webnovel

ความเจ็บปวดแลกรอยยิ้ม

แสงอาทิตย์ยามเที่ยงวันส่องลงมาแรงกล้า ท่ามกลางเสียงธรรมชาติในป่ามีเสียงของฝีเท้าสองคู่วิ่งอย่างทุลักทุเลมาตามทางเดินเส้นเล็ก จินหมิงดึงก้อนขาว ๆ ซึ่งก็คือนายของตนตะบึงไปโดยไม่สนใจเสียงร้องของผู้เป็นนายเลยแม้แต่น้อย

"อาหมิง…อาหมิง…ฉัน…ไม่ไหวแล้ว! ขอพัก…ขอพักก่อนแป๊บนึง!!"

เสียงหอบแฮ่กของเฮ่อซินหมิงที่คล้ายกับวัวดูเหมือนจะไม่เข้าหูคนตรงหน้าสักนิด "อีกนิดเดียวเจ้าค่ะคุณหนู! ใกล้จะถึงแล้ว! คุณหนูอดทน…ว๊ายยยย!!"

จู่ ๆ อาหมิงก็ถูกกระชากล้มโครมลงไปด้วยกันกับคุณหนูของตน เฮ่อซินหมิงที่ถูกลากวิ่งไม่ดูฟ้าดูดินแบบนี้เท้าก็ไปสะดุดก้อนหินเข้าทำให้ล้มคว่ำลงกับพื้น จินหมิงที่มือปลาหมึกไม่ยอมปล่อยผ้าห่มก็พลอยร่างฟาดพื้นไปด้วย

ทั้งคู่นอนหอบกันอย่างจะเป็นจะตาย อย่าว่าแต่เจ้าของร่างคุณหนูฉีอันหนิงที่ไม่เคยก้าวออกจากเรือนเลย แม้แต่เธอที่ตาบอดมาแต่กำเนิดก็ยังไม่เคยซอยเท้าจนขาหมุนแบบนี้มาก่อน

"ทำไมต้องวิ่งป่าราบขนาดนี้ด้วยเนี่ย…อาหมิง" เฮ่อซินหมิงที่พลิกตัวนอนหงายทว่าร่างก็ยังไม่หลุดออกจากผ้าห่ม เธอรู้สึกว่าตอนนี้เหงื่อเปียกโชกไปทั่วแผ่นหลัง

"คุณชายท่านนั้นทำอะไรคุณหนูหรือเจ้าคะ" จินหมิงตอบด้วยน้ำเสียงคลางแคลงใจ

เฮ่อซินหมิงได้ยินก็ต้องขมวดคิ้วมุ่น "ทำอะไร?"

สาวใช้ตัวน้อยชะงักเลิกคิ้วขึ้นแล้วรีบลุกขึ้นนั่งหันไปทางเจ้านายตน "ก็ที่ในศาลาอย่างไรล่ะเจ้าคะ"

เห็นใบหน้าคุณหนูฉายแววรู้สึกผิดแกมขำก่อนจะยื่นแขนข้างหนึ่งที่หลุดออกจากพันธนาการผ้าห่มขึ้น

"ฉันน่ะสิ…จะเอาแขนออกจากผ้าห่ม แต่คุณชายคนนั้นก็เผอิญมาอยู่ในทิศทางที่มือฉันพุ่งออกมาพอดี...มือก็เลยตบฉาดเข้าให้ แหม…แหะ ๆ แต่ว่าฉันก็ขอโทษไปแล้วนะ"

รอยยิ้มแห้ง ๆ ของคุณหนูทำเอาจินหมิงพูดไม่ออกร่างกายค้างนิ่งราวหินสลัก

นี่แสดงว่า…เป็นคุณหนูอันหนิงที่ไปตบหน้าคุณชายผู้นั้นเองน่ะหรือ?!?

"นี่…" เฮ่อซินหมิงยื่นแขนข้างที่เป็นอิสระไปดึงแขนเสื้ออีกฝ่ายเบา ๆ ทว่าคนตรงหน้าก็ยังคงทำหน้าบิดเบี้ยว

"นี่ ๆ " แรงดึงของเสื้อที่มากขึ้นทำให้สติของจินหมิงกลับมา "โอ๊ย! คุณหนูนี่ก็..."

เฮ่อซินหมิงลุกขึ้นยืน มือข้างขวาปัดเศษฝุ่นดินและใบไม้ที่ผ้าห่มออกก่อนจะยื่นส่งให้กับอาหมิง นางยื่นมือรับแล้วลุกขึ้นยืนพลางส่งสายตาแปลกประหลาดมาให้คุณหนูตน

"ไปกันเถิดเจ้าค่ะ"

ทั้งคู่เดินมาอีกชั่วครู่ก็พบกับกำแพงเก่าที่ทอดยาว เฮ่อซินหมิงเพิ่งนึกขึ้นได้รีบถามคนข้างกายด้วยความตื่นตระหนก

"อาหมิง!…กำแพงรูปฉันมันหายไปไหนแล้ว ทำไมไม่เห็นแล้วล่ะ!"

จินหมิงหัวเราะ "ก็อยู่ตรงหน้าคุณหนูนี่อย่างไรล่ะเจ้าคะ" เพื่อยืนยันคำพูดจินหมิงก้าวเท้าเข้าไปใกล้กำแพงและใช้ทั้งสองมือดันกำแพงเบา ๆ ทันใดนั้นกำแพงที่ดูแนบสนิทกันก็เผยรอยแยกออกมาให้เห็น

"โอ้ว้าว! สุดยอดไปเลย เธอจำได้ยังไงเนี่ย ดูแบบนี้ก็แทบมองไม่เห็นรอยอะไรเลย"

จินหมิงส่งยิ้มกว้างให้ก่อนจะเบี่ยงตัวไปด้านข้าง "เชิญคุณหนูเจ้าค่ะ"

เมื่อทั้งสองก้าวมุดกำแพงรูปตัวคนเข้ามานางก็กลับไปจัดการดันกำแพงให้เข้าที่อย่างแนบเนียนตามเดิม สองนายบ่าวเยื้องย่างด้วยสีหน้าสดชื่นท่ามกลางป่าไผ่สีเขียวขจี สายลมพัดผ่านใบไผ่แห้งสีทองให้โปรยปรายลงมาดูงดงามและสบายอุราอย่างยิ่ง คนทั้งสองผ่อนฝีเท้าลงโดยไม่รู้ตัว

มาถึงหน้าเรือนหลังเล็กที่จินหมิงแสนคุ้นเคย นางอมยิ้มทอดสายตาไปทั่วเรือน นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่คุณหนูได้ออกไปเที่ยวเล่นภายนอก นางไม่นึกฝันเลยว่าจะมีสักวันที่คุณหนูของนางได้ย่างก้าวออกจากเรือนหลังนี้

แต่ทว่าการออกไปเที่ยวเล่น กลับต้องแลกด้วยอาการป่วยที่กำเริบอย่างหนักอย่างที่นางไม่เคยคาดคิดหรือพบเจอมาก่อน...

มุมปากที่ยกยิ้มค่อย ๆ ตกลง ใบหน้านวลผ่องหม่นหมองลงทันที

ทั้งสองเรื่องล้วนเป็นสิ่งที่เพิ่งเคยเกิดขึ้นทั้งสิ้น ถ้าเช่นนั้นแล้ว หากคุณหนูอยู่แต่ในเรือนจะไม่มีเหตุการณ์อาการกำเริบเช่นนั้นใช่หรือไม่?

"เฮ้อ…ดีจริง ๆ เลยที่ได้ออกไปเที่ยวเล่นแบบนี้บ้าง เป็นครั้งแรกของฉันเลยนะเนี่ย ขอบใจเธอมากนะอาหมิง ฉันมีความสุขจริง ๆ "

รอยยิ้มเจิดจ้าสะท้อนกับแสงอาทิตย์ที่สาดส่องลงมาทำให้ร่างเล็กบอบบางนั้นเต็มไปด้วยพลังชีวิต ราวกับต้นไผ่น้อยที่ยืนหยัดต่อพายุโหมกระหน่ำ ราวกับต้นไผ่น้อยที่โอนเอนไปตามสายลมแสงแดดอย่างอิสระเสรี

ไม่เหมือนแต่ก่อนที่คุณหนูของตนสูงส่งราวกับดอกบัวพ้นน้ำ เรียบร้อยอ่อนหวานราวกับดอกบัวชูช่อสง่า

จินหมิงรู้สึกพูดไม่ออกไปชั่วขณะ เมื่อเป็นเช่นนี้นางควรจะทำเยี่ยงไร?...

"ไม่ได้กินอะไรมาตั้งแต่เช้าแล้ว ชักจะหิวชะมัด" มือน้อย ๆ ลูบท้องพร้อมกับเสียงขานรับยืนยันที่ดังลั่นออกมาจากผ้าห่ม

จินหมิงสะดุ้งจากภวังค์รีบเอ่ยทันที "คุณหนูไปรอในเรือนก่อน ข้าจะไปนำสำรับอาหารมาให้นะเจ้าคะ"

"อย่าลำบากคนเดียวเลยน่า…เห็นว่ามันไกลมากเลยไม่ใช่หรอ ฉันจะไปด้วยดีกว่า เผื่อวันหลังจะได้ไปเองได้"

"ไม่ได้นะเจ้าคะ!!! ไม่ได้เด็ดขาด ท่านไปเดินเล่นหลังจวนได้แต่ไปหน้าจวนคงต้องเจอศึกหนักแน่ ให้ข้าไปเช่นเดิมดีกว่า" ไม่รอช้าอาหมิงรีบพุ่งออกไปจากเรือนทันทีด้วยเกรงว่าคนข้างหลังจะทันมองเห็นทิศทางที่นางวิ่งผ่าน

ในพริบตาร่างนั้นก็หายลับไปในป่าไผ่ทิศตรงข้ามกับที่เพิ่งเดินมา "โห! อยากวิ่งเร็ว ๆ แบบนั้นได้บ้างจัง…"

"นั่นใครวิ่งป่าราบมาทางนั้นแน่ะ" เสียงห้วนแหลมของบ่าวคนหนึ่งที่กำลังนั่งจับจีบขนมอยู่เอ่ย คนในระแวกนั้นหันไปมองด้วยความสงสัย

"นั่นมันจินหมิงลูกสาวป้าจินอู๋มิใช่รึ ที่คอยดูแลคนสติฟั่นเฟือนอยู่หลังจวนน่ะ"

"งานแบบนั้นคงมีแต่คนซื่อบื้ออย่างนางทำได้เท่านั้นแหละ ฟั่นเฟือนกับซื่อบื้อ ดูแล้วเหมาะสมกันดีออก " ทั้งกลุ่มหัวเราะออกมาครืนใหญ่

ร่างที่ไกลลิบเมื่อครู่เพียงชั่วอึดใจก็มาถึงโรงครัวที่มีบ่าวมากมายกำลังทำงานกันขวักไขว่ นางนั่งลงบนเก้าอี้ตัวเล็กแล้วยกมือทาบอกหายใจหอบแรงราวกับวัวกระทิง สายตายังลอกแลกมองไปยังทิศที่เพิ่งวิ่งมา

"จินหมิง เจ้าเป็นอะไรเหตุใดวิ่งเสียฝุ่นตลบ คนฟั่นเฟือนผู้นั้นกำลังอาละวาดหรือไร?" ตามด้วยเสียงขำพรืดของบ่าวสาวที่นั่งอยู่บนตั่งกำลังจีบขนม

เห็นจินหมิงไม่เอ่ยตอบ พวกนางก็ไม่ซักไซร้อะไรต่อ เสียงหอบหายใจนั้นราวกับคนที่กำลังจะขาดใจรอมร่อ

ผ่านไปหนึ่งถ้วยชาเมื่อลมหายใจเข้าสู่ภาวะปกตินางก็เข้าไปภายในครัวที่มีแม่ครัวกำลังทำอาหารกันอย่างขะมักเขม้น

สายตากวาดไปมาก่อนจะเดินตรงไปยังร่าง ๆ หนึ่งที่นั่งล้างผักอยู่ผู้เดียว

"ท่านแม่"

"หืม…อ้าว! อาหมิงนั่นเอง มีอะไร" เสียงที่ขึงขังขั้นทำเอาใจอาหมิงหดเล็กลง

"คือ…เมื่อวานท่านแม่ได้ไปหาคุณหนูที่เรือนหรือไม่เจ้าคะ?" น้ำเสียงที่ค่อย ๆ แผ่วลงทำให้คิ้วหนาเลิกขึ้น จินอู๋ถามกลับด้วยเสียงต่ำดุดัน

"ทำไม!"