webnovel

สวนทางสวรรค์ พลิกโลกา

สวนทางสวรรค์ พลิกโลกา จะกล่าวถึงโลกของมหาพิภพหวนตี๋ที่กว้างใหญ่ไพศาล ภายในโลกอันพิศดารนี้ ไม่มีสิ่งที่เรียกว่า จอมยุทธ์ หรือ เทพเซียน มีแต่เพียงผู้วิเศษที่โลดแล่นอยู่ในโลกใบนี้มานานนับหมื่นนับแสนปี ท่ามกลางการคงอยู่ของเหล่าผู้วิเศษในตำนานที่สามารถเขย่าฟ้าสะเทือนแผ่นดินนั่น มีเด็กหนุ่มอัจฉริยะจากตระกูลมู่ ตระกูลเล็กๆที่แดนใต้ของทวีป เขามีนามว่า "มู่อิ่งเทียน"ผู้ไม่สนใจในการฝึกตนและกฏเกณฑ์ ทว่าเพราะการลอบสังหารน้องขายของเขา ก็ทำให้มู่อิ้งเทียนต้องเริ่มเดินเข้าสู่เส้นทางของการเป็นผู้วิเศษ เพื่อสืบหาความจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้ แม้ว่าเส้นทางนั่นเขาจะต้องกลายเป็น"มารร้าย" ก็ตาม

kintsrou_crusader · Eastern
Not enough ratings
14 Chs

ตอนที่ 9 ภายใต้หุบเหว

หุบเหวกระบี่จงหยวน ชื่อนี่ถูกขนานนามเอาไว้เช่นนี้เพราะมีตำนานสืบทอดเล่าขานเอาไว้ว่า ผืนที่ตรงนี้เดิมที่ไม่ได้เป็นหุบเหว แต่เกิดจากการต่อสู้กันของสองยอดฝีมือระหว่างธรรมะและอธรรมกันในอดีตจากยุคโบราณ และผลของการห่ำหั่นกันจนท้องฟ้าเปลี่ยนสีนั่น ฝ่ายธรรมมะได้ใช้สุดยอดกระบี่ในใต้หล้าเล่มหนึ่งแสดงสวิชาอภินิหารขึ้นมาจากสวรรค์ลงลงทัณฑ์จอมมารร้ายลงในกระบี่เดียว ผลของพลังกระบี่ที่มีพลังมหาศาลนั่นได้ทิ้งรอยราวกับเป็นมีดแกะสลักไว้บนแผ่นดิน ลากยาวไปหลายร้อยลี้

นับแต่นั้นหุบเหวนี่จึงได้ชื่อว่าหุบเหวกระบี่จงหยวน เพราะรอยแยกของหุบเหวเกิดจากรอบฟันของกระบี่เล่มหนึ่ง จินตนาการได้เลยว่าถ้าหากเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง คนผู้นั้นจะต้องมีพลังอำนาจถึงเพียงใดถึงจะสามารถทำเช่นนั่นได้

เวลานี้ภายใต้หุบเหวลึกที่มองไม่เห็นก้น มีเพียงความมืดครอบคลุมไปทั่วบริเวณราวกับว่าสถานที่นี่ไม่ได้รับแสงจากพระอาทิตย์เบื้องบนมายาวนานนับพันนับหมื่นปีแล้ว

ความเงียบสงบวังเวงยากที่จะไม่รู้สึกตื่นกลัวนี้ เวลานี่กลับมาอะไรบางอย่างเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย

แสงสว่างสายหนึ่งส่องไสวอยู่เป็นจุดเล็กภายใต้ความมืดราวโคมไฟในมหาสมุทร

ร่างของชายชราผู้หนึ่งถูกความมืดกลืนกินไปจนมิด ยามนี้กำลังหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง

"ฮ่าๆ ฮ่าๆๆๆๆ"

หากใครได้เห็นภาพในล่องลึกหุบเขาที่มืดสนิทไร้ซึ่งแสงสว่างเข้าถึงมานานนับทศวรรษ แล้วดันมีตาเฒ่าวิปลาสกำลังหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง เสียงหัวเราะนั่นเจือไปด้วยแววอ้างว้าง อีกทั้งยังเจือความเย้ยยั่นโลกนี้เอาไว้จนปิดไม่มิด

"ไม่มีสิ่งใดเลย...ทุกสิ่งที่ข้าทำมาทั้งหมดจนถึงตอนนี้กลับไม่เหลืออะไรอยู่เลย!"

ชายชราผู้นี้สภาพทั่วร่างหากจะให้พูดคงไม่นับได้ว่าเป็นมนุษย์อีกแล้ว ทั่วทั้งร่างของมันด้วยเต็มไปด้วยร่องบาดแผลสาหัส แม้แต่แขนขวาที่พึ่งถูกตัดสะบั้นบัดนี้ก็ยังคงมีสายโลหิตไหลออกมา

แต่ที่สำคัญคือ สายน้ำที่ไหลมากกว่าโลหิตของมันยามนี้กลับเป็นน้ำตา!

มือที่เหี่ยวย่นในความมืด กำลังกอบกุมแผ่นป้ายสีขาวเอาไว้แม้ว่าภายใต้หุบเหวกระบี่จงหยวนที่ลึกสุดหยั่งนี้จะมืดสนิทจนมองไม่เห็นแม้กระทั้งมือตัวเองก็ตาม ทว่าแผ่นป้ายสีขาวแผ่นนี้กลับเรืองรองแสงสว่างพร้อมกับไอเย็นออกมาจางๆ

ไอเย็นแผ่วเบานี่กลับแทรกซึมเข้าไปถึงจิตวิญญาณของหวังเฟิงหวั่น!

เพื่อแผ่นป้ายแผ่นนี้มันถึงกลับต้องแลกไปกับทุกสิ่งสำคัญของตนเอง บัดนี้เพียงเพราะสิ่งสุดท้ายที่เจ้าสำนักมารบูรพาถ่ายทอดคำสั่งให้แก่มันก่อนที่สำนักจะถูกเหล่าฝ่ายธรรม ฝ่ายพุทธ ฝ่ายเต๋าเข้าทำลาย ก็มีเพียงการนำแผ่นป้ายหนีติดตัวมาไกลถึงชั้นที่ห้า ของศิขรินทร์ห้าชั้นฟ้า

และจุดทุ่งหมายของมันก็คือหุบเหวกระบี่จงหยวนหนึ่งในสถานที่ที่ลี้ลับที่สุดในแผ่นดินจงหยวน!

ทว่าบัดนี้มันมาถึงแล้ว พยายามฝ่าฟันอุปสรรคเข้ามาแม้ร่างกายจะไม่ครบองค์ประกอบก็ตาม ไม่ว่าจะผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านพันหุบเขาหมื่นมหานที ไม่ว่าจะยากเย็นเพียงใดมันก็ดั้นด้นจนมาถึงที่หมายนี้จนได้

แต่สิ่งที่รอมันอยู่คือความมืดมิดราวอันธการไร้จุดสิ้นสุด

แล้วจะไม่ให้มันบ้าคลั่งได้เช่นไร จะไม่ให้มันโกรธแค้นได้เช่นไร!

มันหัวเราะเย้ยหยันอย่างบ้าคลั่งภายในหุบเหวลึกนนี้แม้แต่สายฝนก็ไม่อาจลงมาถึง น้ำเสียงเย้ยหยันของมันดังสะท้อนไปมาราวกับสัตว์ป่าดุร้ายที่ต้องการที่จะหัวเราะจนตาย

บัดนี้มันไม่เหลืออะไรอีกแล้ว ไม่มีหนทางไปต่อ ความหวังสุดท้ายขาดสะบั้นเหมือนกับฟางเส้นสุดท้ายในใจของมัน

ร่างที่สะบัดสะบอมราวกับคนก็ไม่ใช่ผีก็ไม่เชิงของมัน แลดูน่าผวาจนหากเด็กน้อยเข้ามาเห็นร้อยทั้งร้อยคงต้องตกใจจนขวัญกระเจิงเป็นแน่

หวังเฟิงหวั่นรู้ตัวดีว่าสภาพร่างกายของตนเองเป็นเช่นนี้ แม้จะเป็นผู้ที่มีพลังฝึกตนมากมายหมาศาลเพียงใด อีกไม่นานก็คงต้องตายกลับสู่ความว่างเปล่า

แต่ที่มันกลัวกลับไม่ใช่ความตาย สิ่งที่มันกลัวที่สุดคือมันจะต้องตายโดยที่ไม่มีสิ่งใดที่ทำได้สำเร็จเลย

อาจจะบางทีสวรรค์คงกำหนดโชคชะตาของมันเอาไว้แล้ว

ทว่าตัวมันกลับไม่เชื่อในสวรรค์!

ดวงตาที่แดงกล่ำดุจโลหิตของมันยามนี้ลึกลงไปฉายแววไปด้วยความบ้าคลั่งรุนแรงไม่ยินยอม

อาจจะเป็นเพราะฝนตกหนัก แม้อยู่ในความมืดมันก็สัมผัสได้ว่าผืนดินที่มันนอนอยู่ตรงนี้เป็นโคลนอยู่เล็กน้อย ทว่าทันใดนั้นมันก็สัมผัสได้ถึงบางสิ่งที่อยู่ข้างกายของมันเอง

มันหยุดหัวเสียงหัวเราะลง เพราะว่าในนี้มีเพียงความมืดมิด มันจึงมองไม่เห็นเช่นกันว่าสิ่งที่อยู่ข้างกายของตนคือสิ่งใดกันแน่

ร่างที่จะเรียกคนก็ไม่ใช่ผีก็ไม่เชิงของมันขยับไปน้อยๆ เข้าสัมผัสที่สิ่งแปลกปลอมข้างกายของตนเอง

หืม?

หวังเฟิงหวั่นตกใจ เมื่อรับรู้ได้ถึงกระแสเย็นเฉียบและความรู้สึกถึงพลังชีวิตอันเบาบาง ที่แผ่ซ่านออกมาจากร่างนั้น

ถึงกับเป็นร่างของมนุษย์คนอื่นที่ไม่ใช่มัน

ทันใดนั้นในหัวของมันก็ผุดภาพหนึ่งขึ้นมาในทันที เป็นภาพสุดท้ายที่มันเห็นก่อนที่กระบี่จะพุ่งเข้ามา ยามนั่นดวงตาของมันทั้งสองประสบเข้าหากันราวกับกาลเวลาหยุดนิ่งเหมือนกับว่าโชควาสนาของมันทั้งสองถูกดึงดูดเข้าหากันอย่างไร้สาเหตุ

มันอึ้งไปในทันทีที่รับรู้ได้ว่าเด็กหนุ่มคนนี้ถึงกลับยังไม่ตายหลังจากตกลงมาในหุบเหวกระบี่จงหยวน

หากเป็นในนิยายปรัมปราของตำนานเมือง เหล่าผู้กล้าที่อายุพอๆกับมันบางทีคงจะมีเรื่องราวที่ตกลงไปในเหวลึกลับก่อนที่จะพบปรมาจารย์ผู้เก็บตนก่อนที่จะถ่ายทอดวิชาอันดับหนึ่งในใต้หล้าให้กับมันกระมั้ง

เด็กหนุ่มคนนี้บางทีอาจจะมีโชควาสนาทว่า หวังเฟิงหวั่นกลับไม่ใช่ปรมาจารย์ที่ละทางโลกอันยิ่งใหญ่หากแต่เป็นมารร้าย! ไม่มีทั้งวิชาสุดยอดในโลกหล้าสิ่งที่มันมีเพียงคือของที่ไร้ประโยชนืที่สุดในตอนนี้ในมือของมัน

"ฮ่าๆ ช่างเป็นวาสนาเสียจริงๆ มันถึงกลับรอดตายมาได้ แต่อีกไม่นานก็คงจะไม่รอดอยู่ดี เฮ้อ เราทั้งคู่ต่างกันตรงไหนถูกดึงเข้าไปสู่ในวังวนโชคร้าย และตอนนี้ก็จะสิ้นชีพไปโดยไม่มีใครพบเห็น"

แล้วมันทั้งสองต่างอะไรกันตรงไหน นี่หรือโชควาสนานที่นำพาพวกมันทั้งสองมาพบกันในสถานที่ที่มืดมิดที่สุดในแผ่นดิน

ฝ่ามือที่เหลือข้างเดียวของมันกำแผ่นป้ายสีขาวในมือแน่น ยามนี่มันก็ยังคงส่องแสงสีขาวเรืองรอง อาจจะเป็นเพราะความรู้สึกที่มากล้นเกินไปในยามนี้ของตัวมันเองทำให้ญาณตบะชั่วร้ายถึงกลับแผ่ซ่านออกมาช้าๆ

หากจะกล่าวว่าโชควาสนาไม่มีจริงบางทีอาจจะไม่ผิดนัก เพราะว่ายามนี้ทั้งหวังเฟิงหวังและมู่อิ้งเทียนกำลังอยู่ในจุดที่เรียกได้ว่าเส้นแบ่งเขตของความตาย ในความหมายของเต๋าและศาสนานั่นคือยามนี้พวกมันกำลังกลับลงไปสู่ธรรมชาติ

และเพราะเช่นนี้อีกพลังชีวิตที่รั่วไหลออกมาของมันมันนั่น กำลังถูกดูดเข้าไปในแผ่นป้ายสีขาวช้าๆ

หนึ่งมาร หนึ่งบริสุทธิ์ พลังชีวิตสุดท้ายของพวกมันกำลังหลอมรวมกัน เหมือนกับที่ลัทธิเต๋าเคยกล่าวว่าจักรวาลล้วนเกิดจากเอกภพเดียวกัน สภานะปาฏิหารย์นี่เรียกได้ว่าเป็นสภาวะที่แทรกสถิตอยู่ในสรรพสิ่ง และหล่อเลี้ยงให้สรรพสิ่งดำรงอยู่ได้

ยามนี้พลังอันชั่วร้ายของหวังเฟิงหวั่นและฟลังอันบริสุทธิ์ไร้เดียงสาของมู่อิ่งเทียนถึงกลับกำลังหลอมรวมกันในป้ายสีขาวนี่ช้าๆ

หวังเฟิงหวั่นยามนี้ถึงกลับตกตะลึงจนค้างไปเสียแล้ว เมื่อแผ่นป้านในมือของตนเองกำลังส่องแสงสว่างจนแทบจะทำให้มันตาบอดลงได้ ทว่าตัวมันเองกลับไม่คิดที่จะหลับตาลงแต่กลับจ้องลงไปที่แผ่นป้านสีขชาวนั่นราวกับกำลังมองดูสิ่งที่น่าเหลือเชื่อที่สุดในชีวิต

"แผ่นป้ายกุญแจคัมภีร์สวรรค์ถึงกลับกำลังตอบสนองต่อพวกมันในรอบร้อยปี"

ในตอนนั้นในสองของหวังเฟิงหวั่นถึงกลับนึกย้อนไปถึงในอดีตที่ถูกกล่าวขานมาว่าต้นกำเนิดของแผ่นป้ายชิ้นนี้อาจจะบางทีเกิดมาจาดสองปรมาจารย์ผู้สร้างทั้งสองในอดีต หนึ่งคือธรรมะหนึ่งคือเต๋า ขาวและดำรวมกันเป็นหยินกลับหยาง ทุกสิ่งล้วนเกื้อหนุนกันไม่ว่าจะเป็นมารหรือเทพ!

เพราะอย่างงี้นี่เองสำนักของมันพยายามาหลายร้อยปีถึงกลับไม่สามารถที่จะทำให้แผ่นป้ายสู่คัมภีร์สวรรค์ตอบสนองได้ เพราะสิ่งที่มันใช้ยังขาดความบริสุทธิ์ไปนี่เอง นี่หรือคือโชควาสนา พลังที่อ่อนแอใกล้ตายของทั้งชายแก่และเด็กหนุ่มถึงกลับปล่อยออกมาพร้อมกันในปริมาณที่เท่ากันพอดี

หรือว่านี่จะเป็นคำทำนายที่แท้จริงที่ปรมาจารย์ผู้สร้างให้ไว้แก่พวกมัน

แผ่นป้ายที่ส่องสว่างเจิดจ้าราวกับดวงอาทิตย์นั่น ทำให้ความมืดมิดที่คงอยู่นับพันปีนี่ถูกทดแทนไปด้วยแสงขาวนวลบริสุทธิ์ ภาพนี้เหมือนกับเป็นอาญาสวรรค์ลงมาจุติจนหวังเฟิงหวังถึงกลับแทบจะก้มลงกราบพื้น ทว่าทั้งใดนั้นแสงขาวนวลที่มีกลิ่นอาบโบราณจากแผ่นป้ายก็พลันสลายหายไป

ตึง!

ราวกับมังกรกำลังถูกปลุกแต่จนถึงสุดท้ายมันก็สงบลง หวังเฟิงหวั่นชะงักค้างเมื่อสัมผัสได้ว่าเมื่อครู่ ภายในหุบเขากระบี่จงหยวนนี่ถึงกำลังกำลังจะมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้น แต่จนร้ายจนรอดอาจจะบางทีเพราะพลังของทั้งสองคนอาจจะไม่พอหรืออย่างไรก็ตามแต่

สุดท้ายพลังอ่อนโยนที่โอบอ้อมโลกที่มืดมิดใบนี้ถึงกลับฝันสลายลง กลายมาเป็นความืดลึกล้ำอีกครั้ง แต่สิ่งนี้ก็ไม่สามารถทำให้หวังเฟิงหวังอดที่จะรู้สึกตื่นเต้นขึ้นจนแทบจะบ้าคลั่งไม่ได้

ไขออกแล้ว ในที่สุดก็ไขความลับนี่ออก!

ที่แท้หนทางที่จะสามารถ ดึงให้แผ่นป้ายทำงานก็คือการใช้พลังของฝ่ายมารและธรรมมะพร้อมๆกัน

อาจจะเป็นเพราะตื่นเต้นเกินไป ทำให้เลือดลมของมันไหลย้อนมันถึงกลับสำลักโลหิตออกมาคำหนึ่งแต่มันก็ยังคงยิ้ม

ยิ้มอย่างยินดียิ่ง!

มันคลานไปเก็บแผ่นป้ายสีขาวที่ตอนนี้แสงสว่างหายไปอีกครั้ง แม้จะเป็นเช่นนั้นมันก็ยังคงยิ้มไม่หุบแต่สุดท้ายดวงตาของมันก็เศร้าหมองเมื่อพบกับความจริงที่โหดร้าย

ด้วยสังขารที่ใกล้ตายของมัน จะยังทำอะไรได้อีก ดีไม่ดีคนจากโลกเบื้องบนคงรู้ว่ามันลงมาอยู่ใต้กระบี่จงหยวนนี่และตามมาตรวจสอบอีกครั้งถึงตอนนั้นฝันของมันก็คงแตกสลาย ปรินิธานและความหวังทั้งหมดต้องสูญสิ้น

คิดถึงตรงนี้มันก็แทบจะหลังน้ำตาออกมา!

ในสถานการณ์นี่มันต้องทำเช่นไรดีถึงจะสามารถสานความฝันนี้ของตนเองต่อไปได้

บางทีสวรรค์อาจจะให้คำตอบอยู่ตรงหน้าแล้วก็ได้

เสียงสำลักที่ใกล้ตายของเด็กหนุ่มเรียกให้มันได้สติ และเมื่อนั่นสายตาของมันก็พลันสว่างวาบไปด้วยความตื่นเต้นรุนแรง เมื่อมองเห็นหนทางที่สวรรค์ส่งมาให้ตนเอง

ถ้าหากเด็กหนุ่มคนนี้กับมันสามารถหลอมรวมกันได้ ถ้าเช่นนั้น...

ก็บังคับให้มันฝึกวิชามารพร้อมกับวิชาของฝ่ายธรรมมะไปสิ!

แค่ทำให้มันฝึกควบคู่กันไป จนถึงในระดับหนึ่งที่วิชาทั้งสองต่างตกอยู่ในสเถียรภาพก็ให้มันลองที่จะกลับมาที่หุบเขากระบี่จงหยวนแห่งนี่และใช้แผ่นป้ายนี่ซะ

มันไม่รู้ว่าหนทางจุดจบของเรื่องราวนี้เป็นเช่นไร ทว่าในเมื่อสังขารตนเองไปไม่รอดถ้าเช่นนั่นก็สานต่อให้ผู้อื่นเถอะ!

ร่างกึ่งผีกึ่งมนุษย์ของหวังเฟิ่งหวั่นสั่นสะท้านไปด้วยแรงปรินิธานเฮือกสุดท้าย ทว่าในดวงตาสีแดงนั่นกลับกำลังบ้าคลั่งรุนแรงเพราะยามนี้มันคิดที่จะให้เด็กผู้หนึ่งถึงกลับฝึกวิชาทั้งสองสายคู่กัน

ทั้งมาร ทั้งเทพอยู่ในร่างเดียวกันจะเกิดอะไรขึ้น

ไม่มีใครรู้ทว่ามันก็จะยังคงต้องลอง!

นี่คือการสวนสวรรค์และพลิกโลกาที่แท้จริง!