webnovel

เป็นทุกอย่างให้เธอแล้ว

สองทุ่มครึ่ง…

ดูทรงแล้วผมว่าคุณป้าน่าจะแห้วแน่ๆครับงานนี้…

นี่เรานั่งอยู่ในงานมาเป็นชั่วโมงแล้ว มื้ออาหารเย็นก็ผ่านพ้นไปแล้ว แต่ผมก็ยังไม่เห็นไอ้คุณลุงก้องเขาจะเป็นฝ่ายเข้ามาหาคุณป้าก่อนเลย

ก็แหงล่ะครับ ควงใครไม่ควง มาควงหนุ่มหล่อมาดดีตัวท้อปแถมหน้าตาเอาเรื่องอย่างผม ก็เสร็จดิคร้าบ ใครจะกล้าเข้ามาหยอก ผมว่าคุณลินแกใช้ยาเบอร์แรงไปหน่อย ผลลัพธ์คล้ายๆจะถูกน็อคมากกว่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า

คือช่วงที่ผ่านมาผมไม่ได้จีบหรือสนใจผู้หญิงคนไหน ก็เพราะไม่อยู่ในอารมณ์อยากจะรับผิดชอบความรู้สึกหรือรับผิดชอบความสุขของใคร อยากจะทุ่มเทแต่เรื่องงานที่บริษัท และถ้าเผื่อจะมีเวลาขึ้นมาบ้าง ก็อยากจะใช้เวลากับพ่อและกับลูกชายของผมมากกว่า ผมจากบ้านไปนาน คงต้องใช้เวลาพักใหญ่เพื่อรื้อฟื้นความสัมพันธ์ระหว่างผมและครอบครัว

แต่ถ้าผมเกิดนึกครึ้มใจอยากจะก้าวเข้าไปในโหมดโลกสีชมพูดูบ้าง ผมว่าผมทำได้ดีเลยนะ ผมแสดงอาการเอาอกเอาใจคุณลินทุกอย่าง ไปตักกับข้าวให้เธอ เสิร์ฟไวน์ให้อย่างไม่อั้น ทำสายตาหลงใหลมองไปที่เธอตลอดเวลา

แต่สิ่งที่ผมคิดไว้มันไม่เหมือนภาพที่ผมกำลังเห็น…

ไหนเค้าบอกว่าวันนี้จะต้องวางฟอร์มทำมาดสวย ทำตัวลึกลับ แต่เอาเข้าจริงตั้งแต่มาถึงงานนี่คุณป้าเธอยังพูดไม่หยุดเลย ทักทายคนโน้นคนนี้ตลอดเวลา แม้ผมจะสังเกตได้ว่าสายตาของคุณป้าเธอจะมองไปที่ไอ้คุณลุงไร่องุ่นทุกๆห้าวินาที แต่ปากเธอก็ยังไม่หยุดทำงาน ทั้งคุยโม้และทั้งชิมอาหารทุกชนิด บวกกับชิมไวน์จากทุกภูมิภาคเช่นเคย

นานๆทีจะได้มาเจอเพื่อนเก่าคุณป้าก็คงลืมวัยแหละฮะ น้ำลายแตกฟอง เอ็นจอยไม่หยุดเลยน้อ

...เอ้อ …ดูๆไปก็น่ารักดี

"เอาล่ะค่าเพื่อนๆ อิ่มหนำสำราญกันแล้วใช่ไหมค้า ณ จุดจุดนี้ เหมียวก็อยากจะขอเปิดงานเลี้ยงรุ่นย้อนวัยหวานเมื่อวันวานของเราอย่างเป็นทางการนะค้า"

สิ้นเสียงของคุณเหมียวประธานศิษย์เก่าของรุ่นจากบนเวที ก็มีซาวน์เอฟเฟคเป็นเสียงกรี๊ดวี้ดว้ายกระตู้วู้ดังขึ้นรัวๆจากเครื่องเสียงที่ตั้งอยู่ใกล้ๆกัน เอ๊ะ คนวัยนี้เขาก็ยังทันสมัยกันดีนะ เล่นเอฟเฟคก็เป็นด้วย

"และเพื่อเป็นการเชื่อมความสามัคคีในรุ่นของเรา เหมียวจึงได้จัดเกมให้เพื่อนๆมาเล่นเพื่อเน้นบรรยากาศหวานๆกันในค่ำคืนนี้ นั่นก็คือเกมทายใจคู่รัก คู่ไหนแท้คู่ไหนเทียมเราก็จะได้ประจักษ์กันในวันนี้นะค้า"

นี่เค้าเลือกเกมอะไรมาเล่นกันวะเนี่ย แน่ใจรึว่าเพื่อความหวาน คือถ้าทายใจกันไม่ถูก กลับบ้านไปก็น่าจะมีหัวร้างข้างแตกกันบ้างนะฮะ

"และณ จุดจุดนี้ เหมียวก็อยากจะขอเชิญแต่ละห้องส่งตัวแทนมาห้องละหนึ่งคู่ขึ้นมาบนเวทีเลยค่า เรามีกันสามห้อง ก็ทั้งหมดสามคู่นะค้า"

"แพรวาออกไปกะคุณป๊อกดิ ท่าทางรู้ใจกันนะ" ผมได้ยินเสียงคุณป้าเขารีบสนับสนุนเพื่อนสาวในแก๊งที่นั่งข้างๆกัน ตอนนี้บรรดาพรรคพวกของเขาสมัยโน้นที่เรียนห้องเดียวกันต่างมานั่งรวมกลุ่มที่โต๊ะนี้

แปลกดีที่บรรดาคู่รักของห้องอื่นๆต่างแย่งกันเป็นตัวแทนห้อง จะมีก็แต่ห้องของคุณป้าเท่านั้นที่เกี่ยงงอนกันไปมา ไม่มีใครทำท่าว่าอยากจะขึ้นไปบนเวที ไม่แน่ใจว่าขี้อายกันทั้งห้อง หรือเริ่มเมากันแล้วเลยไม่อยากเล่นเกม

"โนวอะแก เราเพิ่งจะแต่งงานกัน ชั้นยังไม่ทันได้สนใจเลยว่าคุณป๊อกเค้าชอบกินอะไร ที่แต่งก็เพราะคุณป๊อกเค้ารวย" ผมพยายามเอนตัวเข้าไปใกล้ๆจึงได้ยินคุณแพรวาเขากระซิบตอบคุณป้ามา

"งั้นแอมมี่ไปเลย ไปกับพี่โอ๋ หรือโสรยากับน้องเต๋จะออกไปไหม เป็นคู่แม่ลูกก็ได้นะ" คุณป้ายังไม่หยุดเจ้ากี้เจ้าการกับเพื่อนคนโน้นคนนี้

แต่ผมก็ยังได้ยินเสียงเกี่ยงกันไปมาดังจ้อกแจ้กจอแจเหมือนเด็กๆ ผมมองไปมาอย่างขำๆ เออ หนอ อายุเท่าไหร่กันแล้วเนี่ย

"แกนั่นแหละลิน แกออกไปกับคุณเซนเค้าเลย" แล้วจู่ๆเสียงของคุณวิสกี้ก็ดังกว่าใคร

"ทางนี้จ้าทางนี้ ลินกับคุณเซนขออาสาจ้า" แล้วคุณวิสกี้เขาก็โบกไม้โบกมือไปที่ข้างหน้าเวทีโดยไม่ได้ถามความสมัครใจของผมกับคุณลินเลย ท่ามกลางเสียงสนับสนุนเซ็งแซ่มาจากกลุ่มก๊วนเพื่อนๆของเขา

"เฮ้ย กี้ ไม่เอา" คุณป้าเริ่มเลิ่กลั่กหันไปมองคุณวิสกี้ที แล้วก็หันมามองผมที แล้วสลับกับการแอบมองไปทางลุงไร่องุ่น กังวลอะไรของเค้าครับเนี่ย

"ลินนั่นแหละออกไปเลย" "ใช่ๆๆๆ" ตอนนี้ทุกคนพุ่งเป้ามาทางนี้แล้ว เริ่มมีเสียงเกื้อหนุนจากกลุ่มเพื่อนห้องอื่นๆด้วย

"ไปฮะคุณลิน ไปเล่นเกมกัน" ผมตัดสินใจเพราะเริ่มจะรำคาญกับอาการเกี่ยงงอนของลุงๆป้าๆทั้งหลายกันแล้ว กะอีแค่ออกไปเล่นเกม จะอะไรกันนักหนาวะ

"เอ้อ..." คุณป้ายังลังเล แต่ผมเตรียมพร้อมจะลุกยืนเต็มที่แล้ว

ผมจึงเอื้อมไปจับมือเธอเพื่อฉุดให้ลุกขึ้นยืนพร้อมกัน แล้วผมก็จูงเธอออกเดินไปที่ข้างหน้าเวที

"มาแล้วนะค้า คู่สุดท้ายจากสมาชิกห้องสาม ลลินอดีตประธานนักเรียนและคุณเซนแฟนหนุ่มสุดหล่อของเธอค่า" เสียงคุณเหมียวประกาศก้องออกไมโครโฟน ทำให้ผมถึงกับหันไปมองคนที่เดินเคียงข้างมาด้วยอีกที

ฮ้า! ประธานนักเรียน? มิน่าคุณป้าถึงลืมตัวพยายามผลักไสให้เพื่อนๆออกมาเล่นเกม คงติดนิสัยเหมือนเมื่อตอนเป็นเด็กที่บังคับให้เพื่อนๆทำกิจกรรมของโรงเรียน

อือม์ เค้าก็เหมาะกับตำแหน่งนี้นะ รู้จักเพื่อนทุกคนซะขนาดนี้

"และณ จุดจุดนี้ เหมียวขอเชิญทุกคู่มานั่งที่เก้าอี้กลางเวทีนี้เลยนะค้า โอเค ครบสามห้องแล้ว ขออุปกรณ์แจกด้วยค่า"

แต่ละคู่ถูกจัดให้นั่งหันหลังชนกัน และได้รับกระดานไวท์บอร์ดขนาดไม่ใหญ่มากคนละแผ่นจากเพื่อนอีกคนซึ่งเป็นทำหน้าที่เป็นผู้ช่วย

"มาเริ่มคำถามแรกกันเลยนะค้า ถ้าคุณทั้งคู่ไปดินเนอร์ในโอกาสครบรอบวันที่รู้จักกันเป็นครั้งแรก แล้วคุณทั้งคู่อยากสั่งไวน์มาดื่มฉลองกัน แต่ทางร้านจำกัดให้สั่งไวน์ได้เพียงชนิดเดียว คุณและคู่ของคุณจะตัดสินใจสั่งไวน์แดงหรือไวน์ขาวมาดื่มกันค้า เขียนคำตอบลงบนไวท์บอร์ดได้เลยค่า อย่าแอบหันไปมองกันนะค้า"

ผมยิ้มกว้างและรีบเขียนคำตอบอย่างรวดเร็ว

"โอเคค่า พร้อมนะค้า เดี๋ยวเตรียมยกไวท์บอร์ดขึ้นโชว์ไปทางท่านผู้ชมนะค้า หนึ่ง สอง สาม ยกค่ะ"

แล้วผมก็ได้ยินเสียงสมาชิกแก๊งห้องสามกรี๊ดกร๊าดดังมากกว่าห้องอื่นๆ

"ณ จุดจุดนี้ ถูกต้องทุกคู่เลยนะค้า แหม ทำไมรู้ใจกันอย่างนี้นะค้า"

แหม คุณเหมียวคร้าบ ก็คำถามมันง่ายขนาดนี้ ไม่ต้องเป็นแฟนกันก็รู้หรือเปล่าคร้าบ

ผมหันไปยิ้มหวานให้คุณลิน พบว่าเธอยิ้มหวานรออยู่ก่อนแล้ว ก็หน้าเธอแดงก่ำด้วยไวน์แดงซะขนาดนั้น ผมจะตอบผิดได้ไง หุ หุ ไงล่ะ ความเก่งกาจของผมมันซ่อนไว้ไม่อยู่แล้ว

"คำถามที่สอง ถ้าให้คู่รักเลือกไปเดินช้อปปิ้งกันวันเสาร์อาทิตย์ในกรุงเทพ ระหว่างจตุจักรและห้างเอ็มควอเทียร์ คุณกับคู่รักจะเลือกไปที่ไหนกันค้า ตอบค่า!"

…และทันทีที่ผมกับคุณลินยกกระดานขึ้นพร้อมกัน

กรี๊ดดดดด!!!!

เสียงกรีดร้องของประชาชนห้องสามก็ดังขึ้นอย่างไม่ไว้หน้าห้องอื่น นี่คุณลินเขาแอบเตี๊ยมคำถามกับคุณเหมียวไว้ก่อนหรือเปล่าเนี่ย ผมเริ่มชักจะไม่ไว้ใจคนที่กำลังนั่งหันหลังให้ซะแล้ว คุณป้าเขาโกงหรือเปล่าวะ

หันไปก็เห็นคุณป้ากำลังทำท่าภูมิอกภูมิใจโบกมือให้กับบรรดาแฟนคลับ

"และณ จุดจุดนี้ ก็มาถึงคำถามสุดท้ายกันแล้วนะค้า มาดูกันค่าว่าคู่ไหนจะตอบถูก ตอนนี้คู่ของลินกับคุณเซนจากห้องสามคะแนนสูสีกับคู่ของจุ๋มกับพี่ธงจากห้องหนึ่งนะค้า คำถามที่สาม ถ้าต้องเลือกไปเที่ยวพักร้อนกันเดือนหน้า คุณและคู่ของคุณจะตัดสินใจไปเที่ยวที่ไหนกันค้า ระหว่างบาหลีและลอนดอน ตอบค่า!"

ทำไมคำถามมันเข้าทางผมกับคุณลินหมดทุกคำถามเลยวะเนี่ย

กรี๊ดดดดดด!!!!

เสียงกรีดร้องของเหล่าประชาชนห้องสามดังขึ้นอีกครา คราวนี้มาพร้อมกับเสียงทุบโต๊ะเมื่อเห็นคำตอบของผมและคุณลิน ผมคงไม่ต้องเฉลยนะครับ ว่าเราเขียนคำตอบว่าอะไรกัน

"คำถามนี้มีคู่ที่ตอบถูกอยู่คู่เดียวคือคู่ของลินกับคุณเซนนะค้า โอ้โห ณ จุดจุดนี้ สมกับเป็นคู่รักข้าวใหม่ปลามันจริงๆ รู้ใจกันไปโหม้ด น่าอิจฉาลินของเราจริงๆนะค้า มีแฟนหล่อแล้วยังรู้ใจอีก" คุณเหมียวแสดงความชื่นชม

"และณ จุดจุดนี้ รางวัลไวน์แดงหนึ่งลังใหญ่ ก็ตกเป็นของคู่ลลินและคุณเซนค่า"

"ยู้ฮู้!" คุณป้าเค้าลุกขึ้นโห่ร้องอย่างลืมตัว ไวน์แดงนี่ของโปรดเลยอะดิ ผมว่าผมคงต้องยกรางวัลนี้ให้เธอทั้งลังนั่นล่ะ ดีใจออกหน้าออกตาขนาดนี้

คุณป้าครับ นี่เรารู้ใจกันขนาดนี้ คุณป้ายังคงจะไปเพ้อหาคุณลุงก้องคนนั้นอีกหรือครับ?

และเวลาก็ล่วงเลยมาค่อนดึก…

"จะไปในทันใด จะตรงไปจะใกล้ไกล ถ้าหากเป็นเธอจะรีบไป ให้เธอได้ความสบายใจ..."

ลุงก้องไร่องุ่นเขาจบเพลงของพี่เบิร์ดไปด้วยเสียงทุ้มๆที่พยายามจะทำเป็นอบอุ่น แน่นอนล่ะฮะ เรียกเสียงกรี๊ดจากสาวใหญ่ทั้งหลายในห้องได้เซ็งแซ่ ตอนนี้เรามาถึงช่วงคาราโอเกะกันแล้ว เหมือนคนรุ่นนี้เขาจะชื่นขอบคาราโอเกะกันเป็นพิเศษ คิวไมค์ไม่เคยว่างเลย มีเสียงเพลงขับกล่อมกันตลอดร่วมชั่วโมงเข้าไปแล้ว

แต่ผมว่านะ เสียงลุงก้องแกก็งั้นๆ แถมเพลงยังย้อนยุคไกลไปหน่อย ถ้าจะให้เครดิตนิดนึงก็คงจะที่เป็นผิวสีแทนของลุงเขา ดูแข็งแรงสุขภาพดีอยู่นะ ผมว่าตัวผมมีสีผิวที่ออกขาวมากไปหน่อย ทำไงได้ ช่วงนี้ทำแต่งาน ไม่มีเวลาไปทำกิจกรรมกลางแจ้งเลย สงสัยผมต้องหาเวลาชวนเจ้าเรนไปแค้มปิ้งกันบ้าง อือม์ ถามคุณลินดีไหมนะ ว่าไปที่ไหนดี

ว่าแล้วผมก็หันไปมองคนข้างๆ ก็เห็นเธอกำลังมองตามลุงไร่องุ่นที่เพิ่งลงจากเวทีไปด้วยสายตาละห้อย

ครับ เวลาผ่านไปค่อนคืนแล้ว ลุงเขาก็ยังไม่เข้ามาหาป้า...

ผมแอบมองคุณลินด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก วันนี้เขาอยู่ในชุดกระโปรงสีชมพูแขนกุด น่ารักครับน่ารัก ต้นแขนผิวสองสีที่เนียนนุ่มทำเอาผมนึกอยากเอื้อมมือไปสัมผัส...

ไม่ใช่อะไรหรอก อยากสัมผัสปลอบใจเขาน่ะ แววตาที่เขาแอบมองฝ่ายโน้นมันดูเศร้านะ

นี่คุณลินแคร์ไอ้ลุงนั่นจนนั่งเศร้าได้เนี่ยนะ ตั้งแต่รู้จักกันมาผมยังไม่เคยเห็นเขาทำหน้าเศร้าเลย ตาโตๆนั่นดูสดใสร่าเริงเสมอแม้ยามงอน

คือแม้ผมจะแอบดีใจอยู่ลึกๆที่เหมือนสิ่งที่คุณลินหวังไว้จะไม่เป็นจริง…

แต่แม่งเอ้ย! ผมไม่ชอบเห็นคุณลินเศร้าเลยจริงๆว่ะ!

"คุณเซนขึ้นไปดับรัศมีไอ้ก้องมันหน่อยสิฮะ" ทันใดนั้นก็มีเสียงยุยงมาจากคุณวิสกี้อีกแล้ว

"ครับ?"

"ขึ้นเวทีไปร้องเพลงโชว์ให้ไอ้ก้องมันเห็นหน่อยฮะ หมั่นไส้มัน ทำเหมือนหล่อซะเต็มประดา" อ้าว สรุปคุณวิสกี้เค้าอยู่ฝ่ายไหนกันแน่ครับเนี่ย ยุให้ผมขึ้นไปเล่นเกมไม่พอ นี่กำลังยุให้ผมขึ้นไปร้องเพลงบนเวทีอีก

วันนี้คุณวิสกี้ทำหน้าที่เป็นตัวชงจริงๆ นี่คงกะเรียกร้องความสนใจจากไอ้ลุงก้องไร่องุ่นให้คุณลินเพื่อนรักของเขาสิท่า สองคนนี้เขาแผนจัดมาก แต่เหมือนคุณวิสกี้จะแผนการแยบยลกว่าคุณลิน คุณป้าเขาชอบทำท่าเหมือนเก๋าเกม แต่ลงท้ายก็แป้กทุกที

"ไปเลยค่ะ คุณเซนลุยเลยค่ะ สู้ๆนะคะ" คุณป้าเขารีบหันมาคะยั้นคะยอผม แววตาเศร้าๆนั้นกลับมีประกายระยิบระยับขึ้นมา นี่นิสัยประธานนักเรียนเก่าที่ชอบบังคับเพื่อนให้ทำกิจกรรมอะดิ

"เอ่อ จะดีหรือครับ"แต่ผมรู้สึกเลิ่กลั่ก อดไม่ได้ที่จะทำท่าเก้อเขิน

"ชั้นอยากฟังคุณเซนร้องเพลงค่ะ ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย นะคะ โชว์พลังเสียงหน่อยค่ะ" คุณป้ายังไม่หยุดรบเร้า

นี่คุณป้าอยากฟังผมร้องเพลงจริงๆหรือ รอยยิ้มออดอ้อนนั้นทำเอาผมใจอ่อนยวบ

เอาวะ แม้งานร้องเพลงจะเป็นงานที่ผมไม่ถนัดที่สุดในโลก แต่เมื่อคุณป้าเขาอยากฟังผมร้องเพลง ผมก็คงต้องจัดไปครับ รับงานมาแล้วครับ ก็ต้องไปให้สุดครับ

และอีกอย่าง ลีลาการร้องเพลงของผมอาจทำให้คุณป้าเค้าหายเศร้าได้บ้างนะ หวังว่า...

เพื่อคุณป้าโว้ย!

เมื่อคิดได้ดังนั้น ผมจึงลุกขึ้นและก้าวเดินอย่างห้าวหาญไปที่หน้าเวทีอีกครั้ง คือเหมือนเจนเวทีอยู่คนเดียว เหมามันให้หมดทุกรายการ หิวแสงที่สุดแล้ววันนี้ผมอะ

และเมื่อถึงหน้าเวที ผมไม่รอช้าที่จะกระซิบบอกเพลงโปรดของผมให้กับคุณเหมียว ผู้ซึ่งเป็นทั้งพิธีกรของงานและเป็นผู้ค้นทำนองคาราโอเกะให้เพื่อนๆ ไม่น่าเชื่อว่าโปรแกรมคอมพิวเตอร์นั่นจะมีเพลงที่ผมต้องการด้วยครับ ทันสมัยครับ รุ่นนี้เค้ายังทันสมัยเรื่องเทคโนโลยีครับ

ผมก้าวออกมายืนทำสมาธิกลางเวทีพร้อมทั้งขาตั้งไมค์ พร้อมเต็มที่แล้วครับ!

ตึ้ง... ตึง ตึ้ง ตีง ตึง ตึ้ง....

อา แค่เสียงกลองอินโทรและตามด้วยเสียงลี้ดกีตาร์ในตำนาน หัวใจผมก็สั่นไหวแล้ว พี่คริสของผมต้องยินดีที่ผมเลือกเพลงของพี่เค้า ผมเอื้อมไปเกาะกุมไมค์ที่ยังเสียบอยู่บนขาตั้งนั่น ก้มหน้าลงและก็ยังคงยืนนิ่งอย่างเท่ๆกลางเวที

กรี๊ดดดดดด!!!!

แน่นอนครับ ผมรู้ว่ามาดยืนเท่นี้ต้องได้รับเสียงกรีดร้องต้อนรับ

และณ จุดจุดนี้ ผู้คนเบื้องล่างเวทีก็เริ่มโยกตัวตามจังหวะอันเป็นที่คุ้นเคย ผมว่ารุ่นนี้แล้ว ทุกคนรู้จักพี่คริสและโคลด์เพลย์อย่างแน่นอน พวกเขาดูแฮปปี้กับเพลงที่ผมเลือกมาก

ผมคิดว่าเพลงที่ท่วงทำนองช้าๆแต่หนักแน่นเช่นนี้จะทำให้ดีกรีความเท่ของผมพุ่งถึงขีดสุด ลุงก้องก็ลุงก้องเถอะ มัวแต่มึนเมากับเพลงไทยยุคเก้าศูนย์ นี่! มันต้องดูตัวอย่างจากผม ข้ามไประดับสากลเลยครับ

"In My Place, In My Place…"

แต่หลังจากที่ผมขึ้นเพลงท่อนแรก ผมก็เริ่มเห็นรอยสับสนปรากฏบนใบหน้าของบรรดาคุณผู้ชมข้างล่าง ห้องจัดเลี้ยงทั้งห้องเงียบกริบ เพื่อนๆหลายคนเริ่มหันไปมองที่คุณลินด้วยสีหน้าเห็นใจ และตัวคุณลินเองก็ทำหน้าแปลกๆไป

สงสัยผมจะยังใส่อารมณ์ไม่พอ คงต้องเพิ่มอินเนอร์เข้าไปอีก ผมหลับตา ขมวดคิ้ว และเริ่มทำท่าโคลงเคลงไปมาเลียนแบบพี่คริส

"I was lost, I was lost…" ผมเปล่งเสียงออกไปอย่างต่อเนื่องโดยไม่แคร์ความรู้สึกของเขาเหล่านั้น ในเมื่อเริ่มแล้ว ก็ต้องไปต่อให้จบ

"…"

ความตื่นตะลึงยังคงปกคลุมไปทั่วห้องเมื่อเสียงโหยหวนนั้นไม่มีทีท่าจะหยุดลงง่ายๆ!

และในขณะที่ทุกคนกำลังหวั่นวิตกตระหนกกับเสียงร้องอันหายนะของผมนั้น

"Yeahhhhh how long must you wait for it?..."

เสียงประสานท่อนฮุกก็ดังมาจากคุณลิน บัดนี้เธอกระโจนขึ้นมาคว้าไมค์อีกตัวร่วมแจมกับผมบนเวที เธอคงไม่อยากให้ผมปู้ยี่ปู้ยำเพลงของพี่คริสอย่างโดดเดี่ยว

เราสบตากัน เธอยิ้มกว้างให้ผม นัยน์ตากลมโตนั่นโคตรดูอบอุ่น ผมมองเธอด้วยสายตาอันขอบคุณ วินาทีนั้นเหมือนใจของเราจะรวมกันเป็นหนึ่งเดียว…

ต้องยอมรับว่าคุณลินเสียงดีกว่าที่ผมคิดไว้เยอะ และท่าทางของเธอก็จริงจังกับการร้องเพลงยิ่งไปกว่าผม สเต็ปการโยกตัวของเธอนั้นกินขาดเกินหน้าเกินตาเจ้าของเพลง มีการกระโดดขึ้นลงเวที แล้วหมุนตัวกวาดแขนกวาดมือเพื่อเน้นจังหวะที่กระแทกกระทั้นตามแบบพี่คริสเป๊ะ เข้าใจว่าน่าจะถูกเทรนมาดี ได้ยินว่าลิสาหลานสาวแกเชี่ยวชาญเรื่องการเต้น

ซึ่งณ จุดจุดนี้ หากพี่คริสมาเห็นคงต้องร้องว้าว ว้าว ว้าว

แล้วเราสองคนก็กอดคอกันแผดเสียงถล่มเพลงในตำนานอย่างไม่เกรงใจใคร

และโดยที่ผมไม่คาดคิด จู่ๆสมาชิกทุกคนของห้องสามก็พร้อมใจกันลุกจากเก้าอี้ขึ้นยืน พวกเขาผนึกกำลังกันส่งเสียงเพลงของพี่คริสให้ดังกึกก้องไปทั่วห้องจัดงานเลี้ยงเล็กๆแห่งนั้น มือขวาของทุกคนบัดนี้ถูกชูขึ้นโบกไปมา มีใครก็ไม่รู้เดินไปปิดไฟ แล้วหลายๆคนก็เริ่มเปิดไฟฉายจากโทรศัพท์มือถือโบกกันสะบัด ภาพแสงไฟวับแวมๆนั้นสวยงามจับตา

ผมยิ้มกว้างชูสัญลักษณ์ไอเลิฟยูด้วยนิ้วโป้งนิ้วชี้และนิ้วก้อยโบกให้กับทุกๆคนกลับไป

… ซึ้งครับซึ้ง…

และเวลาก็ล่วงเลยมาดึกมาก...

"โอ้โห วันนี้เป็นวันของเพลงยุคเก้าศูนย์จริงๆนะครับเนี่ย ผมไม่ค่อยรู้จักเลย"

ผมรำพึงรำพันออกมาขณะโยกตัวถอยหน้าถอยหลังไปตามจังหวะของเสียงดนตรี

คือหลังจากช่วงเวลาอันทนทุกข์ทรมานของคาราโอเกะผ่านพ้นไป ก็มาถึงช่วงเวลาที่ผมไม่ถนัดที่สุดอีกอย่างหนึ่งในชีวิต นั่นคือการเต้น!

ใช่ครับ การออกมาวาดลวดลายโยกย้ายไปตามจังหวะเพลงแด๊นซ์ต่างๆนั่นล่ะครับ ไม่ใช่ทางของผมเลยสักนิด ผมหลีกเลี่ยงกิจกรรมเคลื่อนไหวชนิดนี้มาทั้งชีวิต เวลาไปเข้าเธคผับ ส่วนมากผมก็แค่ยืนจิบเบียร์เฉยๆอาจแค่โยกไปมานิดๆหน่อยๆ

แต่วันนี้! ไหนๆก็ไหนๆแล้ว จงละทิ้งมาดเจ้านายเข้มๆออกไปเสีย เพื่อคุณป้า! ผมต้องไปเวย์เอนเตอร์เทนให้สุด เธอเป็นทุกอย่างให้บริษัทผมแล้ว ผมจะเป็นทุกอย่างให้เธอบ้าง

"จริงค่ะ วันนี้มีแต่เพลงยุคเก้าศูนย์ทั้งนั้นเลย ศิลปินแกรมมี่มากันให้ครบ ยัยเหมียวประธานรุ่นเค้าเป็นแฟนคลับยุคเก้าศูนย์น่ะค่ะ"

คุณลินเขาตอบกลับมาพร้อมกับหมุนตัวอย่างแคล่วคล่อง ดูเขาร่าเริงขึ้นมากหลังจากได้ประจักษ์กับเสียงร้องเพลงอันหายนะของผม

ตอนนี้เรากำลังอยู่กลางฟลอร์ของการแดนซ์กลางห้องจัดเลี้ยง โต๊ะยาวและเก้าอี้ทั้งหลายถูกยกออกไปหมดก่อนหน้านี้แล้ว และด้านข้างของห้องก็ถูกแทนที่ด้วยโต๊ะกลมทรงสูงเป็นจุดๆสำหรับวางเครื่องดื่ม พื้นที่ของทั้งห้องถูกปรับเปลี่ยนเป็นเธคผับขนาดย่อมในพริบตา ผมเพิ่งสังเกตเห็นว่ามีไฟดิสโก้ด้วยนะเออ

"ก็ทั้งรุ่นคุณลินไม่ใช่หรือครับที่ชอบยุคเก้าศูนย์ ก็คนเจนเอ็กซ์กันทั้งนั้น" ผมตะโกนข้างหูคุณลิน

การตะโกนสนทนากันในที่ที่เสียงดนตรีดังกลบนี่เป็นสิ่งไร้เหตุผลอย่างหนึ่งที่มนุษย์เมืองหลวงนิยมทำกัน

"แหม คุณเซน รุ่นชั้นมันรุ่นคาบเกี่ยวเจนวายค่ะ แต่ชั้นว่าถึงเป็นเพลงของยุคสองพัน คุณเซนก็ไม่รู้จักอยู่ดี เพราะยังไงคุณก็ไปอยู่ญี่ปุ่นตั้งแต่เด็ก" คุณลินขยับเข้ามาใกล้มาก แล้วตะโกนตอบที่ข้างหูผม

"แต่ผมรู้จักพี่ตูนนะ" ผมไม่รีรอที่จะโน้มตัวเข้าไปชิดเธอเลยทีนี้

ข้อดีของการได้ตะโกนข้างหูกันคือ มันใกล้ชิดกันดี ตอนนี้ผมได้กลิ่นน้ำหอมของคุณลินมาเบาๆ ความจริงวันนี้ผมก็ได้กลิ่นไปหลายรอบแล้วเพราะผมถือโอกาสทำใกล้ชิดบ่อยมาก ก็ตามแผนเรียกร้องความสนใจจากลุงก้องอะนะครับ ไม่ใช่อะไรหรอก

"จริงอะ พี่ตูนนี่นักร้องคนโปรดชั้นเลยนะคะ ชั้นใฝ่ฝันมากที่จะได้ไปคอนเสิร์ตพี่ตูนสักครั้งของชีวิต…" แต่ยังไม่ทันที่เธอจะพูดขาดคำ

อุ๊บบบบบบ!

"อุ๊ย! คุณเซน" เสียงร้องมาเบาๆอย่างตกใจ

เพราะจู่ๆผมก็สะดุดล้มหน้าคว่ำไปทางคุณลิน จนเธอต้องประคองผมไว้โดยการโอบผมทั้งตัว ผมจึงถือโอกาสก้มหน้าลงใกล้ใบหน้าเธอแบบสโลว์โมชั่น แล้วจ้องตาเธอนิ่งๆ

"อุ๊ย คุณเซนทำอะไรคะเนี่ย" คุณลินเธอพยายามผงะหน้าถอยห่าง

"ก็แกล้งล้มทับหน้าชนกันเหมือนในละครไทยไงครับ" ผมยิ้มกรุ้มกริ่ม

"แหมคุณเซน นั่นมันบทสำหรับพระเอกนางเอกเค้าค่ะ แต่ตอนนี้คุณกำลังเล่นบทตัวโกงอยู่นะคะ ยืนดีๆได้แล้วค่ะ หนักนะคะเนี่ย ตัวคุณเซนไม่ใช่เบาๆ" คุณป้าผลักผมออก แล้วหันไปมองรอบๆ

ไม่มีใครเค้าสนใจหรอกคร้าบคุณป้า ทุกคนต่างกำลังเมามันกับเพลงของป้าติ๊นา

"อ้าว ทีแรกนึกว่าผมแค่เป็นพระเอกจำลอง เป็นเพียงแค่พระรองที่เธอมองไม่เห็น แล้วนี่ผมกลายเป็นตัวโกงไปตั้งแต่เมื่อไหร่ฮะเนี่ย" อะไรของป้าเค้า อยู่ๆมายัดเยียดบทตัวโกงให้ผมเฉย

"แหม ตัวละครมันต้องมีการพัฒนาค่ะ จากพระรองก็กลายเป็นตัวโกงได้เพราะโดนกดดันจากนางเอกและคนรอบข้าง ดูๆไปหน้าตาของคุณเซนก็เหมาะกับบทตัวโกงนะคะ"

"เอ่อ โอเค งั้นช่างมันเถอะครับ" ผมตัดบท เมื่อเห็นเนื้อเรื่องชักจะไปกันใหญ่

ตอนนี้ผมทรงตัวกลับมายืนได้มั่นคงแล้ว และกำลังเริ่มเต้นรำท่ายึกยักที่จำมาจากตอนไปดูการเต้นรำของชาวญี่ปุ่นกับคุณตาคุณยายสมัยตอนเป็นเด็ก แม้มันจะนานมาแล้ว แต่ความจำผมดีไงครับ ผมจำได้เกือบทุกท่า

แต่คือจังหวะการเต้นมันจะไม่ค่อยเข้ากับเพลงของป้าติ๊นาเลยแฮะ

เอ้อ ช่างมันเถอะ เอาความยูนีคเข้าว่า

"คุณลินดูนะครับ นี่คือการเต้นรำแบบอาวะโอโดริของญี่ปุ่น คุณลินเต้นตามได้นะครับ ผมไม่สงวนลิขสิทธิ์" ผมพยายามชักชวนคุณป้าเขา แล้วก็ตั้งอกตั้งใจทำท่าให้เขาดู

"ฮ่า ฮ่า ฮ่า" คุณป้าเธอดูร่าเริงกับความจริงจังของผมมาก ซึ่งแม้หน้าตาเธอจะดูเหมือนหัวเราะเยาะ แต่คุณป้าเธอก็เริ่มเต้นตาม ผมจึงบุ้ยบ้ายให้เธอมาเต้นตามข้างหลังผม

เพราะมันคือการเต้นแบบค้อมตัวลงมาข้างหน้า สลับเท้าก้าวไปมาซ้ายขวา เอามือทั้งสองชูไปในอากาศ แล้วค่อยๆขยับหันซ้ายหันขวาเดินหน้าไปเรื่อยๆทีละนิด บางจังหวะก็มีการหันข้างแล้วกางแขนออกทั้งสองข้าง กระโดดนิดๆเพื่อยกขาขึ้นสลับกันไปมาคล้ายๆท่าหนุมานของไทย

เราสองคนใช้เวลาไม่นานก็เริ่มซิงโครไนซ์จับจังหวะกันได้ และณ จุดจุดนี้ เหล่าบรรดาเท้าไฟคนอื่นๆในห้องคงอดรนทนไหว พวกเขาเริ่มมาต่อท้ายแถวเพื่อที่จะร่วมสรรค์สร้างสเต็ปอันเปี่ยมไปด้วยวัฒนธรรมไปด้วยกัน เยี่ยม! เป็นการสร้างความสามัคคีในหมู่คณะไปอีก

"มันคือการเต้นอาวะโอโดริของญี่ปุ่น คุณเซนเขาเป็นลูกครึ่งญี่ปุ่น"

ประโยคนี้ถูกบอกต่อกันไปเป็นทอดๆ แล้วขบวนอาวะโอโดริซึ่งมีผมเป็นหัวขบวนก็เริ่มยาวขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ผมต้องเริ่มออกเดินไปทั่วห้องเพื่อให้หางแถวได้ก้าวตาม จนในที่สุดขบวนของเราก็กวาดเอาผู้ร่วมงานทั้งห้องมาล่มหัวจมท้ายด้วยกันจนได้

ผมไม่เคยคิดมาก่อนว่า คนวัยนี้เขาจะมีสปิริตกันสูงมากขนาดนี้ ชาวคณะเพื่อนร่วมรุ่นของคุณลินเต้นตามผมอย่างไม่หวั่นไหว ไม่ว่าจะเป็นเพลงของป้าใหม่เจริญปุระ ลุงหนุ่ยไมโคร หรือลุงอัศนีวสันต์ ไปจนกระทั่งลุงเสกโลโซ พวกเขาคงทึ่งที่ผมสามารถปรับเปลี่ยนจังหวะการเต้นอาวะโอโดริให้เข้ากับเพลงยุคเก้าศูนย์ได้อย่างเหนือความคาดหมาย และเหมือนว่าพวกเขาจะหมดวัยของการวางฟอร์มกันแล้ว ขอเพียงแต่มีคนหาญกล้าขึ้นนำทำอะไรที่ต่างออกไป พวกเขาก็พร้อมที่จะกระโจนเข้าร่วมวง

ตลอดเวลาที่เรากำลังเต้นกันไปเรื่อยๆนั้น ผมได้ยินเสียงคุณลินเธอหัวเราะดังมาจากทางด้านหลังของผมอยู่เรื่อยๆ ผมหันไปมองเธออยู่หลายที ก็เห็นอารมณ์สนุกสนานของเธอกลับมาอีกครั้ง

และเมื่อเราได้สบตากัน เราต่างก็ยิ้มกว้างให้แก่และกัน ดวงตากลมโตนั้นบัดนี้ไม่เหลือร่องรอยความเศร้าอยู่แล้ว

รอยยิ้มแบบนี้ แววตาแบบนี้ล่ะ ที่ผมอยากจะเห็นตลอดไป

ผมยอมเป็นทุกอย่างให้เธอแล้วครับในค่ำคืนนี้...