webnovel

วันนี้ยุ่งจังเลย

10:15 น.

ฉันรีบซ้อนวินมอเตอร์ไซต์หัวกระเซิงกลับมาออฟฟิศด้วยความร้อนรน ไม่รู้ประชุมสำคัญจะเสร็จสิ้นไปหรือยัง แต่ไม่ว่าจะรีบร้อนแค่ไหน ฉันไม่ลืมที่จะแวะทักทายลุงประยุทธ์ที่ป้อมยามหน้าอาคารอย่างรวดเร็ว

"ลุงยุทธ์คะ เพลงชาติเมื่อเช้าน่ะ มาจากโทรศัพท์ของลินเองค่ะ คราวหลังถ้าลุงได้ยินเพลงชาติพร้อมกับมีลินอยู่ใกล้ๆ ลุงไม่ต้องยืนแล้วนะคะ"

"คร้าบคุณลิน แหม เมื่อเช้าลุงก็ตกใจหมดเลย กลัวยืนไม่ทัน" ยามสูงวัยยิ้มแย้มทักทายตอบ

ก็ต้องเห็นใจแกหน่อยล่ะนะ ลุงยุทธ์แกได้ชื่อว่ารักชาติที่สุดในบริษัทเราแล้ว

แล้วฉันก็มาหยุดที่ฝ่ายต้อนรับของบริษัทเป็นจุดต่อไปทันทีที่ผ่านเข้าประตูอาคารเข้ามา

"น้องน้ำหวาน เช็คให้พี่ด่วนทีนะจ๊ะ ประชุมเปิดตัวท่านประธานคนใหม่เมื่อตอนเก้าโมงเช้านี่ ประชุมกันที่ไหนจ๊ะ ใช้ห้องประชุมใหญ่หรือเปล่า" ฉันกระหืดกระหอบรีบให้น้องน้ำหวานเช็คสถานที่ประชุม

"เค้าเลิกประชุมกันแล้วค่ะพี่ลิน คนในออฟฟิศกลับมานั่งทำงานกันหมดแล้ว"

คุณวารุณีหรือน้องน้ำหวานพนักงานต้อนรับคนสวยตอบกลับมาแทบจะในทันที

"อะไรกัน ประชุมแค่ชั่วโมงเดียวเองหรือ"

"ค่ะ คุณไมตรีแกจองเวลาไว้แค่ชั่วโมงเดียวด้วยค่ะ แกบอกว่าท่านประธานไม่ชอบความยืดเยื้อ"

ไม่น่าเชื่อว่าบริษัทจะเลิกประชุมตรงเวลาได้ด้วย ทุกทีเห็นคุยกันน้ำท่วมทุ่งเรื่อยเปื่อยเกินเลยเวลากันไปอย่างไม่มีกำหนด

นี่ประธานบริษัทคนใหม่เค้ามาเหนือจริงๆ!

แต่เอ… หรือจะเป็นเจ้านายประเภทไม่มีอะไรจะพูด

ฮึ ฮึ เจ้าเด็กน้อย…

"นี่พี่ลินไม่ได้เข้าประชุมหรือคะ ตายแล้ว นี่หนูนึกว่าหนูพลาดอยู่คนเดียวนะคะเนี่ย เสียดายหนูต้องอยู่เฝ้าที่ฟร้อนท์นี่ คนอื่นเค้าออกมาซุบซิบกันให้แซ่ดว่าประธานคนใหม่ท่าทางโหดปนแซ่บมากกกก"

น้องน้ำหวานตั้งท่าจะเม้าท์ยาว ทำให้ฉันต้องรีบเบรกไว้ก่อน

"ไว้เดี๋ยวพี่แวบมาเม้าท์ด้วยนะจ๊ะ ตอนนี้พี่ต้องรีบเข้าห้องทำงานก่อน"

ฉันโบกมือลาน้องน้ำหวานผู้ซึ่งนับได้ว่าเป็นแหล่งข้อมูลแห่งวงการซุบซิบของบริษัทเราอย่างแท้จริง คนสวยๆตัวเล็กๆคนนี้รู้ทุกความเป็นไปในบริษัท การมีสายสัมพันธ์อันสนิทสนมแนบแน่นกับน้องน้ำหวานจึงเป็นหนทางที่จะทำให้เราได้ข้อมูลที่หลากหลายมากขึ้น

แต่เอ… จะว่าไป ฉันก็สนิทสนมกับคนเกือบทั้งบริษัทอยู่แล้วนี่นะ

10:40 น.

ฉันเสยผมอย่างลวกๆขณะรีบเดินไปยังห้องทำงาน เดี๋ยวเอากระเป๋าไปวางที่โต๊ะก่อน แล้วค่อยเข้าห้องน้ำเสริมสวย เฮ้อ… เมื่อเช้าอุตส่าห์โพกผ้าพันผมมาซะอย่างสวยงาม หมายมั่นจะให้ท่านประธานคนใหม่ตื่นตะลึง เจอพี่วินมอเตอร์ไซต์ซิ่งซะขนาดนั้น …หมดกัน

ในที่สุดฉันก็โซซัดโซเซเหงื่อตกเข้ามาถึงหน้าห้องทำงานส่วนตัวจนได้

แล้วนี่เกิดอะไรขึ้น? ทีมงานคุณภาพของฉันทำไมมานั่งกระจุกรวมตัวกันเป็นหมาหงอยหน้าห้องของฉันอย่างนั้น อย่าเพิ่งสนใจดีกว่า นี่กำลังเหนื่อยมาก

และเมื่อเห็นฉันเดินผ่านหน้าเข้าห้องไปโดยไม่มีท่าทีว่าจะหยุด ทุกคนต่างลุกขึ้นแล้วเดินตามฉันเข้ามาในห้องทำงานเล็กๆของฉันทันที

"ซิสไปไหนมาคะเนี่ย พังแล้ว พังมาก พังปุริเย่!" เมื่อประตูห้องทำงานกระจกของฉันปิดลง คิตตี้ก็เริ่มเป็นคนแรก

"มีอะไรคะคุณคิตตี้ อะไรพัง แต่เดี๋ยวขอพี่กินน้ำก่อนได้หรือเปล่าคะ"

ฉันวางกระเป๋าลงบนโต๊ะ ก่อนจะล้วงมือหยิบขวดน้ำแร่ในกระเป๋าออกมาดื่ม แล้วเอนหลังนั่งพิงพนักพักเหนื่อยขณะกวาดตามองบรรดาลูกทีม

หัวหน้าแผนกออกแบบผลิตภัณฑ์คือตำแหน่งอย่างเป็นทางการของฉัน

"แล้วนี่มีเรื่องอะไรกัน ทำไมไม่ประจำที่โต๊ะแล้วเริ่มทำงานทำการกันคะ เพิ่งจะประชุมกันเสร็จไม่ใช่รึ"

"ก็ซิสมาช้าน่ะสิ ทีมนั้นเอาไปกินหมดเลย" คุณคิตตี้ผู้เป็นตัวแทนเข้าร่วมประชุมของฉันยังคงพูดจาไม่ได้เนื้อหาเช่นเดิม

"อะไร? ทีมอะไร เมื่อคืนมีบอลเหรอ ฮะ อย่าบอกนะ ว่าจะมีอะไรเลวร้ายไปกว่าแมนยูชนะลิเวอร์พูล โอว ไม่นะ ไม่ ไม่ ไม่"

เชี่ย! แค่ปิดเฟซหนึ่งวัน ทำไมโลกข้างนอกมันวินาศขนาดนี้

"น้องเยลลี่ครับ รายงานพี่ลินไปครับ" สุกรีลูกน้องคนโปรดเมินเฉยต่อประโยคไร้สาระของฉัน เขาพยายามกลับเข้าเรื่องโดยหันไปทางรุ่นน้องในทีมซึ่งยืนอยู่ข้างๆ

"เก้าโมงเช้าตรงเวลาเป๊ะ เปิดตัวท่านผู้บริหารคนใหม่ คุณเซน ลูกชายของคุณราเชนทร์ เพิ่งกลับมาจากญี่ปุ่น อายุ 32 ปี หล่อสไตล์โอปป้า หน้าอีโดฮยอน หุ่นอีจองซอก ความเย็นชาเทียบได้กับเจ้าชายรัชทายาทลีชินจากซีรีส์ Goong"

เสียงรายงานมาจากน้องหมวยผมม้าสั้นเต่อกับแว่นเหลี่ยมนามว่าเยลลี่ ผู้ที่พูดจารู้เรื่องที่สุดในทีม แม้วัยวุฒิจะน้อยที่สุดในทีม

"โสดอยู่แน่ๆ" คิตตี้พุ่งความเห็นออกไปหลังจากเยลลี่จบประโยค

"ใครโสด ท่านประธานคนใหม่น่ะเหรอ" ฉันถาม

"หนูเอง"

"โธ่ คิดตี้ นั่นใครๆเค้าก็รู้กันป่าวคะ" ฉันมองบนกับคิตตี้

"จะพูดทำไม?" สุกรีให้ความเห็นเป็นประโยคกึ่งคำถาม

ฉันพยักหน้าเห็นด้วยกับสุกรี ก่อนจะหันมาทางเยลลี่อีกครั้ง

"ว่าแต่คุณเซนเค้ามีลูกแล้วไม่ใช่รึ พี่เคยได้ยินแผนกบัญชีเค้าเม้าท์กัน"

แน่นอนข่าวลือเรื่องผู้บริหารคนใหม่มันต้องมีมาก่อนหน้านี้แล้ว

"มีลูกแล้ว แต่เมียอย่างเป็นทางการยังไม่น่ามีนะฮ้าซิส ถ้าเมียลับๆก็ไม่แน่" เรื่องข่าวลือนั้นคิตตี้เค้าถนัด

"โอเค พักเรื่องลูกเรื่องเมียเอาไว้ก่อน แล้ว? ตื่นเต้นอะไรกัน?" ทำไมทุกคนทำเหมือนโลกกำลังจะแตก กะอีแค่มีประธานบริษัทหน้าสไตล์เกาหลี สมัยนี้ผู้ชายจะทำศัลยกรรมก็ไม่ใช่เรื่องแปลก

"เก้านาฬิกาสามสิบนาที เปิดตัวทีมดีไซน์ทีมใหม่ ซึ่งเป็นทีมของคนรุ่นใหม่ทั้งทีม อายุเฉลี่ยของผู้ร่วมทีมคือ 22-26 ปี ใช้ชื่อทีม Younger Fresher" น้องเยลลี่รายงานต่อไป

"นั่นชื่อทีม หรือชื่อรุ่นตู้เย็นเบอร์ห้าประหยัดไฟ" ฉันถามออกไป ใครคิดชื่อนี้วะ

"ผมว่าชื่อเหมือนน้ำยาดับกลิ่นเต่ามากกว่า" สุกรีให้ความเห็น

"แล้วเราต้องตั้งชื่อทีมด้วยไหมเนี่ย แบบ Older Lover ไรงี้" ฉันเสนอออกไป

"หรือ Older Slower" สุกรีรีบสนับสนุนฉัน สุกรีเป็นลูกทีมที่ฉันรักมาก เขาไม่เคยปล่อยให้มุกของฉันต้องโดดเดี่ยว

"หรือ Older Darker ไหมคะซิส ดูเหี้ยมดี" คิตตี้หันมาเล่นด้วย

"หรือ Older Stronger" อันนี้สุกรีพยายามอีกครั้ง เออแฮะ ดูเข้าท่าที่สุด

"เมื่อไหร่พวกพี่ๆจะเลิกเล่นกันคะ" น้ำเสียงเยลลี่ดูเหนื่อยหน่ายสุดๆ

"เอ้อ ขอโทษค่ะ พี่ขอบคุณนะคะสำหรับข้อมูล"

ในเมื่อเยลลี่เป็นน้องผู้หญิงที่อายุน้องที่สุดในทีม ฉันก็ต้องเอาใจหน่อย แม้จะแอบสงสัยต้องแต่ต้นจนจบ ว่าพ่อแม่เขาเคยคิดรู้สึกผิดบ้างไหมที่ตั้งชื่อลูกไม่สัมพันธ์กับใบหน้าและคาแรคเตอร์

คือ… น้องหน้านิ่งมากกกกก แต่ชื่อเยลลี่ที่มีลักษณะเด่นเป็นความนุ่ม

"สรุปว่า?" นี่แล้วคือยังไง ฉันต้องทำอะไร

"ก็ทีมเรามีคู่แข่งแล้วไงคะซิส ทีมนั้นเด็กกว่า สดกว่าตั้งเยอะ คุณเซนเค้าตั้งทีมนั้นมาเพื่อให้มาบี้ทีมเราโดยเฉพาะ" คิตตี้ร้อนอกร้อนใจต่อไป

ก็จริงนะ ขนาดน้องเยลลี่ที่เด็กที่สุดในทีมของเรายังอายุมากกว่าคนที่อายุมากที่สุดในทีมนั้นเลย แต่ฉันก็ไม่ได้รู้สึกเดือดร้อนร้อนใจอะไร

"มีสองทีมก็ดี จะได้ช่วยกันทำงาน" และฉันก็ยังตักเตือนน้องๆต่อไปด้วยสีหน้าที่ดูมีวุฒิภาวะ "ทำไมต้องไปอิจฉาเด็ก เรามันผู้ใหญ่แล้ว คีพคูลเข้าไว้"

"คือพี่ครับ คุณเซนแกบอกว่า สิ้นปีนี้จะคัดเหลือทีมดีไซน์ทีมเดียว เอาทีมที่ทำยอดขายมากกว่าครับ" ในที่สุดสุกรีก็เป็นผู้เฉลยโค้ดลับของคำว่า 'พัง'

"ว็อท? เฮ้ย ทำงี้ได้ไง โหดไปป่าว นี่เค้าประกาศเรื่องนี้กลางที่ประชุมเปิดตัวเค้าเองเนี่ยนะ"

ฉันหัวร้อนขึ้นมาเฉย เหมือนคุณประธานบริษัทคนใหม่นี้จะข้ามหน้าข้ามตากันมากเกินไปแล้ว

"ก็หนูถึงว่าไงคะซิส ว่าพังจริงๆ เหมือนแผนกเราถูกลากไปตบกลางอากาศ แล้วนี่หนูสงสัยมาก ว่าซิสไม่รู้เรื่องของทีมใหม่มาก่อนได้ยังไง ปกติซิสรู้ทุกเรื่องนี่คะ" คิตตี้ได้ทียุยงความหัวร้อนของฉันให้เพิ่มมากขึ้น

"ไหน ห้องคุณเซนอยู่ไหน"

ฉันลมออกหู นี่ฉันพลาดข่าวกรองเรื่องนี้ไปได้ยังไงกัน แหม เจ้าเด็กน้อย มาทำงานวันแรกก็ท้าทายรุ่นใหญ่ซะแล้ว

"ชั้นสอง ริมสุดปลายทางเดิน ห้องเดิมของคุณราเชนทร์ค่ะพี่" เยลลี่เป็นผู้ให้ข้อมูลอีกเช่นเคย

ลุยต่อไม่รอละ เดี๋ยว เดี๋ยวได้เจอกันแน่ คุณเซน!

11:15 น.

แวะห้องกาแฟซะหน่อยดีกว่า ไหนๆก็เป็นทางผ่านไปทางห้องคุณเซน ตั้งแต่เช้ามานี่ยังไม่มีกาแฟตกถึงท้องซักถ้วยเลย มีแต่เรื่องนั้นเรื่องนี้เข้ามาไม่หยุดหย่อน

ฉันก้าวเท้าเข้าไปในห้องกาแฟเล็กๆทางซ้ายมือริมทางเดินนั่น เผอิญสายตาก็ไปสะดุดเข้ากับบรรดาซองชาพร้อมดื่มสำเร็จรูปยี่ห้อใหม่ๆซึ่งวางเรียงรายอยู่ในถาดบนเค้านท์เตอร์เล็กๆที่อยู่ชิดผนังด้านหนึ่ง เอ๊ะ น่าสนใจมาก ออฟฟิศเรามีแม่บ้านคนใหม่หรือนี่ ซองชาพวกนี้เขียนด้วยภาษาแปลกๆด้วย มันคือภาษาอะไรกันนะ เมื่อหยิบมาดูใกล้ๆเป็นตัวน่ารักๆแบบนี้ อ่อ น่าจะภาษาญี่ปุ่น

บร๊ะเจ้า! บริษัทเราเสิร์ฟชาจากญี่ปุ่นให้พนักงาน!

มือขวาฉันหยิบบรรดาซองชาสีสันสดใสเหล่านั้นขึ้นมาดูอย่างเพลิดเพลิน แพ็กเกจจิ้งสไตล์ญี่ปุ่นเค้าอะเนอะ น่ารักกุ๊กกิ๊กเป็นที่สุด ใครกันนะที่ช่างสั่งซื้อชาพวกนี้มา เดี๋ยวต้องถามคุณแม่บ้านซะแล้ว

ส่วนมือซ้ายของฉันก็เอื้อมไปหยิบถ้วยเอสเพรสโซ่จากเครื่องทำกาแฟสำเร็จรูปที่วางเยื้องอยู่ข้างๆ

"คุณลลินครับ นั่นกาแฟของผม"

เนื้อเสียงนั้นนุ่ม ทว่าน้ำเสียงนั้นช่างเย็นชายิ่งนัก ทำให้ฉันขวับไปทันที ใครกัน มาขัดหวะวินาทีที่ฉันกำลังรื่นรมย์กับการสำรวจชายี่ห้อใหม่ๆของออฟฟิศอยู่

หันไปก็เห็นหนุ่มตัวสูงหน้าใสใส่แว่นตาขอบกลมใส ยืนกอดอกเอนตัวด้วยท่าทางสบายๆพิงอยู่ที่ประตูทางเข้าห้องกาแฟ พิจารณาดูความอ่อนเยาว์ของใบหน้า เสื้อเชิ้ตสีดำพับแขนที่ห่อหุ้มไหล่กว้าง บวกกับกางเกงยีนทรงวัยรุ่นนั้นแล้ว คงจะเป็นเด็กเข้าใหม่สินะ

แล้วนี่รู้จักชื่อฉันได้ยังไง!

อ๋อ ก็คงได้ยินพนักงานในบริษัทพูดถึงฉันบ่อยๆล่ะสิ ทำนองว่า

'คนนั้นไง คุณลลินดีไซน์เนอร์มือหนึ่งของบริษัทเราเลยนะ'

'นั่นคือเค้าล่ะ ผู้ออกแบบอาร์มแชร์ในตำนานของบริษัทเรา รุ่น Soft and Errogance รุ่นที่ขายดีติดอันดับหนึ่งมาอย่างยาวนาน'

'คนที่สวยๆเปรี้ยวๆ ผมสั้นๆเก๋ๆคนนั้นน่ะ อย่าไปแหยมกับเค้าเชียว เค้าเป็นขาใหญ่ประจำบริษัท'

คริคริ ฉันรู้ตัวดีถึงความโด่งดังของตนเองในบริษัทนี้ ก็คงช่วยไม่ได้นะ… เด็กเข้าใหม่คงต้องได้ยินชื่อเสียงของฉันมาบ้างล่ะ

โอเค งั้นเพื่อเป็นการทำให้เด็กใหม่ไม่เกร็งจนเกินไปนัก ฉันก็ต้องแสดงความเป็นผู้ใหญ่ใจดีขี้เล่นสักหน่อย

"ของน้องเหรอคะ แน่ใจเหรอ พี่ว่าพี่มาถึงที่ห้องกาแฟนี้ก่อนน้องน้า" หยอกๆไป แสดงความเป็นกันเอง

"ครับ ผมแน่ใจว่าเป็นของผมครับ" เหมือนแววตาที่มองผ่านแว่นนั้นมาจะมีความแวววับท้าทาย ทว่าน้ำเสียงก็ยังคงห่างเหินไว้ตัวและเย็นชาอยู่ เด็กๆก็งี้ล่ะ ชอบทำท่ามั่นอกมั่นใจเว่อร์วังเข้าไว้ก่อน

แล้วนี่ใจคอจะไม่ยิ้มกลับให้รุ่นพี่สักนิดหรือคะ แล้วทรงผมตั้งโด่เด่อย่างนั้นนี่ คิดมาดีแล้วหรือคะ ที่ใส่เข้าไปนั่นเจลหรือกาวลาเท็กซ์คะ

"ตายจริง พี่เผลอจิบไปแล้วซะด้วย งั้นเดี๋ยวพี่ทำให้ใหม่นะคะ"

ฉันต้องแสดงบทรุ่นพี่ที่แสนใจเย็นเข้าไว้ก่อน ไม่ช้านานเด็กน้อยคงจะหลงเสน่ห์ฉัน แล้วเข้ามาสวามิภักดิ์เป็นพรรคพวกฉันอีกคน

"ไม่เป็นไรครับ ผมต้องรีบไปแล้วครับ เผอิญมีธุระด่วน" คำปฏิเสธนั่นดูมั่นใจ

"เดี๋ยวค่ะ น้องเพิ่งมาทำงานวันแรกหรือคะ นี่พี่ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนเลย อยู่แผนกอะไรคะ" ฉันแสดงความเอาใจใส่ต่อผู้อ่อนวัยกว่า

แปลกที่ฉันไม่รู้ว่าวันนี้จะมีพนักงานใหม่เข้ามา ปกติน้องน้ำหวานประชาสัมพันธ์คนสวยจะคอยรายงานทุกเรื่องไม่ว่าเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องเม้าท์ให้ฉันรับรู้นี่นา

"ครับ ผมเพิ่งมาวันนี้ ยินดีที่ได้รู้จักครับ แล้วค่อยคุยกันครับ" ว่าแล้วพ่อหนุ่มนั่นก็หันหลังเดินจากไปอย่างรวดเร็ว

เอ… แววตานั่นดูยิ้มเยาะๆยังไงชอบกลแฮะ

11:35 น.

อ้าว เพิ่งดูนาฬิกา นี่มันจะเที่ยงแล้ว ว้า! ถึงเวลาพักกินข้าวกลางวันซะละ

งั้นคงต้องรอไปเจอคุณเซนหลังเที่ยงละกัน…

ฉันเคยอ่านจากหนังสือฮาวทูเรื่องปรัชญาการต่อรอง เขาบอกว่าหากเราเป็นฝ่ายเสียเปรียบ ต้องห้ามต่อรองตอนก่อนเวลาอาหาร เพราะฝ่ายตรงข้ามอาจจะกำลังหิวอยู่ แล้วพาลอารมณ์เสีย ไม่ฟังไม่ฟังอีร้าค่าอีรมใดๆทั้งสิ้น เป้าหมายของเราจะไม่สัมฤทธิผลเอาได้

ตอนนี้ฉันควรต้องไปหาอะไรอร่อยๆใส่ท้องก่อนดีกว่า เมื่อวานเห็นคิตตี้บอกว่าตรงซอยข้างตึกเรามีร้านกวยจั๊บเปิดใหม่ ของอย่างนี้มันต้องลอง!

13:30 น

เพิ่งกลับเข้าออฟฟิศ เม้าท์กับคิตตี้และสุกรีเพลินไปหน่อย วันนี้น้องเยลลี่ไม่ได้ลงไปกินข้าวด้วย เลยไม่มีคนคอยเตือนคอยกำกับเวลา ซวยไป เข้างานสายอีกแล้ว

13:40 น

พังจริง ไปไม่ทัน คุณเซนเพิ่งจะออกไปโรงงานไปเมื่อกี้เอง ถ้าคุณไมตรีอยู่ ก็ยังพอจะถามไถ่เรื่องทั้งหมดได้ แต่คุณไมตรีก็ไปกับคุณเซนด้วย เฮ้อ ครั้นจะตามไปโรงงานก็กลัวเดี๋ยวจะเอิกเกริกกันจนเกินไป

เค้าจะกลับเข้ามาออฟฟิศกันอีกหรือเปล่าหนอ

ใจเย็น หรือรอพรุ่งนี้ก่อนก็ได้

13:40 น - 18:00 น

ลืมเรื่องคุณเซนเสียสนิท มัวแต่วุ่นวายเรื่องซัพพลายเออร์เจ้าประจำส่งสินค้าไม่ตรงกับแบบที่ให้ไป

19:00 น.

ว่าจะกลับไปปลอบขวัญยัยลิสาที่บ้านเรื่องโดนสั่งให้นั่งห้องเดี่ยวหนึ่งวัน แต่คุณวิสกี้เพื่อนสนิทของฉันโทรเข้ามาตอนหกโมงเย็นพอดิบพอดี บอกว่ามีเรื่องกลุ้มใจด่วนมาก โอเค งั้นเรื่องลิสาเอาไว้ก่อน

"ไฮจ้ากี้" ฉันปราดเข้าไปหาเพื่อนทันทีที่เห็นคุณเธอยืนกระสับกระส่ายรออยู่หน้าร้าน

"ไฮจ้าลิน" วิสกี้แนบแก้มซ้ายขวากับฉันเพื่อเป็นการทักทายกัน

หมูกระทะในซอยลึกลับของย่านทองหล่อคือร้านประจำของเรา แม้ชุดที่เราทั้งคู่สวมใส่จะไม่เข้ากับกระทะและจานผักบุ้งที่วางอยู่ตรงหน้า เพราะเราต่างก็ตรงดิ่งมาจากการทำงานกัน แต่ทำไงได้ หมูกระทะร้านนี้คือดีย์ที่สุดแล้ว

"น้องครับ พี่ขอน้ำซุปเพิ่มด้วยครับ" หนุ่มหล่อมาดเนี้ยบหันไปบอกน้องพนักงานหน้าหวาน

"แกอย่าส่งตาหวานหล่อให้มากนักสิคะ สงสารน้องเค้า เหมือนแกให้ความหวังเค้ายังไงไม่รู้" ฉันแอบเตือนเพื่อนหนุ่ม

"จะให้ทำไง นั่นมันคือใบหน้าที่เฉยชาที่สุดของชั้นแล้ว" คนหล่อตอบด้วยสีหน้าเฉย

"แต่แกตาหวานไง หน้าแกเฉย แต่แกตาหวาน มันทำให้สาวๆเข้าใจผิด เข้าใจไหมกี้"

คุณเกย์หนุ่มหน้าเชิ่ดตาหวานข้างๆนี้คือเพื่อนสนิทตั้งแต่สมัยวัยเด็กของฉันเอง เราเรียนชั้นอนุบาลประถมและมัธยมมาด้วยกันตลอด กี้หรือชื่อเล่นเต็มๆคือวิสกี้ หนุ่มอาร์ตไดเร็กเตอร์ประจำบริษัทโฆษณาชื่อดังของเมืองไทย

"แล้วไงยะ ชั้นต้องทำตาโหดเหี้ยมตลอดเวลาใช่ไหม สาวๆเค้าจะได้ไม่เข้าใจผิด" แล้วคุณกี้เธอก็ทำตาถมึงทึงประกอบการคีบหมูพลิกกลับไปมา

"เอ้อ งั้นช่างเถอะ" ฉันเห็นสายตานั่นแล้วรู้สึกขนลุกซู่ ต้องเสไปหยิบมะนาวมาบีบใส่น้ำจิ้ม

หลังจากที่เราเงียบกันไปพักใหญ่เพื่อเติมหมูกระทะเข้าไปให้เต็มพุง ฉันจึงเริ่มเข้าเรื่องร้อนใจของเพื่อน

"นี่เธอมีอะไรกลุ้มใจ ถึงเรียกชั้นมาด่วนคะคุณกี้"

วิสกี้หยุดชะงักมือที่กำลังคีบวุ้นเส้น หน้าแดงก่ำขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล

"แก… คือ… ชั้นกำลังหลงรักหนุ่มน้อยคนนึง"

"เฮ้ย มีคนทำให้แกหลงรักได้ด้วยเหรอ ต้องเป็นอภิมหาเกย์หล่อแน่เลย" ฉันถือโอกาสทีเผลอ รีบคีบลูกชิ้นกุ้งลูกสุดท้ายมาจากบนเตา

วิสกี้เพื่อนฉันมีเกย์หนุ่มเกย์แก่ สาวน้อยสาวใหญ่ หลงรักกันให้เพียบ แม้จะแฟนเยอะ แต่วิสกี้ก็ยังครองตัวหยิ่งยโส ไม่หลงรักใครตอบง่ายๆ

"ป่าว น้องเค้าไม่หล่อ ติดจะอวบๆตันๆด้วยซ้ำ แต่น้องเค้าอัจฉริยะว่ะแก ชั้นชอบคนเก่ง"

แล้ววิสกี้ก็ถอนหายใจ พลางเหม่อมองไปไกล

ฉันมองตามสายตาหวานเยิ้มนั้นไป คุณกี้เขามองหมูกระทะของโต๊ะข้างๆทำไม

"ชั้นชอบคนยาก พอมีความรู้สึกตกหลุมรักที มันเลยเป็นเรื่องใหญ่สำหรับชั้น ไม่เหมือนแกหรอก หลงรักคนง่าย แล้วก็เทคนง่ายๆ แกมันพวกคนไม่จริงใจ"

"อ้าว เดี๋ยว คุณกี้ หล่อนมาปรึกษาปัญหาหัวใจกะชั้นนะยะ แล้วไหงกลายเป็นมาเยินยอชั้นล่ะคะ"

"โทษทีแก ชั้นลืมตัว" ดวงตาหวานฉ่ำของวิสกี้ดูตระหนก

"แต่แหม นั่นเป็นความเข้าใจผิดของคนทั่วไปนะคะ ตอนชั้นรักน่ะ ชั้นก็รักจริงจัง รักคนเดียวด้วย แล้วพอคบๆไป อยู่ๆมันก็หมดรัก ชั้นก็เท ชั้นผิดตรงไหน"

ฉันไม่ได้แก้ตัวนะ ก็มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ที่ผ่านๆมาฉันเป็นฝ่ายจีบก่อนด้วยซ้ำ ก็ด้วยลูกเล่นอันแพรวพราวของฉันมักจะทำให้บรรดาหนุ่มหล่อๆเล่นตัวทั้งหลายหลงเสน่ห์ หลวมตัวมาคบกับฉัน แต่แล้ววันนึงฉันก็เกิดเบื่อขึ้นมา ฉันก็ขอเลิก มันก็แฟร์นี่นา

"เอาเถอะ มาว่าเรื่องของหล่อนกันต่อ แล้วมันมีปัญหาตรงไหน" ฉันไม่เห็นว่าเรื่องรักๆใคร่ๆของฉันมันจะน่าสนใจ ไปต่อเรื่องของคุณกี้ดีกว่า

"ปัญหาก็คือน้องข้าวปุ้นเค้าเป็นนักศึกษาฝึกงานน่ะสิ"

"ดะเดี๋ยว เด็กฝึกงาน!"

วิสกี้พยักหน้าช้าๆด้วยอาการเขินอาย

"แปลว่าอายุยี่สิบต้นๆ แล้วมาเทียบกับพวกเราวัยปูนนี้ โอว คุณกี้ ชั้นไม่อยากจะบวกลบคูณหารความต่างของอายุเลย" ฉันส่ายหน้ารัวๆ บร้าไปแล้ว คุณกี้เธอคิดจะกินหน่อไม้ที่เพิ่งจะแตกหน่อ

"นี่แกจะเป็นเกย์แก่หลอกกินเด็กเรอะ" ฉันโพล่งออกไปตรงๆ

"แกรรรร ความรักมันไม่มีขีดขั้นของอายุ กระบี่อยู่ที่ใจ แม้กิ่งไผ่ก็ไร้เทียมทาน" วิสกี้พยายามจะโยงเข้าไปหาตำนานฤทธิ์ดสั้นของโกวเล้งทั้งๆที่ไม่น่าจะมีอะไรเกี่ยวข้องกัน

"กระบี่มิได้อยู่ที่ใจ แต่หากอยู่ถัดไปจากพังงา" ฉันต่อเติม

"กระบี่อยู่ที่ใจ แต่น้ำจิ้มไก่ ต้องแม่ประนอม" วิสกี้เผลอตอบโต้

"โนว! ชั้นไม่ชอบกินเด็ก น่ารำคาญ" ฉันดึงสมาธิของเพื่อนกลับเข้าเรื่อง

"แกรรร ช่วยชั้นคิดหน่อย จะจีบเด็กยังไงดี ช่วยกันคิดไว้ เผื่อวันนึงแกจะได้เอาไปใช้ด้วยไง"

โอวววว โนวววว ฉันไม่เอาด้วยหรอก ความรักกับเด็กน่ะหรือ ไม่มีทางเกิดขึ้นกับฉันอย่างแน่นอน!

21:00 น.

คุณวิสกี้เธอลากฉันมาดื่มต่อที่ผับเปิดใหม่เล็กๆแถวๆนั้น แม้ฉันจะทัดทานว่ามันไม่สมควร เพราะหัวของพวกเรากำลังเหม็นมากจากการรมควันหมูกระทะ แต่คุณกี้เธอก็ไม่หวั่น

และแล้วคืนวันจันทร์ต้นอาทิตย์การทำงานของฉัน… ก็เริ่มต้นด้วยความมึนเมาจนได้

ถึงกระนั้น อันที่จริงการกรึ่มตั้งแต่หัวอาทิตย์มันก็แค่เรื่องเล็กน้อย

ประเด็นที่สำคัญกว่าก็คือ การไปดื่มต่อที่ผับกับคุณวิสกี้ในคืนนี้ ฉันดันไปเจอใครบางคน แล้วดันเกิดเหตุการณ์ที่ทำให้ฉันต้องเกิดความอับอายถึงขีดสุดในวันรุ่งขึ้น!