webnovel

คำสารภาพ

"อ้าว พ่อ ผมนึกว่าเข้าห้องนอนกันไปแล้วนะครับเนี่ย"

ผมทักพ่อด้วยความแปลกใจเมื่อเปิดประตูเข้าบ้านไปแล้วเห็นพ่อยังนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่โซฟารับแขก นี่ก็สามทุ่มกว่าแล้ว ปกติหลังอาหารเย็นพ่อผมจะดูข่าวสองทุ่มจากทีวีอีกแค่นิดหน่อย และเวลานี้เราจะแยกย้ายกันเข้าห้องใครห้องมันไปแล้ว จะมีข้อยกเว้นนั่งกันยาวบ้างเป็นบางทีก็ตอนปู่กับหลานเขากำลังเล่นเกมติดพันกัน

"ก็รอแกอยู่" พ่อเงยหน้าจากหนังสือเล่มเล็กขึ้นมายิ้มรับเมื่อได้ยินเสียงทักทายจากผม

"มีอะไรด่วนหรือเปล่าครับ ถึงกับต้องรอคุยคืนนี้เชียว?"

ผมวางกระเป๋าเดินทางลงที่ข้างโซฟาตัวยาว ก่อนจะเดินไปเปิดตู้เย็นหยิบน้ำมารินใส่แก้ว นี่ตั้งแต่กลับจากบาหลีถึงกรุงเทพเมื่อเช้าผมยังไม่ได้หยุดพักหายใจหายคอเลย มาถึงก็ต้องตรงเข้าออฟฟิศด่วนเพราะมีประชุมกับลูกค้าคนสำคัญในช่วงบ่าย หลังจากนั้นก็สะสางงานยาว กว่าจะได้รามือจากงานก็เกือบสามทุ่ม การหยุดงานเพียงแค่วันครึ่งของผมโดยที่ไม่ได้วางแผนล่วงหน้า ทำให้มีเรื่องวุ่นวายรอให้ผมกลับมาเคลียร์อย่างเร่งด่วนพอสมควร

"ก็ไม่มีอะไรหรอก แค่อยากอยู่รอแกกลับมาถึงบ้าน"

"โห พ่อครับ นี่แอบกลัวผมเที่ยวเตร่เถลไถลไม่ยอมกลับบ้านหรือครับ" ผมแซวยิ้มๆ นึกไปถึงสมัยวัยรุ่นที่กลับบ้านมาดึกๆแล้วเจอพ่อนั่งทำงานคอยอยู่เป็นประจำ

"ก็ตั้งแต่แกกลับมาจากญี่ปุ่น นี่เป็นครั้งแรกที่แกไปไหนไกลๆติดๆกันหลายวัน" น้ำเสียงพ่อผมเขาดูคิดถึงผมยังไงไม่รู้ ความรู้สึกของเขาจะเหมือนกับความรู้สึกของผมที่แอบคิดถึงเจ้าเรนหรือเปล่าน้า

"เผอิญเห็นบาหลีน่าสนใจดีน่ะครับ เลยอยู่ต่อเที่ยวอีกนิด"

ผมเดินเข้ามานั่งที่โซฟาบ้าง รู้สึกเหนื่อยล้า วันนี้เป็นวันที่ยาวนานเป็นพิเศษ ต้องออกจากที่พักเพื่อไปสนามบินตั้งแต่เช้า และก็น่าแปลกใจที่ในตอนนั้นอารมณ์อาลัยอาวรณ์บาหลียังมีอยู่เต็มเปี่ยม แต่พอล้อเครื่องบินแตะพื้นรันเวย์ที่สุวรรณภูมิเท่านั้นเอง ความอ้อยส้อยเหล่านั้นก็มลายหายไปสิ้น หน้าที่ความรับผิดชอบที่มีอยู่ต่างถาโถมเข้าใส่จนผมแทบไม่ได้หายใจ

"แล้วเที่ยวสนุกไหม" เหมือนเป็นคำถามที่ไม่ได้จริงจังอะไร แต่ผมกลับรู้สึกแปลกๆ

"สนุกมากครับ" ผมตอบไปตรงกับที่ใจคิด อดยิ้มไม่ได้เมื่อคิดไปถึงช่วงเวลาสองสามวันที่ผ่านมา

"ดีแล้ว ตั้งแต่กลับมาอยู่ไทยแกก็ทำงานหนักมาตลอด ได้ไปพักผ่อนเสียบ้างก็ดีแล้ว"

"อ้อ ผมมีของฝากพ่อกับเจ้าเรนด้วยนะครับ นี่ของพ่อครับ" ผมเอี้ยวตัวไปเปิดกระเป๋าเดินทาง หยิบห่อกระดาษบางที่บรรจุเสื้อฮาวายผ้าบาติกสีสันสดใสออกมายื่นให้พ่อ

นึกไปถึงคนช่วยเลือกของฝากชิ้นนี้ ป่านนี้เค้าจะทำอะไรอยู่น้า เดี๋ยวต้องโทรหาเสียหน่อยแล้ว

"อือ ขอบใจ สีสดดี จะเอาไว้ใส่ตอนเราไปเที่ยวหัวหินกัน" คนพูดรับถุงจากมือผมไปเปิดดู ท่าทางยิ้มแย้มดีใจ ไม่ว่าผมจะซื้ออะไรให้ ก็ดูพ่อผมจะตื่นเต้นไปทุกครั้ง

ผมมองพ่อด้วยความรู้สึกสะท้อนใจลึกๆ นี่ผมแอบไปหาความสุขส่วนตัวมาหลายวัน ทิ้งพ่อกับลูกชายตัวเองให้อยู่แต่ที่บ้าน

"เอาไว้เดี๋ยวผมหาเวลาพาพวกเราไปเที่ยวที่อื่นกันบ้างนะครับ พ่ออยากไปไหนเตรียมจดรายการไว้ได้เลย"

"ไม่เป็นไร แค่ได้ไปหัวหินพ่อก็พอใจแล้ว"

ผมรู้ว่าพ่อหมายความว่าอย่างนั้นจริงๆ พ่อไม่ได้เป็นคนมีนิสัยชอบเที่ยว ชีวิตเขามีความสุขอยู่กับการทำงาน แล้วก็กลับบ้าน …ก็แค่นั้น

"โอเค งั้นพ่อไปนอนล่ะนะ" แล้วคนที่อุตส่าห์อยู่คอยก็ลุกยืนขึ้นเสียเฉยๆอย่างนั้น

"อ้าว พ่อครับ นี่แค่อยู่รอเจอหน้าผมแค่นั้นจริงๆอะ"

สังเกตดูท่าทางอึกอักของคนตรงหน้าแล้ว ผมสังหรณ์ว่าพ่อมีอะไรอยากจะพูดกับผมมากกว่านี้แน่นอน แต่พ่อคงไม่นึกว่าวันนี้ผมจะกลับจากที่ทำงานดึกขนาดนี้

"อื้อ ก็แกกลับมาปลอดภัย พ่อก็หายห่วงแล้ว ไปพักผ่อนเถอะ" น้ำเสียงนั่นดูเหมือนไม่มีอะไร แต่แววตานั่นกลับเต็มไปด้วยความลังเลสงสัย

"เดี๋ยวครับ ที่พ่อรอผม เพราะพ่ออยากจะถามเรื่องระหว่างผมกับคุณลินหรือเปล่า"

ผมตัดสินใจเอ่ยออกไปตรงๆ เพราะตอนที่ผมส่งไลน์มาบอกกลุ่มครอบครัวซึ่งมีผม พ่อ เจ้าเรน และคุณมะพร้าวเป็นสมาชิกกลุ่ม ว่าผมจะเลื่อนกลับจากบาหลีไปอีกสองสามวัน พ่อได้เขียนสั้นๆตอบมาในกลุ่มว่า 'โอเค พักผ่อนให้เต็มที่' ส่วนเจ้าเรนตอบว่า 'ขอให้พ่อเที่ยวให้สนุกมากๆ' ส่วนของคุณมะพร้าวเขาเป็นคำถามกลับมา 'แล้วเสื้อผ้าที่เตรียมไปจะพอหรือครับ'

แต่ที่น่าสนใจกว่าคือ พ่อเขาส่งข้อความถึงผมโดยตรงแยกต่างหากอีกว่า 'จะทำอะไรก็คิดถึงผลที่จะตามมาด้วย' ตอนนั้นผมรู้โดยทันทีว่าเขาหมายถึงเรื่องอะไร

"พ่อคงอยากจะรู้เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างผมกับเค้า" ผมตรงเข้าประเด็นเลย ขี้เกียจอ้อมค้อม

"ก็… เอ่อ" และผมก็รู้ว่าพ่อต้องอึกอัก ก็ครอบครัวเราไม่ค่อยจะพูดถึงเรื่องของความรู้สึกกันอย่างตรงๆ

"ใช่ครับ ผมอยู่เที่ยวต่อเพราะผมอยากอยู่กับเค้าเป็นการส่วนตัว"

"…"

แม้พ่อผมจะไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่จากแววตาเรียบเฉยนั่น ผมคิดว่าเขาไม่ได้แปลกใจ

"…ผมชอบคุณลิน" สารภาพกันไปซะให้จบๆ ยังไงพ่อก็รู้จักผมดี และก็คงไม่แต่เฉพาะพ่อ ใครๆก็รู้ว่าผมเป็นคนชอบทำตามใจตัวเองโดยไม่ลังเล

"แล้วเขาชอบแกหรือเปล่า"

"ก็คงชอบมั้ง?" ผมเผลอทำตาระยิบระยับโดยไม่รู้ตัว อยู่ด้วยกันทุกคืนสี่ห้าคืนติดขนาดนั้น ถ้าคุณลินเขาไม่ได้รู้สึกชอบผมเลยก็คง…

คราวนี้พ่อถอนหายใจ แล้วก็กลับนั่งลงบนโซฟาอีกรอบ ก่อนจะพูดช้าๆด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

"พ่อคงห้ามแกไม่ได้ คงได้แต่บอกว่าขอให้ระมัดระวังการแสดงออกให้ดี มีสติและคิดให้ถี่ถ้วนเสียก่อน คิดถึงผลที่จะกระทบกับคุณลินเค้าด้วย"

พ่อผมเขาคงเรียนรู้จากเหตุการณ์ในอดีตแล้ว ว่าการจะตักเตือนคนหัวดื้ออย่างผมนั้นต้องเป็นไปในแนวทางของการแสดงความเข้าใจมากกว่าจะใช้การอบรมสั่งสอน

"ผมรู้ตัวดีครับว่ากำลังทำอะไรอยู่ พ่อไม่ต้องห่วง"

แม้จะพูดกับพ่อไปอย่างนั้น แต่เอาเข้าจริง… ตัวผมเองกลับไม่ได้รู้สึกมั่นใจขนาดนั้น สารภาพเลยก็ได้ว่า ผมไม่เคยได้คิดล่วงหน้าอะไรเลย ก็แค่ทำไปตามที่ใจเรียกร้อง

"อื้อ ก็ดีแล้ว การรู้ใจตัวเองมันก็เป็นเรื่องดี แต่ต้องไม่ลืมว่าตอนนี้แกไม่ได้ตัวคนเดียวเหมือนเมื่อก่อน แกมีลูกชาย มีพนักงานของบริษัทที่เค้ากำลังจับตามองแกอยู่ พวกเค้าคงอยากจะให้แกเป็นแบบอย่างที่ดี"

คราวนี้เป็นผมที่เป็นฝ่ายถอนหายใจ ผมรู้ ทำไมผมจะไม่รู้ ก็เพราะชีวิตผมเต็มไปด้วยความรับผิดชอบอย่างนี้ไง เมื่อได้โอกาสผมถึงอยากจะปลดปล่อยบ้าง

"แกอาจจะไม่เชื่อพ่อ แต่เรื่องชู้สาวในบริษัทมันทำให้ทุกอย่างพังมานักต่อนักแล้วจริงๆนะโว้ย แล้วจะหาว่าคาสโนว่าอย่างพ่อไม่เตือน" พ่อผมทำพยายามทำเป็นหัวเราะเพื่อปรับบรรยากาศ เขาคงเห็นหน้าตาผมดูจ๋อยๆ แต่ผมว่าพ่อผมทำตลกไม่ค่อยเก่ง ดูฝืดๆฝืนๆทุกครั้ง

"เอาเถอะ ค่อยๆคิดค่อยๆทำไป วันนี้แกเหนื่อยมากแล้ว พ่อก็ง่วงแล้วด้วย เราเข้านอนกันดีกว่า" เมื่อเขาเห็นว่าผมไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับ พ่อก็ลุกขึ้นยืนพรวดขึ้นอีกรอบ แล้วทำท่าจะไปนอนจริงๆ

"เดี๋ยวครับพ่อ" คำพูดของพ่อทำให้ผมนึกไปถึงใครคนหนึ่ง

"พ่อเตือนผมเรื่องคุณลิน แต่พอเชียร์ผมกับน้องพลอยเนี่ยนะ มันต่างกันตรงไหน เค้าก็ทำงานอยู่บริษัทเราทั้งคู่"

คำถามของผมทำเอาพ่อต้องกลับนั่งลงบนโซฟาอีกเป็นรอบที่สอง

"มันไม่เหมือนกัน หนูพลอยเค้าอยู่แผนกบัญชี ส่วนแกเป็นเจ้าของบริษัท แกต้องมีคนคุมบัญชีที่ไว้ใจได้ ยิ่งเป็นคนในครอบครัวยิ่งดี เขาจะได้เป็นหูเป็นตาให้เราได้"

ผมไม่นึกมาก่อนว่าพ่อจะมองการณ์ไกลเรื่องผมกับน้องพลอยขนาดนี้ นึกว่าพ่อแค่เอ็นดูน้องพลอยในฐานะคนที่เห็นกันมาแต่เด็ก แล้วเค้าก็เป็นคนช่วยดูแลเจ้าเรนตอนผมไม่อยู่

"นี่พ่อวางแผนไกลนะครับเนี่ย"

"มันก็เป็นเรื่องธรรมดา คนรักกันถ้าช่วยกันทำมาหากินได้มันก็ดี คู่ครองที่เหมาะสมกันจะมีแต่ช่วยกันสร้างความเจริญก้าวหน้าให้กับชีวิต"

"นั่นมันคอนเซ็ปต์ชีวิตของคนรุ่นเบบี้บูมเมอร์หรือเปล่าครับ แบบต้องช่วยกันก่อร่างสร้างตัวไรแบบนี้" ผมอดไม่ได้ที่จะแย้งพ่อยิ้มๆ สมัยนี้คนรักกันเขาต่างคนต่างก็มีชีวิตของตัวเองหรือเปล่าวะ

"เออ งั้นก็แล้วแต่แกจะคิด" หนุ่มเบบี้บูมเริ่มฉุน

"โอ๋ โอ๋ ครับ อย่าเพิ่งงอน" และพอเห็นคุณราเชนทร์เขาเริ่มหัวเสีย ผมก็เริ่มอารมณ์ดีขึ้นมาทันที

"ก็คุณลินเขาก็ช่วยบริษัทเราได้ไงครับ เขาเข้าสังคมเก่งจะตายไป" ผมนึกไปถึงงานเลี้ยงที่หัวหินตอนโน้น ที่คุณลินเขารู้จักคนทั้งงาน

"นั่นมันก็ใช่ แต่นี่แกลืมไปแล้วหรือ ว่าตอนแรกแกยังตั้งใจจะยุบไลน์ผลิตของคุณลินเขา แกไม่ได้ต้องการโปรดักต์ของเขาแล้ว แล้วแกก็ตั้งทีมอื่นขึ้นมาแข่งกับเขาไม่ใช่หรือ"

คือเรื่องนั้น… ผมไม่ได้ลืม ผมแค่พยายามจะไม่คิดถึงมันต่างหาก

พ่อคงเห็นสีหน้าผมหนักใจของผม เขาจึงได้ทีพูดต่อไปเรื่อยๆ

"แล้วถ้าแกมามีความสัมพันธ์กับคุณลิน อีกทีมนึงเค้าจะคิดยังไง คนเป็นประธานบริษัทน่ะจะทำอะไรก็ลำบากไปหมด แล้วตอนแกเข้าไปใหม่ๆ แกก็ตั้งไลน์ผลิตใหม่ทันทีเลยนี่ คนทั้งบริษัทเขาก็มองออกว่าประธานคนนี้คงอยากจะยุบทีมของคุณลิน แล้วพอมาตอนนี้ ถ้าแกไม่ยุบ คนก็หาว่าแกเข้าข้าง แต่ถ้าแกยุบ คุณลินเขาก็ต้องเสียใจแน่ๆ"

"ผมรู้ครับ นี่ผมก็หนักใจอยู่ แล้วถ้าผมเกิดอยากจะจริงจังกับเขาขึ้นมาจริงๆ ผมจะทำไงดีล่ะครับ" ไม่บ่อยนักที่ผมจะเอ่ยปากขอคำปรึกษาเรื่องส่วนตัวกับพ่อ

แต่… เรื่องนี้ก็มันไม่ใช่เรื่องส่วนตัวเลยซะทีเดียว มันเกี่ยวพันกับเรื่องของบริษัทด้วย เฮ้อ ปวดหัวว่ะ

"ไม่รู้โว้ย ก็ถึงได้บอกไงว่าแกจะลำบาก" น้ำเสียงเขาเหมือนเล่นตัวมากกว่าจะเหมือนไม่รู้จริงๆ

"พ่อช่วยผมคิดหน่อยสิครับ" ผมจึงทำเป็นส่งสายตาอ้อนวอนไปที่เขา รู้แหละว่าเขากำลังอยากจะให้แนะนำกับผมใจจะขาด

"งั้นเอาอย่างนี้ ตอนนี้แกอย่าเพิ่งรีบร้อนเปิดเผยความสัมพันธ์ รอให้แน่ใจก่อน ว่าแกกับเขาจริงจังกันจริงๆ ถ้าถึงตอนนั้น อะไรมันจะเกิดก็ต้องเกิด ตอนนี้ก็ต้องระมัดระวังการแสดงออกหน่อย ค่อยๆดูกันไปอย่างเงียบๆไปก่อน"

ผมมองพ่อด้วยความแปลกใจ ตอบมาซะยาวขนาดนี้เหมือนได้พ่อเตรียมคำตอบสำหรับผมเอาไว้แล้ว หรือว่าเขาจะแอบคิดเรื่องของผมกับคุณลินมาก่อนหน้านี้นานแล้ว

"เรื่องแกกับคุณลินน่ะ ใครเค้าก็สังเกตได้หรือเปล่าวะ เอาเถอะ วันนี้ไปพักผ่อนกันก่อนเถอะ พ่อไปนอนล่ะนะ" พ่อตอบสีหน้าสงสัยของผมด้วยรอยยิ้มมุมปาก ก่อนจะลุกเดินไปจริงๆแล้วคราวนี้

นี่ผมเผลอแสดงออกจนทุกคนสังเกตได้เหรอวะเนี่ย เอ้อ…

หลังจากแยกจากพ่อแล้ว ก่อนที่ผมจะเดินเข้าห้องนอนของตัวเอง ผมยังมีที่หมายอีกที่ที่จะต้องไปแวะ ไม่งั้นคืนนี้คงนอนไม่หลับ คิดถึง…

ก๊อก ก๊อก ก๊อก ผมเคาะประตูห้องนอนเล็กที่อยู่ข้างๆห้องนอนของผม

"ไม่มีใครอยู่ในห้องฮะ" เสียงตอบกวนๆดังมาจากข้างใน ฟังดูก็รู้ว่าคนพูดยืนอยู่ไม่ไกลจากประตูนัก

"ครับ ไม่มีใครอยู่ก็ไม่เป็นไรครับ ผมแค่จะเอาของฝากมาวางทิ้งไว้ให้เจ้าของห้องครับ" ผมยิ้มให้กับประตู แล้วก็เป็นอย่างที่คาด ประตูห้องเล็กนั้นถูกเปิดออกอย่างรวดเร็ว

"คุณป้าตาโตเป็นคนเลือกแน่เลย" สายตาใคร่รู้นั้นปรายตามองมายังถุงพลาสติกใบเล็กที่อยู่ในมือผม ก่อนจะเดินนำผมเข้ามาในห้องลับซึ่งเป็นโลกส่วนตัวของวัยรุ่นเขา ในห้องนั้นเปิดไฟไว้สลัวๆ หากโคมไฟที่โต๊ะทำงานยังคงสว่างจ้า

"ทำไมรู้" ผมวางถุงใบเล็กนั้นบนโต๊ะทำงานรกๆนั่น ในขณะที่เจ้าของโต๊ะหย่อนก้นนั่งลงบนเก้าอี้ทำงานแล้วหมุนเก้าอี้เล่นไปมา

"ก็ก่อนไป ป้าเขาเคยถามผมอะฮะว่าอยากได้อะไรจากบาหลี"

นี่คุณลินเอาใจใส่ลูกชายของผมขนาดนี้เชียว

"ขอบคุณนะฮะ" แววตานั้นกระตือรือร้นขึ้นมา เมื่อเอื้อมมือไปหยิบถุงขึ้นมาเปิดแล้วเห็นของฝากที่อยู่ในถุง

"ที่จริงพ่อเลือกเป็นหน้ากากแมวสีฟ้า แต่ป้าลินเขาบอกว่าเรนน่าจะชอบรูปหน้าปีศาจสีขาวดำมากกว่า" ผมชี้ไปที่หน้ากากไม้แกะสลักสีสดในมือของลูกชาย

"อื้อม ป้าลินเค้ารู้ใจผมมากกว่าใครบางคน" คนพูดยิ้มอย่างพึงพอใจพลางพลิกหน้ากากนั้นไปมา "งานละเอียดมากนะฮะเนี่ย ลงสีเนี้ยบเชียว"

"ก็ราคาแพงเอาการอยู่" รสนิยมของคุณป้าเขาไม่เบาล่ะครับ แต่เห็นลูกชอบของฝากผมก็ดีใจ

"แล้วนี่วาดการ์ตูนออนไลน์อยู่เหรอ เห็นป้าลินบอกว่ามีคนติดตามเป็นหมื่นเลย เจ๋งนี่หว่า" ผมปรายตามองเรื่อยเปื่อยไปบนโต๊ะทำงานนั่น เห็นรูปการ์ตูนที่ลูกวาดทิ้งค้างไว้ในบนไอแพด

"คุณป้าตาโตเขาก็ชอบอวยคนไปเรื่อยเปื่อย" ลูกผมส่ายหน้ายิ้มน้อยๆ เหมือนไม่ได้ปลาบปลื้มกับคำชมของผมมากมายนัก

"ว่าแต่พ่อเถอะ ไปเที่ยวมาสนุกไหมฮะ บาหลีสวยตามที่ป้าลินเขาโม้ไว้หรือเปล่า"

คำถามนั้นง่ายๆซื่อๆ แต่ไม่รู้ทำไมผมรู้สึกผิดอีกแล้ว ความรู้สึกที่เหมือนทิ้งพ่อกับลูกชายตัวเองไว้กับบ้านเพื่อไปหาความสุขตามลำพังมันกลับขึ้นมาอีกแล้ว

"ก็สวยดีนะ เสียดายที่คุณปู่กับเรนไม่ได้ไปเที่ยวด้วยกัน ถ้าได้ไปกันทั้งครอบครัวพ่อคงจะสนุกกว่านี้" ผมพยายามสรรหาถ้อยคำมาเอาใจลูก รู้ว่าดูเฟคๆฝืนๆ แต่ผมต้องพยายามพูดอะไรแบบนี้ให้มากขึ้น คุณลินเขาแนะนำมา ตอนอยู่บาหลีผมได้เปิดใจเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างผมกับลูกให้คุณลินเขาฟังพอสมควร

"โอย ไม่มีใครเขาอยากจะไปเป็นก้างขวางคอหรอกฮะ"

คำหยอกยิ้มๆจากวัยรุ่นตรงหน้าทำเอาผมตกตะลึง จริงอยู่ที่ผมคาดว่าเรนน่าจะรู้ว่าผมรู้สึกอย่างไรกับคุณลิน เพราะเจ้าเด็กคนนี้แหละที่เป็นคนจัดแจงให้ผมไปบ้านสาวๆในวันนั้น แต่ก็ไม่คิดว่าลูกจะพูดตรงๆออกมาเช่นนี้

ผมแก้เขินโดยการเดินไปล้มตัวลงนอนบนเตียงลูกชาย พร้อมเอื้อมมือไปหยิบหมอนข้างรูปปลานีโมสีส้มที่วางอยู่มากอดมาบิดมาบี้เล่น อือม์ นุ่มมือดีจังแฮะ

"เอ้า รุ่นนี้เขาไม่ต้องมีเขินกันแล้วมั้งพ่อ" เจ้าของหมอนข้างมองอาการบิดหมอนของผมอย่างยิ้มๆ

"เอ๊ะ เจ้าเด็กน้อย พูดจาแก่แดดนะเราน่ะ" ผมทำเป็นปรามลูก แต่สายตายังคงจดจ่ออยู่ที่หมอนข้างอันนุ่มนิ่มนั้น นี่ลูกชายผมมีตุ๊กตาอะไรกุ๊กกิ๊กขนาดนี้เอาไว้กอดนอนด้วยเหรอวะ

"แล้วนี่ใครซื้อเจ้าปลานีโมส้มนี่ให้อะ พ่อว่าคุณปู่กับคุณมะพร้าวไม่น่าซื้อให้นะ อย่าบอกนะว่าซื้อเอง หรือว่า ฮั่นแน่ มีสาวซื้อให้รึ" ผมทำหน้าตาหยอกล้อลูก

ดีใจจัง ลูกผมโตเป็นหนุ่มแล้ว จะมีแฟนแล้วเว้ยเฮ้ย

"พ่ออย่ามาเฉไฉ เมื่อกี้เรากำลังคุยกันเรื่องคุณป้าตาโต" แต่เจ้าเด็กหัวฟ้าเขาส่ายหน้า ไม่ตกหลุมพรางคำถามแก้เขินของผม แถมยังบ่นผมต่อไป "เอ้า แล้วนี่ยังไม่ได้อาบน้ำ มานอนบนเตียงผมเนี่ยนะ โห นั่งเครื่องบินมาตั้งไกล แถมยังไปออฟฟิศมาทั้งวันอีก พ่อตัวเหม็นเหงื่อจะแย่อยู่แล้วนะฮะเนี่ย"

"เออ ก่อนจะมาเคาะห้องแก ก็คิดอยู่ว่าน่าจะไปอาบน้ำก่อน แต่ก็กลัวเรนจะนอนเสียก่อน ขอวันนึงเหอะ วันนี้เหนื่อยว่ะ" เอ เจ้าลูกคนนี้มันไปเอานิสัยรักความสะอาดมาจากใครเนี่ย

"งั้นพ่อบอกคุณมะพร้าวให้แม่บ้านให้มาเปลี่ยนผ้าปูเตียงให้ผมด้วยละกันนะฮะ"

"เออ เดี๋ยวบอกให้ แต่ยังสงสัยว่าใครซื้อไอ้เจ้าปลาส้มนี่ให้ แล้วหมอนข้างอันเก่าที่คุณทวดเย็บให้หายไปไหน แต่เอ้อ จะว่าไป เอาทิ้งไปได้เสียทีก็ดีนะ" จำได้ว่าเจ้าเรนติดหมอนข้างตั้งแต่เด็ก แล้วก็เป็นหมอนข้างใบที่คุณยายของผมเย็บให้ ลูกผมหวงหมอนข้างใบนั้นมาก กอดจนเปื่อยยุ่ย มีคราบน้ำลายเกาะอยู่เต็มไปหมด แม้คุณมะพร้าวเขาเสนอจะเย็บปลอกหมอนสวมทับให้ เจ้านี่ก็ไม่ยอมเอา

"ยังอยู่ฮะ ไม่ทิ้งหรอก เก็บไว้ในตู้อย่างดี กลัวมันขาด นานๆทีค่อยเอาออกมากอดบ้าง"

ผมเงยหน้าจากหมอนข้างขึ้นมองลูกด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก แต่ก็ไม่เห็นวัยรุ่นตรงหน้าจะแสดงอาการดราม่าอะไร น้ำเสียงนั้นราบเรียบ ผมพอจะสังเกตได้ว่าลูกมีนิสัยออกติสท์ๆโลกส่วนตัวสูงอยู่บ้าง แต่ก็นึกไม่ถึงว่าเรนจะเป็นเด็กที่ละเอียดอ่อนขนาดนี้

"ติดหมอนข้างตั้งแต่จนโตเลยนะเรา นี่จะนอนกอดหมอนข้างไปจนมีแฟนเลยหรือเปล่า" อดที่จะแซวลูกยิ้มๆไม่ได้

"ก็เอาไว้กอดตอนอยู่คนเดียว มันอุ่นใจดี"

ผมอึ้งไปกับน้ำเสียงที่เจือด้วยความเหงาลึกๆนั้น นึกอยากจะคว้าตัวลูกเข้ามากอดปลอบโยน แต่ก็ทำไม่เป็น ไม่รู้จะต้องเริ่มยังไง ลุกจากเตียงตรงดิ่งเข้าไปกอดเลยดีไหม หรือพูดอะไรซึ้งๆเกริ่นนำก่อนดีหรือเปล่า หรือ…

"แล้วนี่พ่อหนีกลับมาก่อนแบบนี้ ป้าลินเขาไม่โวยวายแย่เหรอฮะ" แต่จู่ๆลูกผมเขาก็เปลี่ยนเรื่อง

"ก็นิดหน่อย…"

แต่เอ๊ะ นี่เจ้าเรนมันหมายความว่ายังไง หรือลูกจะเดาออกเรื่องความสัมพันธ์อันลึกซึ้งระหว่างผมกับคุณลินตอนอยู่ที่บาหลี

"เอ้อ… แกว่าป้าลินเค้าเป็นไงบ้าง" ผมตัดสินใจถามลูกไปตรงๆ ขี้เกียจอ้อมค้อมแล้ว ยังไงผมก็สารภาพกับพ่อไปแล้ว ก็ถือโอกาสสารภาพกับลูกด้วยเลยละกัน

"ก็ตาโตดีฮะ" คำตอบนั้นดูซื่อๆ แต่ผมรู้ว่ามันตั้งใจกวน

"นี่ถามซีเรียส" ผมทำหน้าจริงจังเข้าใส่

ลูกชายผมเลยจ้องหน้าผมอย่างจริงจังตอบกลับบ้าง ก่อนจะเอ่ยขึ้น

"แล้วถ้าผมบอกว่า ผมไม่ชอบป้าเค้าอะฮะ"

"เฮ้ย ไมอะ ป้าเค้ามีอะไรไม่ดีเหรอ แค่แก่กว่าพ่อมากหน่อย แต่พ่อว่าเค้านิสัยดีนะ ใจดีแล้วก็ตลกดีด้วย เป็นคนมีน้ำใจ นี่เค้าก็คิดถึงเรน ถามถึงเรนตลอดเลยนะ" ผมละล่ำละลักเผลอแก้ตัวแทนคุณลินโดยไม่ทันรู้ตัว

"ก็ไม่ชอบก็คือไม่ชอบไง ก็เหมือนที่พ่อไม่ได้ชอบน้าพลอยนั่นแหละ" เจ้าลูกผมทำหน้ากวนๆ มันได้นิสัยนี้มาจากใครวะ จากปู่แหงๆเลย

"เอ้อ…" เอาไงดี จะหว่านล้อมไอ้เจ้าตัวแสบนี้ยังไงดี

"พ่อว่าเรนลองเปิดใจดูๆไปก่อนไหม ถ้ารู้จักป้าเค้ามากขึ้นกว่านี้ เรนอาจจะชอบเค้าขึ้นมาก็ได้"

"แล้วถ้าถึงที่สุดแล้วผมก็ยังไม่ชอบป้าเขา พ่อจะเลิกกะป้าเขาไหม"

"ก็…" ผมเริ่มหน้าจ๋อย ดึงเจ้าหมอนข้างเจ้าปลานีโม่เข้ามากอดอย่างโหยหาความอบอุ่น

เฮ้ย นี่เจ้าเรนมันพูดจริงอะ ลูกชายผมเค้าไม่ชอบคุณลินจริงๆเหรอวะ

"…"

แต่… เอาจริงคนคนเดียวในโลกนี้ที่ผมแคร์อย่างจริงจังก็คือเจ้าเรนนะ แม้แต่พ่อผมเองก็ยังขัดใจผมไม่ได้ แต่กับเจ้าเด็กหัวฟ้านี้ ผมต้องยอมมันทุกที เฮ้อ… ผมคงต้องตัดใจจากคุณลินเสียแล้ว ผมไม่สามารถจะรักใครโดยไม่ผ่านความเห็นชอบจากลูก

"ก็… ถ้างั้นพ่อก็คงต้องทำใจ แต่น่าเสียดายนะ ผู้หญิงตาโตๆอย่างนี้หาไม่ค่อยได้ง่าย" ผมทำตาละห้อย ยังพยายามจะหว่านล้อมลูก ….เฮือกสุดท้าย

"นี่พ่อน่าจะมาถามผมก่อนจะไปจีบเขาป่าว"

"ก็ไม่ได้จีบ… คือใจมันเป็นไปเองว่ะ เผลอไปชอบเค้าตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้" ผมหน้าเสีย หลบตาลูก ความรู้สึกใจหายเข้าเกาะกุมโดยไม่ทันได้ตั้งตัว นี่ผมเข้าใจผิดมาตลอดเลยหรือนี่ ผมเข้าใจไปเองว่าเจ้าเรนเป็นฝ่ายเชียร์ผมกับคุณลิน

"นี่พ่อเศร้าขนาดนี้เชียว แกล้งเศร้าหรือเศร้าจริงอะ" เสียงแตกหนุ่มนั้นยังดังมากวนใจผมเรื่อยๆ

"เออ ช่างมันเถอะ ไปละ" ผมลุกขึ้นจากเตียง หมดอารมณ์คุยต่อ ความสุขที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาสามสี่วันที่ผ่านมา มันคงผ่านเข้ามาแค่ให้ชุ่มชื่นหัวใจ แล้วก็ผ่านออกไปอย่างรวดเร็ว

"เอาน่าพ่อ หล่อตาตี่อย่างพ่อ หาสาวๆได้เยอะแยะไปฮะ จะหาแบบสวยๆแค่ไหนก็ได้" เจ้าตัวดียังคงยียวนกวนประสาท

"เออ นอนเถอะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ตื่นสาย ไปโรงเรียนไม่ทัน" ผมเอื้อมมือไปลูบหัวลูกชาย ถอนหายใจ แล้วหันหลังเดินไปทางประตู รู้สึกเศร้าจนอยากอยู่คนเดียว

"เดี๋ยวฮะแด๊ดดี้" แต่เสียงเรียกที่น่าหมั่นไส้นั้นทำให้ผมชะงัก

"ครับ มีอะไรอีกครับฮันนี่ ผมง่วงแล้วครับ" ผมหันกลับมาหาลูก มองเจ้าวัยรุ่นด้วยสายตาละเหี่ยใจ ไม่ได้มีอารมณ์จะพูดคุยแล้วว้อย

"คือคนอื่นจะพูดอะไร แด๊ดดี้จะสนใจทำไมฮะ แด๊ดดี้สนแค่คุณป้าตาโตเค้าคิดไงก็พอแล้วฮะ"

"…" ผมล่ะเป็นงง นี่วัยรุ่นเค้าหมายความว่ายังไง?

"อันที่จริงป้าเค้าก็น่ารักดีนะฮะ ตาโตดี หัวเราะเก่งด้วย" คราวนี้เจ้าตัวดีพูดยิ้มๆ

"…"

"แหม่ กล้าๆหน่อยไหมอะ จะรักใครก็รักไปเถอะฮะพ่อ นี่ผมอยากมีน้องแล้วนะเนี่ย"

ผมอึ้งไป ความรู้สึกหลากหลายอย่างประดังขึ้นมา พลันน้ำตาก็ซึมขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้

"เรนพูดจริงเหรอ"

"ก็… ตอนนี้พูดจริง เมื่อกี้แค่ล้อเล่น แต่เห็นใครบางคนหน้าหงอยแล้วก็อดสงสารไม่ได้"

"กวนประสาทจริงไอ้ลูกคนนี้ เห็นพ่อเป็นเพื่อนเล่นเรอะ" ผมปรี่เข้าไปเอามือขยี้ผมสีฟ้านั้นอย่างมันมือ เจ้าเด็กคนนี้มันเคยเห็นผมเป็นพ่อบ้างไหมเนี่ย

แต่! นี่ก็หมายความว่า… ผมได้ไฟเขียวจากลูกชายแล้ว เย้!

"เอ้า เขินแล้วมาลงที่หัวผมเนี่ยนะ" เจ้าเด็กน้อยพยายามปัดป้องหัวสีฟ้าของตัวเองเป็นพัลวัน

"เออ งั้นไปพ่อไปนอนจริงๆละ" พอได้ไฟเขียวจากลูกชายเข้าจริงๆ ผมก็เริ่มรู้สึกเขินขึ้นมาจริงๆ ไม่รู้เขินใคร เขินอะไร

"เดี๋ยวฮะพ่อ อีกเรื่อง" เจ้าตัวแสบทำหน้าตาจริงจัง ก่อนจะพูดต่อ

"ไม่ว่าใครจะพูดยังไง พ่อไม่ต้องสนใจ คือ… เอาจริงผมว่าพ่อหล่อกว่าลุงโป๊ป"

"ห้ะ?" ผมงงอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะเข้าใจว่าเจ้าเรนหมายถึงเรื่องอะไร

"เฮ้ย นี่เห็นรูปกะเค้าด้วยเหรอ"

คือเรื่องที่คนทั้งออฟฟิศจะมีโอกาสได้เห็นรูปผมกับดาราหน้าตาจืดๆรุ่นลุงคนนั้น ผมรู้อยู่แล้วว่ามันต้องเกิดขึ้น ก็ตั้งแต่ที่เห็นคุณลินเขาส่งรูปให้คุณเยาวลักษณ์แล้ว ผมรู้ว่าคุณเยาวลักษณ์เขาไม่เก็บรูปถ่ายเซตนี้ไว้ดูเพียงลำพังแน่

…แต่ผมไม่แคร์

"เมื่อวานผมเข้าออฟฟิศมา" หนุ่มน้อยรายงาน

นี่เจ้าเรนมันท่าจะชอบทำงานจริงจังนะ ถึงขนาดเข้าออฟฟิศในวันที่ผมกับคุณลินไม่อยู่ ภูมิใจจริงๆ ลูกผมคงจะเห็นความขยันของผมเป็นแบบอย่าง

"ป่าวฮะ ผมไม่ได้ขยันขนาดนั้น ผมแค่แวะเอาการ์ตูนไปให้พี่เอกเขายืมอ่าน"

เอ่อ...

อ่านใจกันออกอีกวุ้ย

"เออ ขอบใจ ไม่ต้องเป็นห่วง พ่อก็รู้ตัวดีว่าหล่อกว่าลุงดารานั่น ป้าลินเขาก็บอกอยู่" ผมไม่เคยต้องกังวลเรื่องนี้ ลุงดาราหน้าจืดคนนั้นเทียบผมไม่ติดหรอก

"พ่อไปนอนล่ะนะ" ผมร่ำลาลูกชายอีกรอบ วันนี้เหนื่อยมากจริงๆ เหนื่อยกับเรื่องงานไม่พอ ต้องมาเหนื่อยกับคำเตือนของพ่อเรื่องคุณลิน แล้วยังต้องมาลุ้นใจหายใจคว่ำกับด่านของเจ้าเรนอีกว่าจะผ่านไหม

"เอ้อ อยากบอกอีกอย่าง" แต่ก่อนที่ผมจะพ้นประตูออกไป จู่ๆผมก็รู้สึกว่าจังหวะนี้มันเหมาะมาก ประโยคนี้มันต้องมาแล้ว ประโยคที่ผมอยากจะพูดกับลูกชายเสมอมา แต่ความเขินมันก็เข้ามาบดบังไว้ทุกทีไป

ผมหันหน้าไปหาลูก เอ่ยประโยคสำคัญ แล้วรีบผลักตัวเองออกจากประตูบานนั้นมาอย่างรวดเร็ว

"I love you!"