webnovel

สำนักศึกษาติ้งซวน

รุ่งอรุณของวันใหม่อาบไล้แสงสีทองจนสะท้อนไปทั่วทั้งแม่น้ำเฟิงเหอ ห้องพักของหยางเล่ยอี้อยู่บนชั้นสองของหอตะวันฉายทางด้านทิศตะวันออกของสำนักศึกษาติ้งซวน

ประวัติของหอตะวันฉายแห่งนี้ก่อตั้งในปีที่สามแห่งรัชศกเจินกวนในจักรพรรดิหลี่ซื่อหมิ่น ซึ่งผู้ที่เป็นคนต้นคิดสร้างหอตะวันฉายที่ติ้งซวนคือ "อัครราชครูเซวียนเฉิง" หนึ่งในสี่อัคราชครูคนสำคัญของจักรพรรดิหลี่ซื่อหมิ่นผู้เป็นทั้งไท่ซือให้จักรพรรดิและไท่ฟู่ในองค์รัชทายาท

วาจาของเขากล่าวกันกันว่ามีน้ำหนักดั่งเขาไท่ซาน น่าเสียดายบุคคลในตำนานผู้นี้ เขาอายุสั้นจากไปก่อน หมดยุคสมัยครองราชของจักรพรรดิหลี่ซื่อหมิ่นเกือบสิบปี ผลงานของอัครราชครูเซวียนเฉิง เรียกได้ว่ายิ่งใหญ่เป็นตำนานแทบทั้งนั้น ทั้งศิษย์เอกหญิงผู้เดียวของเขานามว่า "เฉินจิ่วอิง" ผู้ก่อตั้งสำนักศึกษาเซวียนเฉิงแห่งขุยโจวให้อนุชนน์รุ่นหลังเช่นหยางเล่ยอี้ได้รับผลพลอยได้ไปด้วย

**เรืองรอง ดุจตะวันฉาย**

**พริ้มพราย คราต้องลมวสันต์**

**เหมันต์วิเวก สำเนียงแดนใต้**

ป้ายพระราชทานจากจักพรรดิหลี่ซื่อหมิ่น ทรงโปรดให้แขวนไว้ในห้องโถงใหญ่ที่หอตะวันฉาย นักปราชญ์บางคนพากันตีความถึงว่า หอตะวันฉายแห่งนี้เรืองรองสูงส่งมองเห็นแสงตะวันได้ไกลถึงแผ่นดินทางทิศใต้แต่ภายในกลับสัมผัสได้ถึงความสงบร่มเย็นดุจดั่งสายลม

หัวข้อบทประพันธ์นี้ถูกยกเป็นที่ถกเถียงกันอย่างสนุกสนามมานานหลายสิบปี ยามมีงานเลี้ยงเหล่าขุนนางด้วยขุนนางฝ่ายบุ๋นยึดถืออัคราชครูเซวียนเฉิงผู้มาจากแผ่นดินทางใต้และเขาผู้นั้นเป็นคนจัดสร้างหอตะวันฉาย หากแต่ขุนนางฝ่ายบู๊เห็นต่างว่าผู้ที่ยิ่งใหญ่จนจรดแผ่นดินทางใต้ทั้งหมดคือยอดขุนพล "หยางเหยาซือ" ผู้เป็นแม่ทัพคู่บัลลังก์จักรพรรดิหลี่ซื่อหมิ่นผู้ที่มีรูปโฉมงดงามอ่อนโยนดั่งสายลมวสันต์

ยามนี้ท้องฟ้าสว่างจนเห็นเม็ดถั่วทั่วหมดแล้วหยางเล่ยอี้ให้นึกเหนื่อยใจด้วยว่ามองจากบนหน้าต่างห้องพักนี้เขาสามารถมองเห็นเด็กรับใช้ของฉู่หยวนเซวียนชัดเจน ดูเหมือนจะมีนามว่า....เหลียงซาน...คอยเฝ้ามองประตูทางออกของสำนักศึกษาติ้งซวนจับตามองผู้คนทุกคนที่ผ่านเข้าออกสำนักศึกษา

ตั้งแต่ยามเซินของเมื่อวานจวบจนยามเหมาของวันนี้ ด้านหน้าประตูทางออกสำนักศึกษาติ้งซวนอยู่ในสายตาของเหลียงซานผู้นี้ไม่มีตกหล่น

พรุ่งนี้หยางเล่ยอี้จำต้องเข้าวังตั้งแต่ยามอิ๋น ดูท่าว่าแม่นางฉู่หยวนเซวียนจะไม่ยอมปล่อยให้เขาเดินทางออกจากที่นี่ไปโดยราบรื่นเป็นแน่ ในใจหยางเล่ยอี้ยามนี้ไม่มีความคิดขัดเคืองเอาความอันใดกับนางสักนิด...หากแต่จะปล่อยผ่านเรื่องตรงหน้าครานี้ไป...ตัวเขาเองนี้แหละที่จะขว้างหินทับเท้าตนเอง หยางเล่ยอี้ให้นึกเหนื่อยใจกับโชคชะตาของตนเองยิ่งนัก ด้วยไม่อาจหยั่งรู้ได้ว่าสิ่งใดดลใจให้บิดาตั้งชื่อให้เขาว่า "เล่ยอี้"

.....อันมีความหมายตรงตัวว่า....ผู้ที่ชีวิตต้องก้าวข้ามผ่านปณิธานแห่งความเหนื่อยยากจึงจะสำเร็จผล...

พลันในห้วงความคิดให้หวนนึกถึง บรรพบุรุษต้นตระกูลของตนผู้มีนามอันสูงส่งว่า "เหลยอี้" แปลความหมายตรงตัวถึงความมั่นคงเด็ดเดี่ยวดังภูผา และเป็นต้นเหตุให้ยามนี้หยางเล่ยอี้พานพบความยากลำบากเข้าให้

คิดใคร่ครวญแผนการในใจจนถี่ถ้วนดีแล้ว เขาจึงลุกจากเตียงนอนล้างหน้าหวีผมให้สะอาดหมดจด สวมใส่เสื้อผ้าเรียบง่ายตามอย่างบัณฑิต ใบหน้าหยางเล่ยอี้ยามนี้นั้นแค่เพียงพิถีพิถันการแต่งกายก็เปล่งประกายความงดงามสูงส่งเต็มสิบส่วน ในเมื่อหลีกหนีไม่พ้นก็จำต้องใช้กลยุทธ์ทางการศึกที่ว่า

'น้ำมาใช้ดินต้าน ข้าศึกบุกมาใช้ขุนพลรับ'

หากวันนี้เขานิ่งเฉยอีกวันพรุ่งนี้เภทภัยใหญ่หลวง...เป็นอันได้มาเคาะประตูเรือนนอนก่อนจะได้เข้าสอบเป็นแน่

ย่างเข้ายามซื่อผู้คนโดยรอบสำนักศึกษาติ้งซวนสัญจรไปมาหนาแน่นเช่นเคย หยางเล่ยอี้ตั้งใจก้าวเท้าซ้ายเดินออกทางประตูด้านหน้าตั้งตารอดูแผนการเอาคืนของสตรีสกุลฉู่ นางให้คนสนิทมาเฝ้าจับตาที่พักของเขาถึงสิบชั่วยาม หยางเล่ยอี้ถือคติประจำใจ....จงยิ้มรับคำครหานินทาดีกว่าหลบหน้าหนี....ข้าศึกมาเยือนท่านถึงที่แล้วก็เห็นควรเอาขุนพลออกมาต้านเสียที

หยางเล่ยอี้จงใจเดินอวดโฉมแก่ผู้คนทั้งหลายมาได้นานหนึ่งเค่อ.....ไม่มีสิ่งใดผิดปกติเกิดขึ้น!....เขาอดทนเดินผ่านไปอีกหนึ่งช่วงถนน จนมาถึงด้านหน้า 'อารามซานเป่าเตี้ยนฉาง' หนึ่งในศาสนสถานศักดิ์สิทธิ์ที่สร้างในช่วงกลางรัชสมัยเจินกวน เดิมมีไว้เพื่อเป็นที่พำนักแก่ "เสวียนจั้งต้าซือ" ภายหลังเดินทางกลับมาจากไปอัญเชิญพระไตรปิฏก

ภายหลังได้เขียนบันทึก 'ต้าถังซือโหย่วจี้' อันเป็นบันทึกเรื่องราวสำคัญคราวต้าซือเดินทางไปอัญเชิญพระไตรปิฏกไว้ให้เป็นพุทศาสนสมบัติสืบไป อารามแห่งนี้จึงถูกย้ายมาสร้างใหม่จากที่เดิมที่เขาหยุนไถซานในเขตเมืองลั่วสุ่ย

ได้มาถึงสถานที่ศักสิทธิ์ หยางเล่ยอี้จึงเดินเข้าไปด้านในด้วยหมายสักการะองค์ซื่อเจียฝอ (พระศรีศากยมุนีพุทธเจ้าในกาลปัจจุบัน) ร่ำลือกันว่ายามที่เสวียนจั้งต้าซือเริ่มออกเดินทางจากฉางอาน ได้เข้าไปนมัสการขอพรพระประธานที่อารามซานเป่าเตี้ยนที่เมืองลั่วสุ่ยและได้พบเจอนิมิตหมายแห่งความสำเร็จในภายภาคหน้า

พระประธานที่ซานเป่าเตี้ยนแห่งลั่วสุยเป็นองค์หมี่เล่อฝอ (อริยเมตตรัยพุทธเจ้ากาลอนาคต) เมื่อทำการย้ายอารามมาที่ฉางอานจักรพรรดิหลี่ซื่อหมิ่นจึงให้สร้างองค์ใหม่ประดิษฐานเป็น "ซื่อเจียฝอ" (พระศรีศากยมุนีพุทธเจ้าในกาลปัจจุบัน) ให้เป็นสัญลักษณ์ของความเจริญรุ่งเรืองในรัชสมัยของพระองค์สืบไป

กระถางธูปขนาดใหญ่ตั้งอยู่กลางโถงทางเข้าอบอวลไปด้วยกลิ่นกำยานผสมควันธูป เบื้องหน้าองค์พระประธานซื่อเจียฝอมีทั้งคนชราไปจนถึงเด็กเล็กรวมถึงคนค้าขายต่างถิ่นมากหน้าหลายตา

----------------------

โปรดติดตาม