีฟที่นั่งอยู่เบาะหลังกับภรรยาและลูก ก็หันไปหยอกลูกสาวตัวน้อยของเขา

"อีกนิดเราจะไม่ต้องนอนตามท่อระบายน้ำกันแล้ว ดีใจมั้ย"

เด็กสาวยิ้มร่า แล้วกระโดดโลดเต้นอย่างดีใจ

"เย้ จะไม่ต้องนอนในท่อระบายน้ำเหม็น ๆ แล้ว"

ในขณะที่สองพ่อลูกกำลังคุยกัน เงาอันใหญ่ยักษ์ก็เคลื่อนตัวผ่านพวกเขาไป

สตีฟมีสีหน้าที่เคร่งเครียดเล็กน้อยเมื่อสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างที่ใหญ่มาก ๆ เขารีบเปิดกระจกและชะโงกหน้าออกไปดูทันที

ปีกอันใหญ่โต เท้าสองคู่ที่มีกรงเล็บอันแหลมคมร่างกายขนาดมหึมาที่ประดับไปด้วยเกล็ดสีดำทมิฬ สัตว์จากเทพนิยายที่ระเบิดเครื่องบินรบไปแล้วหลายร้อยคัน มันกำลังบินตีโค้งกลับมาและพุ่งตรงมายังพวกเขา

สตีฟตะโกนลั่น

"เจค เร่งเครื่องเลย มังกรมาแล้ว"

เจคเหลือบมองกระจกหลัง มังกรที่มีขนาดตัวพอ ๆ กับเครื่องบินโดยสาร กำลังไล่จี้ตามรถของพวกเขามาติด ๆ

"เร่งให้โดยด่วนเลยครับ"

ตอนนี้สองฟากฝั่งเป็นพื้นที่รกร้าง ที่มีแต่ผืนดินสีแดงขนาบถนนคอนกรีต พวกเขาไม่สามารถใช้อะไรกำบังตัวเองได้เลย สิ่งที่ทำได้ดีที่สุดคือเหยียบให้สุดคันเร่งเพื่อตามขบวนให้ทัน และใช้อาวุธหนักระดมยิงใส่มัน

แต่เหมือนโชคชะตาจะไม่เป็นใจ เมื่อความเร็วในการบินของเจ้ามังกรนั้น กับเร็วกว่ารถเก๋งทั้งสองคัน มันบินไปลงจอดดักทางรถเก๋งทั้งสองคันเอาไว้ ก่อนจะใช้หางฟาดให้รถทั้งสองคันกระเด็นพลิกคว่ำไปหลายตลบจนไปนอนคว่ำอยู่ข้างทาง

แรงเหวี่ยงส่งผลให้ประตูฝั่งซ้ายที่สตีฟนั่งอยู่หลุดออกไปและเขาก็กระเด็นออกมาอยู่ข้างนอกรถ เจ้ามังกรค่อย ๆ เข้าไปใกล้รถที่ลูกเมียของเขายังติดอยู่ข้างใน มันกัดเอาประตูฝั่งขวาออกไป ก่อนจะใช้ลิ้นตวัดดึงทหารนายหนึ่งเข้าไปในปากของมันแล้วเขี้ยวต่อหน้าต่อตาสตีฟ สตีฟมองภาพตรงหน้าอย่างสยดสยอง แต่อาการจุกจากการโดนเหวี่ยงตกจากรถ ก็ทำให้เขาไม่สามารถลุกขึ้นมาได้ สตีฟมองปืนที่หล่นอยู่ตรงท้ายรถเก๋ง เขาพยายามที่จะคลานไปหามัน แต่ร่างกายที่บอบช้ำก็ไม่ยอมทำตามคำสั่งของเขาง่าย ๆ

เจ้ามังกรลิ้นยาวไม่พอที่จะล้วงเอาเจคออกมา มันจึงหันไปหาเบาะหลังที่ภรรยาของสตีฟอยู่ติดกับประตูแทน

สตีฟที่เห็นดังนั้นก็พยายามฟืนตัวเองและคลานไปกับพื้นทีละนิด

เจ้ามังกรกัดเอาประตูรถออกไป

สตีฟมองภาพตรงหน้าด้วยสายตาที่เบิกกว้างใบหน้าของเขาตื่นตระหนกเป็นอย่างมาก มือขวายื่นไปข้างหน้าหวังจะทำอะไรให้ได้สักอย่าง เจ้ามังกรก้มหน้าลงไปและแลบลิ้นออกมาเพื่อหวังจะเอาเหยื่อของมันมากิน สตีฟที่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตะโกนลั่นสุดเสียง

"อย่า!!!"

วูม เสียงอันทรงพลังปล่อยคลื่นบางอย่างออกมาจนฝุ่นรอบตัวของสตีฟพัดกระจายออกไปเป็นวงกว้าง เจ้ามังกรหยุดนิ่งอยู่กับที่และไม่ขยับเคลื่อนไหว ราวกับว่ามันต้องมนต์สะกดที่พันธนาการทั้งร่างของมันเอาไว้

avataravatar
Next chapter