webnovel

งอนง้อ

โอเคค่ะ ฉันขอเทความน่ารักทั้งหมดทั้งมวลของคุณเซนที่ฉันสัมผัสได้ในช่วงเวลาที่ผ่านมาทิ้งไปให้หมด

ทั้งพ่อท้ายทอยขาว พ่อกล้ามขาว พ่อแก้มบุ๋ม… ขอลบทิ้งทั้งหมด

อาทิตย์ที่แล้วหลังจากงานฉลองเค้กวันเกิดพี่เพ็ญ บรรยากาศระหว่างฉันกับคุณเซนเป็นไปด้วยความชื่นมื่น แม้ในแต่ละวันเราจะไม่ได้คุยอะไรกันมาก แต่แค่สบตากันแล้วคุณเซนยิ้มน้อยๆให้ แค่นั้นฉันก็สุขใจแล้ว และได้แค่นั่งทำงานพลางจ้องมองท้ายทอยขาวๆของคุณเซน ฉันก็ชุ่มชื่นในหัวใจแล้ว

แต่วันนี้ตอนนี้ ฉันกำลังโกรธมาก! คุณเซนไม่น่ารักเลย มีอย่างที่ไหนกัน งานเลี้ยงเปิดตัวโรงแรมใหญ่ที่หัวหินคืนวันเสาร์นี้ คุณเซนจะให้น้องมินตราไปด้วย!

"ผมได้ข่าวมา ว่าทางบริษัทแม่ของโรงแรมในเครือนี้กำลังจะสร้างโรงแรมหรูแห่งใหม่ที่เมืองอูบุด แล้วคืนวันเสาร์นี้หุ้นส่วนใหญ่คนสำคัญจะบินตรงมาจากบาหลีมาร่วมงานด้วย ผมก็เลยคิดว่าเผื่อเค้าจะสนใจคอลเลคชั่นของคุณมินตราสำหรับโรงแรมใหม่บ้าง"

บ้าบอที่สุด!

เรื่องของเรื่องคือ ชุดโซฟาทั้งในล้อบบี้และในห้องพักของโรงแรมใหญ่ที่หัวหินที่กำลังจะเปิดตัวนี้ เป็นผลงานชิ้นโบว์แดงที่น่าภาคภูมิใจของทีมฉัน ทางโรงแรมเป็นปลื้มกับโปรดักต์เซตนี้ของเรามาก ฉันและคุณเซนจึงได้รับเชิญไปร่วมงานเลี้ยงเปิดตัวอย่างทางการของโรงแรมในคืนวันเสาร์นี้ด้วย

"งานนี้ที่เค้าเชิญเราไป ก็เพราะเป็นผลงานการออกแบบที่ยอดเยี่ยมของทีมชั้น ก็ควรให้ชั้นมีโอกาสได้ทำความรู้จักกับคุณหุ้นส่วนใหญ่ก่อนสิคะ มันควรจะเป็นชั้นที่มีโอกาสได้คุยก่อนโดยไม่มีคนอื่นเข้าแทรก"

จะว่าฉันเห็นแก่ตัวก็ได้ ก็งานนี้มันเป็นงานใหญ่ของฉัน ฉันก็ต้องโดดเด่นที่สุด จะมาโดนน้องมินตราขโมยซีนได้ยังไงกัน หัวเด็ดตีนขาดยังไงฉันก็จะไม่ยอมเด็ดขาด

เรากำลังนั่งคุยกันสามคน ฉัน คุณเซน และก็น้องมินตรา ในห้องประชุมเล็กซึ่งประตูปิดสนิท

ฉันมองคนตาเรียวนั่นอย่างโกรธจัด ยิ่งเห็นสายตาที่ไม่ได้แสดงความรู้สึกอะไรส่งตอบกลับมา ฉันยิ่งโมโห พอเป็นเรื่องงานแล้วล่ะก็ เจ้านายคนนี้ดูจะกลับมาเป็นคนโหดร้ายเช่นเดิม ความกุ๊กกิ๊กอบอุ่นที่ฉันรู้สึกไปเองในช่วงเวลาที่ผ่านมานั่น มันก็แค่ภาพลวงตาสินะ การพยายามทำตัวเป็นผู้บริหารที่เห็นความสำคัญของพนักงานนั่น มันก็แค่การสร้างภาพสินะ

"แล้วทางบาหลีเค้าแจ้งมาหรือคะ ว่าสนใจคอลเล็กชั่นของน้องมินตรา"

ฉันไม่เชื่อว่าทางโน้นจะมีโอกาสได้เห็นผลงานของน้องมินตราแล้ว แม้บรรดาพวกโซฟาสีพาสเทลเรียบๆน่าเบื่อนั่นจะได้เปิดตัวให้กับพนักงานบริษัทของเรา แต่ก็ยังไม่ได้มีการเปิดตัวสู่ภายนอก แค็ตตาล็อกก็ยังไม่เสร็จดี เว็บไซต์ก็ยังไม่ได้เอาลง เรากำลังรอคอยงานแสดงเฟอร์นิเจอร์ครั้งใหญ่ประจำปีที่กำลังจะมาถึง

"ก็เพราะเค้ายังไม่เคยเห็น ผมก็เลยคิดว่าจะนำไปเสนอก่อนเลยไงครับ" น้ำเสียงที่เรียบเฉยนั่นยิ่งสร้างอารมณ์คุกรุ่นให้ฉัน

ผู้ชายคนนี้เคยเข้าใจความรู้สึกของฉันบ้างไหม นี่ตั้งใจใช้กลยุทธ์ให้โปรดักต์ของบริษัทฆ่ากันเองใช่ไหม

"คุณเซนทำยังงี้ได้ไงคะ เค้าเชิญเราไปงานเลี้ยงด้วย ก็เพราะทางโรงแรมเค้าต้องการขอบคุณเราที่ได้สร้างสรรค์งานดีๆให้กับเค้า และงานนี้มันก็เป็นงานของทีมชั้น คุณเซนจะเอาคนจากทีมอื่นไปคุยด้วย ก็เหมือนไม่ไว้หน้าชั้นเลยนะคะ"

เมื่อเห็นคนทั้งคู่กำลังตั้งใจฟัง ฉันจึงตัดสินใจพูดในสิ่งที่ไม่ได้คิดมาก่อนออกไป

"แล้วนี่ชั้นก็เตรียมตัวเป็นอย่างดีแล้วนะคะ ชั้นมีไอเดียที่จะไปนำเสนอหุ้นส่วนใหญ่คนนั้นแล้วค่ะ ชั้นมีแนวทางที่จะทำให้โปรดักต์เราเข้ากับสไตล์การตกแต่งที่บาหลีของเค้าได้ ชั้นได้ข่าวเรื่องนี้มานานแล้วค่ะ"

ได้ข่าวเรื่องนี้มานานแค่ไหน… เอ่อ ก็นานสิบนาทีมาแล้ว

โอเคค่ะ ยอมรับก็ได้ ทีแรกฉันไม่เคยรู้มาก่อนหรอกว่าบริษัทแม่มีโครงการจะสร้างโรงแรมใหม่ที่บาหลี ก็เพิ่งจะมาได้ยินจากคุณเซนเมื่อกี้ หรือเอาเข้าจริง ฉันไม่รู้มาก่อนด้วยซ้ำว่าหุ้นส่วนใหญ่เค้าจะบินตรงจากบาหลีมาร่วมงานเลี้ยงคืนวันเสาร์นี่ด้วย ฉันก็พูดไปยังงั้นเองว่าเตรียมตัวไว้แล้ว ก็ไม่ผิดอะไรนี่ ยังเหลือเวลาอีกตั้งหลายวันจนกว่าจะถึงวันเสาร์ เดี๋ยวฉันก็ไปเร่งๆทำงานทั้งวันทั้งคืนเอาก็ได้ วัฒนธรรมไฟลนก้นมันก็เป็นเรื่องปกติของพวกเราอยู่แล้ว

"หรือครับ ผมไม่ยักจะรู้ว่าคุณลินได้ยินเรื่องนี้มานานแล้ว จะไม่ปรึกษาผมหน่อยหรือครับ ว่าเตรียมแผนอะไรไว้บ้าง"

"ก็ไว้ค่อยคุยกันค่ะ ยังไม่จำเป็นต้องคุยตอนนี้" ฉันทำท่ายักไหล่ ปรายตาไปทางน้องมินตรา

"ไม่คิดจะแชร์ความคิดที่ตกผลึกแล้วให้คนรุ่นใหม่อย่างพวกเราให้ได้ฟังบ้างหรือครับ" น้ำเสียงนั่นมีความเยาะเย้ยอยู่เต็มที่

"คุณเซนคะ การใช้เรื่องของวัยมาสร้างความแตกแยกกันในบริษัทนี่ ไม่ควรทำนะคะ" น้ำเสียงฉันเริ่มสั่น ฉันจ้องตาคุณเซนไม่กะพริบ

โคตรเกลียดแววตาเยาะๆนั่นเลย!

"เอ่อ มินว่า ไว้เป็นคราวหน้าก็ได้มั้งคะคุณเซน ที่จริงทางทีมของมินก็ยังไม่ค่อยพร้อม" เสียงเรียบๆของน้องมินตราที่ดังขึ้นทำเอาฉันแปลกใจ

"งานนี้ให้พี่ลินเค้าคุยไปก่อนเถอะค่ะ"

อะไรเนี่ย น้องมินตรากำลังเล่นบทนางเอกรึ

"คุณมินจะเอางั้นหรือครับ แต่ผมว่านี่เป็นโอกาสอันดีที่คุณจะได้คุยกับหุ้นส่วนใหญ่เค้าโดยตรงเลยนะครับ ผมไม่แน่ใจว่าเค้าจะอยู่เมืองไทยนานแค่ไหน"

โอว เรียกว่า 'คุณมิน' ซะด้วย คงสนิทกันเนาะ ก็รุ่นๆเดียวกันนิ คงคุยกันรู้เรื่อง แล้วที่เรียกชั้นว่า 'คุณลิน' ก็ไม่ได้มีความหมายอะไรพิเศษเลยอะดิ

"ไม่เป็นไรค่ะคุณเซน เรายังมีโอกาสอีกเยอะ ค่อยๆไปอย่างช้าๆด้วยความมั่นใจดีกว่า"

โอว มีปรัชญาเก๋ๆในการทำงานกันซะด้วย แล้วดูท่าทางที่เค้ามองกันด้วยความเข้าใจ ท่าทางที่เค้าคุยกันด้วยภาษาเดียวกัน โคตรน่าหมั่นไส้!

โอ๊ย แล้วทำไมชั้นต้องไปหวั่นไหวอะไรกับท่าทีของสองคนนี้ด้วย

ข้างนอกฝนยังคงตกอยู่ ไม่บ่อยนักที่ฉันจะหงุดหงิดจนไม่มีอารมณ์อยากจะทำอะไรอย่างอื่น แต่ฉันเป็นคนไม่ชอบให้มีตะกอนพิษคั่งค้างอยู่ในใจนานๆ ดังนั้นสิ่งที่ฉันจะต้องทำอย่างเร่งด่วนที่สุดเพื่อบำบัดความขุ่นข้องในใจนี้ ก็คือการหาที่สงบๆแล้วนั่งลงวาดรูป

ฉันเปิดประตูเข้าไปในห้องออกแบบ ช่วงหลังหกโมงเย็นอย่างนี้คงไม่มีใครเข้ามาใช้งานแล้ว และเมื่อกี้ฉันก็สังเกตเห็นลูกทีมกลับบ้านไปกันหมดแล้วด้วย

ห้องออกแบบนี้มีหน้าต่างยาวบานใหญ่อยู่ด้านตรงข้ามกับประตู ซึ่งหากมองออกไปก็จะได้สัมผัสกับความร่มรื่นของต้นลำดวนต้นใหญ่ คุณราเชนทร์เป็นคนชอบต้นไม้ ตึกทำงานสองชั้นของเราจึงถูกแวดล้อมไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ ท่านเคยบอกว่าสีเขียวของต้นไม้จะทำให้ใจเราสงบและทำให้หัวสมองผ่อนคลาย ฉันคิดถึงอดีตเจ้านายใหญ่คนนี้จับใจ แม้ท่านจะเป็นคนพูดน้อย แต่พนักงานทุกคนก็รับรู้ได้ถึงความใจดีของท่านผ่านสายตาที่อ่อนโยน เมื่อเทียบกับคุณลูกชายแล้ว...

ฉันถอนหายใจ ความรู้สึกหลายอย่างประดังเข้ามาในใจ ไม่รู้ว่าตัวเองต้องการอะไรกันแน่

โกรธคุณเซนที่ไม่เห็นหัวฉันงั้นหรือ อยากแข่งกับน้องมินตราแน่หรือ ฉันจะต้องพิสูจน์ความสามารถของตัวเองไปอีกนานแค่ไหน หรือฉันแค่เหนื่อยหน่ายกับสิ่งที่ทำมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว

นี่ฉันกำลังทำงานไปเพื่ออะไร…

หรือฉันกำลังน้อยใจอะไรใครหรือเปล่า มันใช่แค่เรื่องงานแน่หรือ ทำไมฉันต้องรู้สึกจี๊ดเมื่อเห็นเค้าสองคนดูเข้าอกเข้าใจกัน อิจฉาน้องมินตราล่ะสิ

พอเถอะ ระยะหลังนี่เธอสับสนบ่อยเกินไปแล้วนะลลิน ทำไมเธอช่างเปราะบางเหลือเกิน

เอ๊ะ หรือเธอกำลังจะเข้าสู่วัยทอง

ตายแล้ว! นี่มันอาการของผู้หญิงวัยทองชัดๆ

ไม่ได้ ไม่ได้ เธอจะยอมให้ความวัยทองเข้าครอบงำจนมีอาการเหวี่ยงวีนไปเรื่อยเปื่อยแบบนี้ไม่ได้

ฉันเดินไปเปิดหน้าต่างบานยาวนั่นจนสุด ตึกทำงานของเราถูกออกแบบมาอย่างดี น้ำฝนไม่สามารถสาดเข้ามาได้ ฉันยืนรับลมเย็นจากสายฝนที่พัดมาให้ได้ชื่นใจอยู่ชั่วครู่ แล้วจึงกลับมานั่งลงที่โต๊ะกว้างตรงกลางห้อง หันหลังให้ประตูทางเข้าเพื่อที่จะได้มองไปยังหน้าต่างบานกว้างนั้นได้อย่างเต็มที่ หยิบกระดาษสเก็ตช์ภาพขนาดเอสามที่วางเตรียมพร้อมอยู่บนโต๊ะมาวางตรงหน้า เอื้อมมือไปเลือกสีไม้สองสามแท่งมาจากกล่องสีสองชั้นนั่น

วันนี้จะวาดรูปอะไรดี

ฉันมองเหม่อไปยังความเขียวขจีข้างนอกนั้น อยู่ดีๆในใจก็คิดถึงพ่อขึ้นมา พ่อชอบต้นไม้เหมือนกับคุณราเชนทร์ เค้าสองคนชอบอะไรหลายๆอย่างที่เหมือนกัน ก็เค้าเป็นเพื่อนรักกันนี่นะ…

ที่ผ่านมาคุณลลนาแม่ของฉันเล่าเรื่องของพ่อให้ฟังไม่บ่อยนัก พ่อที่ฉันไม่เคยได้เจอหน้า รูปถ่ายของพ่อก็มีไม่เยอะ แถมรูปที่มีอยู่ก็ไม่ชัดเอาซะเลย แม่บอกว่าพ่อไม่ชอบถูกถ่ายรูป บ่อยครั้งฉันจึงต้องวาดรูปพ่อจากจินตนาการ

ฉันสวมหูฟังครอบตัวใหญ่ที่หยิบติดมือมาด้วย ตั้งใจเปิดเพลงอิตาเลียนเพราะๆฟัง นึกย้อนไปถึงช่วงเวลาแห่งความสุขสมัยเรียนที่มิลาน ช่วงเวลาที่ได้ขับรถท่องเที่ยวไปตามเมืองเล็กๆของแคว้นทัสคานี ความสุขที่ได้เดินไปตามถนนที่ปูด้วยหินเลี้ยวลดคดเคี้ยวตามตรอกซอกซอยยังอยู่ในความทรงจำ ความละเมียดละไมในประเทศที่เป็นเทพแห่งสปาเกตตีนั้นสร้างแรงบันดาลใจหลายๆอย่างให้แก่ฉัน

อา มีความสุขจังเลย ได้วาดรูป ได้ฟังเพลงอิตาเลียน

ฉันไม่รู้ว่าตัวเองนั่งวาดรูปฟังเพลงอย่างนั้นอยู่นานเท่าไหร่ รู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่มีมือมาจับหูฟังที่ฉันกำลังสวมอยู่ยกออกไปจากหูของฉัน

ฉันหันขวับไปด้วยอาการตกใจ แล้วก็ต้องเงยหน้าขึ้นมอง เพราะใครบางคนที่ยืนอยู่ข้างๆฉันเค้าตัวสูงจังเลยแฮะ

"คุณเซน!"

ดวงตายาวรีนั้นกำลังจ้องมองมาที่ฉันด้วยอาการสงสัย แล้วเขาก็เลิกคิ้วขึ้น พยักพเยิดไปที่กระดาษสเก็ตช์รูปของฉันที่วางอยู่ตรงหน้า

"ผมว่า ตัวจริงเค้าต้องมีดวงตาที่ยาวๆรีๆกว่านี้ แล้วปากเค้าก็ไม่หนาเท่านี้นะครับ"

ฉันมองตามมือเรียวขาวที่ชี้ไปยังบรรดาแผ่นกระดาษที่กระจัดกระจายอยู่บนโต๊ะพวกนั้น

เชี่ย! นี่ฉันตั้งใจวาดรูปพ่อของตัวเองไม่ใช่เหรอ ทำไมไปๆมาๆกลับกลายเป็นเผลอวาดรูปคุณเซนไปซะได้

ต๊าย! ไม่รู้ตัวเลยนะเนี่ย โอ๊ย! ความใจลอยของช้านนนน

ฉันทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ พลางเอื้อมมือไปรวบรวมรูปสเก็ตช์พวกนั้นมาซ้อนๆกันไว้ แล้วเอากล่องสีมาวางทับ จะให้เห็นมากไปนี้กว่าไม่ได้

"คุณเซนรู้ได้ไงคะว่าชั้นวาดรูปใคร" นี่เค้ามายืนแอบดูฉันวาดรูปอยู่นานเท่าไหร่แล้วเนี่ย

"จะมีใครที่มีทรงผมตั้งเด่ขนาดนั้นอีกหรือครับ" รอยยิ้มน้อยๆปรากฏขึ้นที่มุมปากเรียวนั่น

"ก้อ... พ่อชั้นเอง"

ฉันพูดกับคนที่เพิ่งเข้ามาใหม่ด้วยสีหน้าที่พยายามจะให้เฉยที่สุด แล้วก็หันกลับมาที่กองกระดาษข้างหน้า หยิบกระดาษเปล่าแผ่นใหม่ขึ้นมา ทำเป็นวุ่นวายกับการค้นหาสีไม้บนกล่องสองชั้นนั่นกุกๆกักๆ

"อ้อ ครับ รูปคุณพ่อนั่นเอง"

คนตัวสูงข้างๆฉันพยักหน้าหงึกหงัก ยกมือขึ้นกอดอก แล้วถือโอกาสหย่อนก้นกึ่งนั่งกึ่งยืนพิงโต๊ะที่ฉันครอบครองอยู่ ท่าทางเค้าดูผ่อนคลายชอบกล วันนี้เสร็จงานแล้วรึ กี่โมงแล้วเนี่ย

"นี่คุณเซนนึกว่าชั้นวาดรูปคุณเซนหรือคะเนี่ย โฮะ โฮะ โฮะ หลงตัวเองไปม้างงงง" ฉันทำท่าเบะปากมองบน ยังไงก็ไม่ยอมรับหรอกว่า เอ่อ ฉันเผลอวาดรูปเค้า

"คุณพ่อคุณหน้าตาดีเลยนะครับ" เจ้าตัวเอื้อมมือมาข้างหน้าฉัน พยายามจะเอากล่องสีไม้เลื่อนออกไปแล้วหยิบภาพสเก็ตช์แผ่นบนสุดขึ้นมาดู

"เอ๊ มาดูของคนอื่นเค้า ขออนุญาตแล้วยังคะ" ฉันแย่งกระดาษในมือคนตัวสูงนั่นกลับมา แล้วรีบกวาดรูปสเก็ตช์ที่วาดไว้แล้วทั้งหมดมากอดไว้กับตัว เสมองไปทางอื่น ฮึ ไม่อยากเห็นหน้า

คราวนี้ฉันรู้สึกได้ว่าเค้ากำลังโน้มตัวลงมา แล้วพยายามจะมองหน้าฉันจากข้างๆ แขนทั้งสองข้างนั้นกอดอกอยู่

"งอนหรือครับ" น้ำเสียงนั้นอ้อนๆชอบกล

โอย รำคาญ ทีงี้มาทำง้อ ทีตอนอยู่ในห้องประชุมกับน้องมินตรา ทำเป็นเล่นใหญ่

ฉันทำท่าไม่สนใจ จัดการเอาบรรดาแผ่นกระดาษที่วาดรูปพ่อที่ไปๆมาๆกลายเป็นรูปคุณเซนวางซ้อนกันข้างหลังของกระดาษแผ่นเปล่า ใช้คลิปตัวใหญ่หนีบเข้าด้วยกัน ก่อนจะวางปึกกระดาษนั่นลงบนโต๊ะ หยิบสีไม้แท่งสีเขียวขึ้นมาเตรียมพร้อม แล้วก็เริ่มลงมือวาดรูปต้นไม้ใบหญ้า

"คือ…" น้ำเสียงของคนข้างๆดูเก้อเขินไปเมื่อเห็นอาการเมินเฉยของฉัน

เชอะ ฉันไม่สนหรอก ตอนนี้ฉันกำลังใจจดใจจ่ออยู่กับการเติมบ้าน ก้อนเมฆ และพระอาทิตย์

"คือผมอยากได้โพสต์อิทไปฝากคุณมะพร้าวคุณพ่อบ้านของผมน่ะครับ คนนั้นเค้าชอบเขียนอะไรแปะไว้บนตู้เย็นที่บ้าน" ในที่สุดเค้าก็เอ่ยปากออกมา หลังจากเอนตัวค้างนิ่งๆ มองฉันวาดรูปอยู่พักใหญ่

ฉันปรายตามองนิดๆ คนตัวเอนนั่นหน้าตาเค้าดูจริงจัง ที่เข้ามาในห้องนี้เพราะต้องการโพสต์อิทจริงๆรึ

"เดี๋ยวพรุ่งนี้เอาให้ค่ะ" ฉันตอบสั้นๆโดยไม่มองหน้าเขาขณะเติมนกบินเข้าไปในรูปที่กำลังวาดอยู่

เหมือนคนข้างๆจะรู้ตัวว่าฉันไม่ประสงค์จะสนทนาด้วย เขายืดตัวขึ้น เปลี่ยนท่าทางการกึ่งนั่งกึ่งยืนมาเป็นการนั่งห้อยขาอย่างเป็นกิจจะลักษณะแล้วเท้าแขนทั้งสองที่ริมโต๊ะ

"แล้วผมก็จะมาถามว่า คุณลินต้องการห้องพักที่สูบบุหรี่ได้ด้วยหรือเปล่าครับสำหรับคืนวันเสาร์นี้ ผมกำลังจะให้คุณวารุณีจองห้องพักของโรงแรมที่หัวหินให้"

เดี๋ยวนะ…

เรื่องจองห้องพักก็ให้น้องน้ำหวานหรือคุณวารุณีเค้ามาถามฉันเองมั้ย น้องน้ำหวานประชาสัมพันธ์คนสวยของเรารับหน้าที่เป็นธุรการของบริษัทเราและบวกตำแหน่งเลขาของคุณเซนเข้าไปด้วย หลังจากเลขาคุณเชนทร์ผู้บริหารคนเก่าลาไปคลอด ก็ประจวบเหมาะกับที่คุณผู้บริหารคนใหม่เข้ามาพอดี คุณเซนไม่ได้จ้างเลขาคนใหม่ เค้าบอกว่าเค้าจัดการตารางงานส่วนใหญ่ด้วยตัวเองได้

หรือที่ถามเรื่องห้องพักนี่ ก็เพราะคุณเซนอยากจะสอดแนมว่าฉันสูบบุหรี่จัดหรือเปล่า

แต่คิดๆไป คงไม่อะ ฉันว่านี่คืออาการของคนมาง้อมากกว่า แหม ฟอร์มจัดจริงๆพ่อหนุ่มคนนี้

"ชั้นลืมบอกไปค่ะ ฉันจะถือโอกาสพาครอบครัวไปพักผ่อนที่หัวหินด้วย เดี๋ยวชั้นหาโรงแรมของชั้นเอง คงไม่รบกวนบริษัทค่ะ"

เรื่องงานที่หัวหินคืนวันเสาร์นี้เราได้รับบัตรเชิญมาตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้ว แล้วฉันก็วางแผนไว้แล้วว่าจะพาคุณมารดากับหลานสาวไปด้วย คุณลลนามารดาของฉันเขาเรื่องมากจะตายไป เค้าชอบโรงแรมบูติคหรูๆเล็กๆแบบประเภทเอาบ้านเก่ามารีโนเวทใหม่ โรงแรมใหญ่ๆอย่างที่กำลังจะเปิดตัวนี่ ไม่ใช่สไตล์แม่ฉันเลยสักนิด

"คุณเซนพาครอบครัวไปด้วยสิคะ ลูกชายคุณเซนอาจจะอยากเล่นน้ำทะเล" แล้วจู่ๆฉันก็นึกไปถึงครอบครัวของเค้า

"อือม์" คนตัวสูงทำสีหน้าครุ่นคิด

"ชั้นจำได้ว่า คุณราเชนทร์มีบ้านพักที่หัวหิน"

คราวนี้คนข้างๆชะงักไป เขาเลิกคิ้ว จ้องมองฉันอย่างตรงๆ แววตาสงสัย

"ก็ชั้นเคยไปช่วยตกแต่งนี่คะ" ฉันดีใจที่ได้อวด

"อ้อ…" แล้วเขาก็ยิ้มแก้มบุ๋ม

จะยิ้มทำไม?

"นี่แสดงว่าคุณเซนกลับมาจากญี่ปุ่นแล้วยังไม่เคยไปบ้านที่หัวหินเลยสิคะ ไม่งั้นคุณเซนต้องรู้แล้วล่ะค่ะ ว่าบรรดาโซฟาและผ้าคลุมเตียงในบ้านนั่นเป็นฝีมือของชั้นทั้งหมด" ฉันยิ้มกว้าง ทำท่าภูมิใจ

"ครับ" เขายิ้มแก้มบุ๋มอีกที

"จะยิ้มทำไมคะเนี่ย ชั้นแค่เล่าเรื่องบ้านของคุณที่หัวหินให้คุณฟัง"

เขายังคงยิ้มแก้มบุ๋ม พร้อมจ้องตาฉัน

"หายงอนแล้วใช่ไหมครับ"

งอน?

จริงสิ ฉันเผลอลืมไปว่ากำลังทำงอนคุณเซนอยู่จากเรื่องในห้องประชุม ก็มัวแต่ไปสนใจเรื่องบ้านพักตากอากาศที่หัวหินของครอบครัวเค้า

ลืมงอนซะงั้น จะงอนต่อดีมั้ยเนี่ย เอาไงดี

"ชั้นงอนเรื่องอะไรคะ" แล้วฉันก็ตัดสินใจโต้ทันควันด้วยน้ำเสียงงอนๆ

อยากให้รู้แหละว่ายังงอนอยู่

"อ่อ ยังงอนอยู่" น้ำเสียงนั้นเริ่มกวนประสาท

"ใครงอน ไม่มีเรื่องอะไรให้ต้องงอน" น้ำเสียงของฉันนั้นใครฟังจากนอกโลกก็รู้ว่ากำลังงอนอยู่

"ก็ไม่รู้สิฮะ เรื่องคุณมินมั้ง" เขามองไปทางอื่น ทำหน้าเหมือนไม่ได้สนใจกับสิ่งที่กำลังพูดอยู่

"อ้อ เรื่องที่คุณพยายามจะหักหน้าชั้นต่อหน้าคุณมินตรา แล้วชั้นก็โกรธมาก"

คราวนี้ฉันจ้องหน้าเขาตรงๆบ้าง ความจริงฉันหายโกรธเค้าแล้วแหละ ฉันไม่เคยโกรธใครนานๆ มันอันตรายต่อสุขภาพใจ

"ก้อ… มันไม่ใช่อย่างนั้น" คนท้ายทอยขาวอึกอัก ก้มหน้ามองพื้น

"เอ้อ รูปนกนั่นนกอินทรีหรือนกพิราบครับ" จู่ๆเค้าก็หันหน้ามา แล้วชี้มือไปยังรูปนกที่ฉันกำลังวาดค้างไว้

เฮ้อ นี่เค้าจะขอโทษแบบตรงๆบ้างไม่ได้หรือไง ทีพูดเรื่องงานยังทำเป็นพูดตรงๆได้

แต่คำว่า 'ขอโทษ' ทำไมพูดไม่ได้ คนรุ่นใหม่ภาษาอะไร ไม่รู้จักพูดคำว่า 'ขอโทษ'

"ช่างเถอะค่ะ แม่ชั้นสอนว่า เรางอนได้ แต่ถ้าผู้ชายมาง้อ เราต้องหายงอน" ฉันลอยหน้าลอยตา

"ใครง้อใครครับ" ดูแววตากวนๆนั่น น่าหมั่นไส้มาก

"โอเคค่ะ ไม่ง้อก็ไม่ง้อค่ะ ไม่มีใครง้อใครค่ะ" นี่มาเถียงอะไรกันเหมือนเด็กปอสี่เนี่ย

"แต่ก็ดีแล้วครับที่หายงอน รุ่นนี้แล้ว อย่างอนนานครับ" คนหน้ากวนนั่นรีบพูดต่อ

โอ๊ย เบื่อ! มาเวย์นี้อีกละ นี่รอจะเล่นมุกนี้อยู่นานแล้วล่ะสิ

"คุณเซน! เล่นมุกแป้กอีกแล้วนะคะ"

"เอ้อ…"

"คุณเซนเคยได้ยินไหมคะ ถ้าคุณเล่นมุกตลก แล้วมีคนต้องอับอายหรือเสียใจ นั่นไม่ใช่มุกตลก นั่นคือไม่มีมารยาท"

ไม่รู้เป็นอะไร กับคนอื่นๆรอบตัวฉันจะประนีประนอมในการใช้คำพูดมาก ฉันไม่ชอบการสาดอารมณ์ใส่กัน แต่ทำไมกับผู้ชายคนนี้ ฉันมักจะวอร์ใส่ตรงๆโดยไม่ยั้งทุกที

หรือเพราะฉันเห็นเค้าเป็นหัวหน้า คนเป็นหัวหน้าย่อมต้องมีความรับผิดชอบต่อการกระทำของตนเองสูงกว่าลูกน้องไม่ใช่หรือ คนเป็นหัวหน้าควรระมัดระวังคำพูดของตัวเองมากกว่าปกติหรือเปล่า

"คือ…"

คนตัวสูงนั่นชะงักไปนิดๆ แววตานั่นเหมือนจะท้าทายขึ้นมาหนึ่งแวบ แต่เมื่อเค้าเห็นท่าทางไม่ยอมความของฉัน แววตานั่นก็กลับเจือไปด้วยความสำนึกผิดแทน

"อุ้ย เหมือนฝนจะสาดเข้ามาทางหน้าต่างนะครับ นี่ทำไมคุณลินเปิดหน้าต่างไว้กว้างขนาดนี้ครับเนี่ย" แล้วคนที่ไม่ได้มาง้อก็เดินไปที่หน้าต่างเพื่อเลื่อนบานกระจกจากทั้งสองข้างมาปิดเข้าด้วยกัน

โอ๊ย เบื่อ! นิสัยช่างเบี่ยงเบนประเด็นก็มา ทีอยู่ในห้องประชุมล่ะก็ทำเข้ม แต่พออยู่ด้วยกันสองคนทีไรเป็นแบบนี้ทุกที

แล้วจู่ๆคนช่างเฉไฉก็หันหน้ามาถามฉันด้วยแววตาเป็นประกาย

"คุณลินหิวไหมครับ เดี๋ยวผมเลี้ยงหนวดปลาหมึกทอด ผมเคยเห็นรถเข็นริมทางซอยข้างๆออฟฟิศเราเค้าทอดขายอยู่นะครับ ท่าทางจะอร่อย เห็นคนรอต่อคิวกันเยอะเชียว เราลงไปซื้อด้วยกันนะครับ นะ นะ"

ง้อหรือเปล่า นี่คือการง้อของเค้าหรือเปล่า?