ปีที่หนึ่งแห่งรัชศกจิ่งหยุนภายหลังสิ้นสุดรัชสมัยขององค์จักพรรดินีอู่เทียนโฮ่ว รุ่ยจงฮ่องเต้ทรงมีพระดำริให้จัดการสอบเคอจวี่เพื่อเลือกเฟ้นขุนนางเข้าราชสำนัก
(เคอจวี่ ระบบการสอบคัดเลือกขุนนางโบราณถือกำเนิดขึ้นสมัยราชวงค์สุย ประกอบด้วยการสอบระดับอำเภอคือ 'ซิ่วไฉ่' ระดับมณฑลคือ 'จวี่เหริน' จนถึงรอบสุดท้ายคือ 'จิ้นซื่อ' ซึ่งจะเป็นการสอบต่อหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้ ผู้ที่ได้คะแนนสูงสุดเรียกว่า 'จ้วงหยวน' รองลงมาคือ 'ปั๋งเหยียน' และ 'ทั่นฮวา' ตามลำดับ)
หยางเล่ยอี้บัณฑิตหนุ่มจากสำนักศึกษาเซวียนเฉิงแห่งเมืองขุยโจวจึงปรากฏชื่อเป็นผู้เข้าสอบคัดเลือกเคอจวี่ ผ่านระดับมณฑลมาได้ หยางเล่ยอี้ผู้อายุน้อยเพียงยี่สิบปีจึงอาศัยวาสนาอันมุ่งมั่นจนมีชื่อติดในรอบการสอบระดับจิ้นซื่อต่อหน้าพระที่นั่ง
บุรุษผู้มีใบหน้าสดใสกับรอยยิ้มบุ๋มข้างแก้มอันทรงเสน่ห์ เขาเร่งเดินทางจากขุยโจวบ้านเกิดมาถึงเมืองหลวงฉางอันได้ราวสามวัน ด้วยความเป็นศิษย์ของสำนักศึกษาเซวียนเฉิงแห่งขุยโจวสามารถมาขอพักค้างแรมที่สำนักศึกษาติ้งซวนในย่านตะวันออกแห่งฉางอันได้
ทั้งสองสำนักศึกษานี้ก่อตั้งมาจากศิษย์เอกของอัครราชครูในรัชสมัยของจักพรรดิหลี่ซื่อหมิ่นนับได้ว่าเป็นดั่งสำนักร่วมพี่ร่วมน้องกัน ส่วนผู้ที่มีรายชื่อเป็นระดับจิ้นซื่อจากสำนักศึกษาเซวียนเฉิงมีเหลียงเจิ้งศิษย์พี่ของหยางเล่ยอี้กับเขาเพียงสองคน
หยางเล่ยอี้ออกเดินทางมาก่อนร่วมเดือนหากแต่ด้วยฐานะทางบ้านค่อนข้างขัดสนจึงมาถึงเมืองหลวงล่าช้าไปสักหน่อย...อีกเพียงสามวันข้างหน้าก็จะถึงกำหนดเข้าสอบหน้าพระที่นั่ง
..ยังเหลือเวลาอีกสองวันให้เที่ยวดูฉางอันอันมั่งคั่ง...
ยามเช้าตรู่ต้นฤดูใบไม่ผลิอากาศสดใสท้องฟ้ากระจ่างเป็นสีฟ้าสด หยางเล่ยอี้นึกครึ้มใจหมายออกไปเที่ยวชมเมืองหลวงแห่งรัชสมัยอันรุ่งเรืองสักหน่อย เขาเกิดและเติบโตที่เมืองชายแดนขุยโจวมายี่สิบปีไม่เคยได้เดินทางไกลนับพันหลี่เช่นนี้มาก่อน ได้มาเยือนฉางอันทั้งทีถือเป็นโอกาสเปิดหูเปิดตา
"คุณชายท่านนี้...นี่เป็นผังเมืองโดยย่อของฉางอันขอรับ ท่านผู้อาวุโสจางให้นำมามอบให้ท่านขอรับ"
บ่าวรับใช้ใบหน้าสดใสเคาะประตูห้องพักพร้อมกันยื่นหนังสือในมือส่งให้...เมื่อวานอาจารย์อา จางเหลียงส่วงบอกไว้ว่าจะมอบให้เขาวันนี้จึงให้คนนำมาให้
"รบกวนพี่ชายฝากบอกอาจารย์อา..ยามสายข้าจะเข้าไปคารวะ"
"วันนี้ผู้อาวุโสจางไม่อยู่ที่สำนักขอรับ"
"เช่นนี้นี่เอง..รบกวนพี่ชายแล้ว"
หยางเล่ยอี้ยิ้มบางก่อนรับหนังสือเล่มนั้นมาถือไว้ ผังเมืองของฉางอันนั้นเขาย่อมรู้ดีหากแต่ไม่อยากปฏิเสธน้ำใจจากอาจารย์อาผู้นั้น
แผนผังโดยทั่วไปของเมืองฉางอันแบ่งเป็นสี่ส่วนทิศเหนือเป็นเขตพระราชวังและที่พำนักบรรดาราชนิกูลรวมถึงจวนขุนนางใหญ่ ที่ได้รับพระราชทานจากฮ่องเต้โดยตรง
ถัดมาทางทิศตะวันตกเป็นย่านภัตาคาร โรงน้ำชา โรงเตี๊ยม โรงละคร มีไว้สำหรับชนชั้นสูงทั้งหลายได้พักผ่อนหย่อนใจหาความรื่นเริง สองฝากคั่นกลางด้วยทิวทัศน์แม่น้ำเฟิงเหอ งดงามตระการตาคราคร่ำไปด้วยแสงสีและเสียงดนตรีทั้งยามกลางวันกลางคืน
ถัดจากนั้นจึงเป็นเขตกองกัพกับเหล่าจวนแม่ทัพสำคัญ อาณาเขตกินพื้นที่สามในสี่ส่วนทางด้านทิศใต้เชื่อมต่อมาจนถึงย่านการค้าทางตะวันออกของเมืองหลวงฉางอาน
ในย่านการค้าทางตะวันออกผู้คนพลุกพล่านกลับใหญ่โตโอ่อ่าไม่สู้บรรดาร้านรวงหรูหราทางทิศตะวันตกเน้นไปทางความหลากหลายของสินค้าจากต่างเมือง พื้นที่สามในสี่ส่วนเป็นบ้านเรือนของชาวบ้านสามัญถึงกระนั้นร้านรวงดาษดื่นในย่านนี้กลับมีไว้ให้สำหรับพ่อค้าคนเดินทางต่างถิ่นสามารถหาที่พักอาศัย
ด้านหลังตรอกซอยเล็กน้อยใหญ่ทั่วไปคราคร่ำไปด้วยบรรดาช่างฝีมือระดับกลาง เพียงพอต่อกำลังซื้อของประชาชนทั่วไปได้
วันนี้หยางเล่ยอี้ตั้งใจตื่นนอนแต่เช้าตรู่ ชำระใบหน้าเสร็จแล้วจึงผูกผมด้วยผ้าแถบสีเรียบง่ายสะอาดสะอ้าน ขับเน้นใบหน้าคมคายเหนือผู้อื่นของเขาให้โดดเด่นยิ่งขึ้น ตั้งแต่หัวจรดเท้าหยางเล่ยอี้ไม่ได้พกของมีค่าแสดงฐานะอันใด ขัดกับใบหน้าบุรุษรูปงามดั่งหยกไร้ตำหนิ ดวงตาสีดำสนิทนุ่มนวลประดุจสายลมวสันต์ โดยเฉพาะรอยยิ้มบุ๋มทรงเสน่ห์ที่ข้างแก้ม
หากแต่เพียงรูปกายภายนอกเท่านั้นที่แลดูสูงส่ง เนื้อแท้ของหยางเล่ยถูกหล่อเลี้ยงด้วยวิถีชีวิตตามธรรมดาชาวบ้าน แทบไม่ได้เข้าใกล้ความเป็นคุณชายตระกูลใหญ่ มีเพียงสายเลือดในกายของฝั่งมารดาเป็นถึงอดีตกั๋วกงสกุลหยางผู้ยิ่งใหญ่
"คุณชายท่านนี้....ไม่ทราบว่าชื่อเสียงเรียงนามว่าอะไร? มาจากที่ใดหรือ?"
เสียงทักทายจากบุรุษหนุ่มหน้าตาสดใสแต่งกายสะอาดสะอ้าน ในมือถือพัดผ้าไหมสีขาวสะอาดตาตัวด้ามพัดทำจากไม้หอมอย่างดีประดับพู่ห้อยสีเขียวเข้ากันกับลายเส้นใบไผ่ เขาเอ่ยทักทายหยางเล่ยอี้ขณะกำลังก้าวเดินออกทางประตูด้านหลังสำนักศึกษาต้ิงซวนพอดี
"คุณชายกล่าวเกินไปแล้ว ตัวข้าเป็นจิ้นซื่อจากขุยโจว..แซ่หยางมีนามว่า..เล่ยอี้..."
"ข้าเพิ่งมาถึงฉางอันเป็นครั้งแรก หาใช่คุณชายจากสกุลใด? ขอท่านได้โปรดอย่าถือสา"
หยางเล่ยอี้ประสานมือคารวะอย่างเป็นทางการตอบกลับ
"มิได้ๆ ที่แท้หยางจิ้นซื่อจากขุยโจว..ข้าแซ่เฉิงชื่อคำเดียวว่า...ฉือ...เป็นคนหลิ่งโจวโดยกำเนิดยินดีที่ได้พบหน้าคุณชายหยาง"
คำทักทายจากเฉิงฉือค่อนข้างแปลกหูไปสักหน่อย เพียงแต่คุณชายผู้นี้นับเป็นผู้มีจิตใจกว้างขวางผู้นึง
"ไม่ทราบคุณชายเฉิงมีอะไรให้ข้าช่วย...หากไม่เหลือบ่ากว่าแรงข้ายินดีขอรับ"
หยางเล่ยอี้เอ่ยปากถามก่อนตามอย่างนิสัยบัณฑิต
"คุณชายหยางอย่าได้กล่าวหนักเช่นนั้น...ข้าเพียงเห็นคุณชายหน่วยก้านดีหน้าตาสดใส ตัวข้าเป็นพ่อค้าพื้นฐานย่อมนิชมยมชอบคบหาสมาคม"
"หากคุณชายหยางไม่รังเกียจ?"
เฉิงฉือโบกพัดในมือพลางส่งยิ้มบาง
"หามิได้...ตัวข้าเพิ่งมาถึงฉางอันเมื่อวันก่อนวันนี้ตั้งใจออกมาเที่ยวชมในเมืองดูสักหน่อย"
หยางเล่ยอี้ตอบกลับไป
"บังเอิญเช่นนั้น....ข้าเองก็เพิ่งมาถึงฉางอันเมื่อสามวันก่อน"
"วันนี้มีอันคลาดกันกับสหายถือว่ามาเสียเที่ยว...อย่างนี้ดีหรือไม่?..หากคุณชายหยางไม่รังเกียจให้ข้าพาท่านเที่ยวชมฉางอัน...ดีหรือไม่?"
"คุณชายเฉิงเกรงใจไปแล้ว....หากท่านอาสามีหรือข้าจะไม่รับน้ำใจ...."
ไม่ทันหยางเล่ยอี้จะกล่าวจบประโยคเพียงได้ยินคำเอ่ยรับ คุณชายเฉิงฉือผู้นี้ดึงแขนเสื้อเขาออกเดินในทันที
"ไปกัน....ข้านี้โชคดีจริงเชียว! ได้มาเจอสหายใหม่เป็นถึงจิ้นซื่อ ฟ้าดินไม่รังแกคนดีภายภาคหน้าคุณชายหยางจะต้องประสบความสำเร็จเป็นแน่"
เฉิงฉือเอ่ยวาจารื่นหูไม่หยุดทั้งยังโบกพัดในมือ ใบหน้าเปื้อนยิ้มเป็นชีวิตจิตใจ
ไม่นานนักทั้งสองก็มาถึงโรงน้ำชาสุ่ยเซียนในย่านทิศตะวันตก โรงน้ำชาแห่งนี้จัดว่าเป็นหนึ่งในสถานที่ขึ้นชื่อของฉางอันด้วยสามารถมองเห็นทิวทัศน์ส่วนหนึ่งของกำแพงวังหลวงและ 'สวนดอกท้อจรดตะวัน' อันเลื่องลือ หยางเล่ยอี้ลอบถอนหายใจด้วยฐานะของเขาในยามนี้แม้จะมีเงินใช้จ่ายติดตัวอยู่บ้าง แต่ก็ไม่อาจฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมจนเกินไปนัก
เพียงเห็นบุรุษทั้งสองคนมาหยุดยืนอยู่หน้าหอสุ่ยเซียน เสี่ยวเอ้อผู้ดูแลด้านหน้ากุลีกุจอออกมาต้อนรับ
"คุณชายทั้งสอง....วันนี้มีห้องส่วนตัวที่ชั้นสองว่างอยู่ขอรับ"
"ห้องนั้นดีมากนะขอรับคุณชายมาสารถมองเห็นสวนดอกท้อจรดตะวันได้ตลอดทั้งวันเลยขอรับ"
"ไม่ทราบว่าคุณชายทั้งสองสนใจหรือไม่ขอรับ?"
เสี่ยวเอ้อใบหน้าแป้นแล้นทักทาย
"ชาเข็มเงินของที่นี่รสชาติดีมาก...กินกับขนมฮ่วยซัวของขึ้นชื่อขอหอสุ่ยเซียนเข้ากันยิ่งนัก"
เฉิงฉือหันมาเอ่ยกับหยางเล่ยอี้ด้วยแววตาประกายสดใสแทบไม่ต้องให้เสี่ยวเอ้อผู้ดูแลแนะนำให้..แน่นอนเฉิงฉือผู้นี้ย่อมมาเป็นแขกขาประจำหอสุ่ยเซียน
ยังไม่ทันจะก้าวเท้าเข้าไปภายในปรากฏมีบ่าวรับใช้รีบเร่งตามตัวเฉิงฉือกลับไป ห้องส่วนตัวจิบชาที่ชั้นสองอันงดงามจำต้องจบลงแต่เพียงเท่านั้น
"ไว้วันหลังข้ากับสหาย...ค่อยแวะมาใหม่"
กล่าวจบหยางเล่ยอี้ขอตัวเดินจากไป
หากเขามีดวงตามองเห็นด้านหลังได้หยางเล่ยอี้คงนึกประหลาดใจกับสายตาสตรีทั้งหลายในหอสุ่ยเซียนที่ชำเลืองมองรูปโฉมอันโดดเด่นของเขาจากด้านบนไม่ได้
เดินไปได้พักใหญ่หยางเล่ยอี้จับสังเกตุผู้คนบนท้องถนน โดยเฉพาะสตรีแรกรุ่นยามเดินมาใกล้เขามักจะพากันหยุดชำเลืองมองพลางยกแขนเสื้อขึ้นบังใบหน้าท่าทางเอียงอายเล็กน้อย
ปกติหยางเล่ยอี้ไม่ถนัดแต่งกายเปิดเผยใบหน้าถึงเพียงนี้ ยามอยู่ขุยโจวด้วยต้องทำงานใช้แรงเป็นส่วนใหญ่ หยางเล่ยอี้มักไม่สนใจหน้าตาตนเองสักเท่าใดนัก
หากมัวสละเวลาล้างหน้าแต่งกายจะเป็นการสิ้นเปลืองเวลาโดยเปล่าประโยชน์ มีเพียงยามที่ต้องไปเข้าเรียนจึงแต่งกายด้วยชุดสะอาดสะอ้านเป็นการให้เกียรติ
นึกไม่ถึงเพียงแต่เขาพิถีพิถันเล็กน้อยกลับกลายเป็นที่จำเริญตาของผู้คนไปได้ เมื่อครู่มากับเฉิงฉือเขาจึงไม่ได้เห็นผิดสังเกตเท่าใดนัก? ยามนี้อยู่ลำพังผู้เดียวจึงได้กระจ่างแจ้ง
ไม่แปลกที่หยางเล่ยอี้จะเกิดมาพร้อมรูปโฉมงดงาม ทั้งสติปัญญาเหนือผู้อื่น สายตระกูลฝั่งมารดามีศักดิ์เป็นถึง 'หยางกั๋วกงแห่งฉางอาน' เพียงแต่หยางเล่ยอี้เกิดมาในยามที่ตระกูลถูกปลดเป็นสามัญชนต้องโทษเนรเทศอยู่ชายแดน และเขาเป็นเพียงผู้สืบสกุลสายรอง
ภายหลังจากคนตระกูลหยางถูกเนรเทศมาชายแดน ก็ไม่ปรากฏบุตรชายสืบสกุลนานถึงสองรุ่น อาศัยมารดาของหยางเล่ยอี้เป็นบุตรีสายตรงของตระกูลหยาง นางแต่งเข้าสกุลบัณฑิตธรรมดาเมื่อมีบุตรชายถือกำเนิด..จึงได้ใช้แซ่ของฝั่งมารดาด้วยถือเป็นบุรุษคนแรก ภายหลังบิดาและมารดาด่วนจากไปด้วยโรคร้ายหยางเล่ยอี้จึงเติบโตมาเยี่ยงชาวบ้านร้านตลาดทั่วไป
--------------------------------------------
โปรดติดตาม