webnovel

หยั่งเชิง

ฝีเท้าไร้สุ้มเสียงและรองเท้าสีขาวสะอาดไร้ฝุ่นดินติดแม้แต่น้อยเมื่อเดินไปตามทางเดินพื้นดินเช่นนี้ นั่นทำให้เห็นว่าผู้ที่กำลังก้าวย่างอยู่นั้นมีวรยุทธ์สูงส่งเพียงใดแม้จะเหยียบย่ำลงบนใบไผ่แห้งสีทองบนพื้น

พ่อบ้านเหวินที่เพิ่งมารอได้ไม่นานเมื่อเห็นร่างในอาภรณ์สีขาวสง่าเดินออกมาจากป่าเข้ามาใกล้ก็ร้องเรียกขึ้น "คุณชายไป๋ขอรับ นายท่านเชิญไปรับประทานอาหารร่วมกันขอรับ"

คุณชายรองตระกูลไป๋เดินยิ้มอย่างสบายอุราในหัวนึกถึงใบหน้าจิ้มลิ้มดวงตากลมโตเป็นประกายของใครบางคนที่เพิ่งไปพบมาเมื่อครู่ รอยยิ้มเจิดจ้าน่าหลงใหลนั้นทำให้ใครที่เห็นต่างก็ต้องยิ้มไปตามกัน ทว่าเมื่อนึกถึงท่าทางที่ไร้ความเป็นกุลสตรีทั้งยังดูไร้สมองเช่นนั้นทำให้ชายหนุ่มถึงกับหลุดหัวเราะลั่นออกมา

พ่อบ้านเหวินจางและจิวจื่อที่เดินตามหลังมองหน้ากันด้วยความแปลกใจ จิวจื่อที่เป็นคนช่างสงสัยจึงเอ่ยถามขึ้น "คุณชายไป๋ลงโทษหัวขโมยผู้นั้นแล้วใช่หรือไม่ขอรับ" เห็นคุณชายหัวเราะแบบนี้เจ้าหัวขโมยคงโดนจัดการจนเข็ดหลาบไปแล้วเป็นแน่

ไป๋เฟิงที่เดินนำหน้าอมยิ้มมุมปาก "แน่นอน"

จิวจื่อยิ้มอย่างโล่งอกเข้ามากระซิบเสียงเบากับพ่อบ้าน "เช่นนี้พ่อบ้านก็ไม่ต้องเหนื่อยแล้วใช่ไหมขอรับ"

เหวินจางมองไปยังร่างที่เยื้องย่างอยู่เบื้ิองหน้า ได้ยินคุณชายเอ่ยเช่นนั้นเขาเองก็วางใจ ทว่ากลับไม่ไว้ใจเสียทีเดียว เสียงหัวเราะเมื่อครู่ดูเหมือนกับคนที่เพิ่งเจอเรื่องสุขใจมา

บางทีเขาอาจคิดมากไปเองก็เป็นได้?

.....................

ยามสิบดวงอาทิตย์คล้อยลงต่ำระหว่างภูเขาสูง แสงแดดยามเย็นไม่ร้อนจนเกินไปทำให้สะท้อนสีสันของดอกไม้นานาพรรณในสวนแห่งนี้ดูเปล่งประกายขึ้นมา

ชายหนุ่มในอาภรณ์สีขาวสะอาดก้าวย่างมาตามทางเดินปูด้วยหินแม่น้ำตามหลังพ่อบ้านใหญ่จวนมหาเสนาบดี สายตาของเขากวาดไปทั่วสวนดอกไม้ด้วยสีหน้าแช่มชื่น ก่อนจะไปหยุดยังศาลาหลังใหญ่ที่ตั้งอยู่กลางสวน ภายในนั้นมีโต๊ะไม้สีดำสนิทขนาดไม่ใหญ่มากอยู่ตัวหนึ่งตั้งอยู่กลางศาลา บนโต๊ะเต็มไปด้วยอาหารหลากหลายชนิดเต็มโต๊ะจนดูไม่เหมือนกับทานกันแค่สองคน ทว่ามีเพียงเก้าอี้สองตัวเท่านั้น

ฝั่งหนึ่งของโต๊ะมีชายวัยกลางคนนั่งรออยู่ ใบหน้านั้นยังดูราวกับชายวัยฉกรรณ์ ดวงตาสีดำนิ่งสนิทปิดบังสิ่งที่อยู่ภายในแววตาได้เป็นอย่างดี ปากเขายิ้มน้อย ๆ เหมือนชายที่มีเมตตากับทุกสรรพสิ่ง ร่างสูงนั่งเหยียดหลังตรงอย่างผึ่งผาย

คนแบบนี้ช่างน่ากลัวยิ่งนัก...ทว่าเขาเองก็อาจรับมือได้ไม่ยาก

"ให้ท่านมหาเสนาบดีมารอ ข้าน้อยเสียมารยาทยิ่ง" ไป๋เฟิงโค้งตัวคารวะอย่างนอบน้อมมุมปากยิ้มน้อย ๆ

"มาแล้วหรือ? เข้ามาเลย…ไม่ต้องมากพิธีกับข้าหรอก จำได้ว่าครั้งล่าสุดที่เคยเจอเจ้ายังกระโดดไล่ตามกระต่ายน้อยของแม่เจ้าอยู่เลย ฮ่า ๆ ๆ "

"จริงรึขอรับ? ข้าจำไม่ได้เลย" ชายหนุ่มยิ้มอย่างมีมารยาทก่อนจะนั่งลงฝั่งตรงข้ามกับอีกฝ่าย

"ตอนนั้นเจ้ายังอายุไม่ถึงสิบปี แต่ตัวยังไม่ถึงเข่าข้าเลย ไม่คิดว่าโตมาเจ้าจะโตได้ถึงขนาดนี้" ดวงตาของชายวัยกลางคนคิดไปถึงยามเก่าก่อน

"ข้าเองก็เคยกังวลเช่นกันว่าจะตัวเล็กกว่าสตรี แต่พออายุมากขึ้นข้าก็เริ่มสูงขึ้นแล้วขอรับ" เขาเองก็พานนึกไปถึงสมัยก่อนด้วยเช่นกัน

"เอาล่ะ มาทานอาหารกันดีกว่า"

เมื่อทานไปได้สักระยะชายหนุ่มก็วางตะเกียบลง มหาเสนาบดีเห็นดังนั้นจึงเอ่ยขึ้น "ดูเหมือนเจ้ามีอะไรจะพูดกับข้าอย่างนั้นหรือ?"

ไป๋เฟิงยกสองมือคารวะ "ท่านมหาเสนาบดีช่างหลักแหลมยิ่งนัก"

ชายวัยกลางคนหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะเอ่ยอย่างเป็นมิตร "เจ้าลองว่ามา"

เมื่อเห็นท่าทีของคนตรงหน้าไป๋เฟิงก็ยิ้มมุมปาก หากเอ่ยถึงบุตรีคนหนึ่งของท่านมหาเสนาบดี เขาจะมีปฎิกริยาเช่นไร?

"วันนี้ข้าได้พบกับคุณหนูสิบเอ็ด ข้ารู้สึกถูกชะตากับนางมาก ดังนั้นข้าอยากขอท่านผู้เป็นบิดาของนางให้ข้าได้พานางออกไปเที่ยวเล่นสักวันขอรับ"

"ฟางหรงน่ะหรือ? ไม่มีปัญหา นางคงจะดีใจเป็นแน่ ฮ่า ๆ ๆ " มหาเสนาบดีหัวเราะชอบใจ

นี่เขาแสร้งทำเป็นไม่รู้หรือจำไม่ได้จริง ๆ กัน?

ไป๋เฟิงมุมปากยิ้มแต่ภายในใจกลับมีคำถามขึ้นมา คนเช่นนี้ก็ต้องพูดไปตรง ๆ คนอย่างไป๋เฟิงไม่สนใจใครอยู่แล้ว เขาต้องการสิ่งใดก็ต้องได้เท่านั้น

"ข้าหมายถึงคุณหนูสิบเอ็ดฉีอันหนิงขอรับ เมื่อตอนบ่ายนี้ข้าเพิ่งได้ไปพบกับนางมา พอได้พูดคุยกันข้าก็รู้สึกถูกชะตายิ่งนัก ดังนั้นวันพรุ่งนี้ข้าขอพา หนิงหนิง ไปชมเมืองสักหน่อยนะขอรับ คิดว่าคนมีจิตใจเมตตาเช่นท่านมหาเสนาบดีคงไม่มีปัญหา?"

คนเป็นพ่ออย่างมหาเสนาบดีฉีกุ้ยเหวิน คงไม่เคยเรียกบุตรสาวผู้นั้นอย่างสนิทสนมเช่นเขาเป็นแน่ คิดแล้วเขาก็ยิ้มปริ่มอย่างภาคภูมิใจ

ใบหน้าที่อ่อนโยนเมื่อครู่เริ่มไร้สีเลือดรอยยิ้มแข็งกระด้าง เขานิ่งค้างไปนานโดยไม่มีคำตอบใด ๆ ทั้งสิ้น แต่ไป๋เฟิงเองก็ไม่รีบร้อน เขานั่งจิบสุราอย่างเพลิดเพลินใจ

เรื่องเช่นนี้คนตรงหน้าย่อมต้องคิดหนัก จู่ ๆ หากปรากฏคุณหนูสิบเอ็ดอีกคนขึ้นกลางเมืองพวกชาวบ้านจะร่ำลือกันไปอย่างไร ชื่อเสียงของท่านมหาเสนาบดีคงกระฉ่อนไปเร็วรี่ยิ่งกว่าตอนสร้างความดีความชอบเสียอีก

น่าสนุกจริง ๆ ...

"ท่านพ่อให้ข้ามาพำนักที่จวนของท่านเพียงไม่กี่วันเท่านั้น หากเกิดฝนฟ้าคะนองในช่วงนี้เข้าคงไม่ดีเท่าไหร่นัก หากท่านเงียบก็ถือว่าท่านตกลงแล้วนะ" ไป๋เฟิงส่งยิ้มกว้างให้ก่อนจะลุกขึ้นโค้งคารวะแล้วก้าวเท้าออกจากศาลาไปอย่างอารมณ์ดี

ในเมื่อเขาเป็นไพ่ตัวสำคัญที่มหาเสนาบดีกำลังต้องการ เช่นนั้นเขาขอใช้สิทธิ์อันทรงเกียรติ์นี้ให้คุ้มค่าหน่อยก็แล้วกัน