webnovel

ความลับ

เช้าวันเสาร์...

เรายืนดูความคล่องแคล่วของเรนที่ช่วยแม่เล็กและช่วยคิวขายขนมในตลาดอย่างประหลาดใจ คนอย่างนายเรนเนี่ยนะ ขายขนมในตลาดกับเค้าก็เป็น!

นี่เป็นครั้งแรกของเราที่มาตลาดคลองเตยแห่งนี้ ปกติเราแทบไม่เคยไปเดินตลาดสดที่ไหน หน้าที่จ่ายตลาดและทำกับข้าวในบ้านเป็นหน้าที่ของป้ากะทิแม่บ้านของครอบครัวเรา คุณยายไม่ชอบทำอาหารและไม่มีเวลาทำอาหาร ส่วนน้าลินปกติกินข้าวนอกบ้านบ่อยมาก แต่ก็มีบางครั้งที่น้าลินเกิดนึกครึ้มใจทำอาหารฝรั่งให้พวกเรากินในตอนวันหยุด เราก็จะได้ไปซื้อกับข้าวกับน้าลินที่วิลล่าซูเปอร์มาร์เกตแถวบ้าน เพราะน้าลินบอกว่าที่นั่นเดินสะดวกสบายและมีเครื่องปรุงครบ ไม่อยากจะเชื่อก็ต้องเชื่อว่าเห็นน้าลินเป็นสาวสังคมขนาดนั้น แต่น้าลินก็ทำอาหารฝรั่งได้อร่อยมาก เสียดายที่นานน้านทีน้าลินถึงจะทำ

ที่ตลาดสดคลองเตยนี่ตามพื้นมีน้ำขังเฉอะแฉะไปหมด ร้อนมากด้วย คนก็พลุกพล่าน และก็คึกคักเสียงดังดี เค้าเอาเนื้อหมูเนื้อวัวหรือผักสดออกมาวางขายกันบนโต๊ะใต้ร่มกันแดดที่เป็นสีๆ ไม่ได้อยู่ในตู้แช่เหมือนที่วิลล่าซูเปอร์มาร์เกต เราเห็นแมลงวันบินตอมกันให้วุ่น บางทีเราก็เห็นหนูตัวใหญ่มากวิ่งมุดๆอยู่ใต้โต๊ะ

ยังดีหน่อยที่แผงขายขนมของแม่เล็กอยู่ส่วนด้านในใต้หลังคาติดกับโซนขายผลไม้ ค่อยยังชั่วที่โซนนี้พื้นแห้ง ไม่เฉอะแฉะเหมือนพื้นด้านนอก

วันนี้เรานัดกับเรนที่สถานีรถไฟฟ้าพร้อมพงษ์เช่นเคย แล้วเราก็ขึ้นรถแท็กซี่ไปรับคิวกับแม่เล็กที่บ้านเพื่อมาขายของที่ตลาดคลองเตยกัน ปกติเวลาที่คิวกับแม่เล็กมาขายของที่ตลาดวันเสาร์อาทิตย์ พวกเค้าจะขี่มอเตอร์ไซต์กันมาโดยที่คิวเป็นคนนั่งซ้อนท้ายแล้วถือตะกร้าใส่ขนม ส่วนวันธรรมดาแม่เล็กก็จะเอาตะกร้าใหญ่นั้นมัดผูกติดกับเบาะมาแทน

คิวเล่าว่าตลาดคลองเตยเปิดทั้งวันทั้งคืน แต่แม่เล็กจะมาขายขนมตอนเช้ามืดและกลับตอนบ่ายๆ เพราะต้องกลับไปดูแลคิวและน้องๆ นานๆทีแม่เล็กถึงจะหยุดขายของสักวัน และก็ต้องเป็นโอกาสพิเศษมากๆ เช่นวันที่เรากับเรนไปติวเลขให้คิวตอนโน้น แม่เล็กอุตส่าห์หยุดขายขนมเพื่อรอทำกับข้าวให้เรากับเรนกิน

"คิว ทอนเงินด้วยห้าบาท พี่ผู้หญิงเอาตะโก้แห้วสามถุงกับลืมกลืนสองถุง" เรายื่นแบงก์ร้อยให้คิว พร้อมทั้งคิดเงินทอนให้เสร็จสรรพ

หลังจากนั่งดูคนอื่นๆขายขนมอยู่สิบนาที เราก็เรียนรู้กระบวนการขายและจดจำราคาขนมทั้งหมดได้ แม่เล็กตั้งราคาขนมแต่ละชนิดไม่เท่ากัน แต่ก็จะลงท้ายราคาด้วยห้าบาท หรือไม่ก็สิบบาท

"คุณพี่ไม่รับช่อผกากรองไปด้วยหรือคะ เป็นขนมไทยโบราณไส้ถั่วกวนซึ่งปัจจุบันหาทานได้ยากนะคะ นี่ค่ะเป็นรูปดอกไม้สีสันสวยงามมากนะคะ" เราพยายามนำเสนอขนมรายการใหม่ที่แม่เล็กเพิ่งลองทำมาขายเป็นครั้งแรก

"เอ้อ ชื่อน่าสนใจดี ลองดูหน่อยก็ดีจ้ะ เอามาสองถุงละกัน" เสียงหวานนั้นตอบกลับมา

สำเร็จ! คุณพี่ผู้หญิงเขาเชื่อคำโฆษณาของเรา

ช่วงนี้แผนการช่วยแม่เล็กของคิวทำธุรกิจขนมกำลังเป็นโปรเจกต์หลักในชีวิตของเรา และก่อนหน้าที่จะมาช่วยขายขนมในตลาดวันนี้ เราได้หาโอกาสตอนเย็นหลังเลิกเรียนไปดูแม่ของคิวทำขนมมาบ้างแล้ว และจากการศึกษาประเภทของขนมไทยและการชิมขนมชนิดต่างๆมาก่อนหน้านี้ เราพบว่าแม่เล็กถนัดในการทำขนมประเภทกวนมากกว่าประเภทอื่น เราเลยคิดว่าควรทำการตลาดเน้นขนมกวนเช่น เผือกกวน ตะโก้ ลืมกลืน ช่อผกากรอง เปียกปูน อะไรพวกนี้ก่อนเพื่อความเป็นเจ้าตลาด

นี่เราทำป้ายมาตั้งบนโต๊ะด้วยนะ เขียนว่า 'ขนมแม่เล็กเจ้าเก่า อันดับหนึ่งด้านขนมไทยประเภทกวน'

"ลิสาขายขนมเก่งเลยนะเนี่ย" คิวทำท่ายกนิ้วโป้งให้เรา

"แน่นอน เราศึกษาด้านการขายมาเป็นอย่างดี" ก็เราอุตส่าห์หาพอตแคสต์มาฟัง หายูทูปมาดูมาเรียนรู้ถึงเทคนิคการขายของ

"อ้อ วันนี้ขนมลืมกลืนขายดีมาที่หนึ่งเลยแม่" แล้วคิวก็หันไปคุยกับแม่เล็กด้วยท่าทางตื่นเต้น

"ขนมหน้าตาสวยดีฮะ คนคงชอบ" แล้วเสียงของเรนก็สนับสนุนขึ้นมา

"หนูลิสาเขาเป็นคนไปซื้อแม่พิมพ์ลายแปลกๆมาให้แม่ลองทำดู" แล้วแม่เล็กก็หันมายิ้มให้เรา

เรายิ้มตอบให้แม่เล็กก่อนจะหันไปสบตากับเรน แต่เรากลับเห็นเรนทำหน้าแปลกๆเหมือนไม่ค่อยสบายใจยังไงก็ไม่รู้ ทำไมเรนทำหน้าอย่างนั้นล่ะ ไม่ดีใจเหรอที่เราช่วยแม่เล็กขายขนมได้ตั้งแยะ

บ่ายวันเสาร์...

ความจริงวันนี้การมาช่วยแม่เล็กขายขนมที่ตลาดคลองเตยเป็นแค่ส่วนหนึ่งที่เราตั้งใจเอาไว้ ความจริงแล้วสิ่งที่เรารอคอยยิ่งกว่า ก็คือการมาเจอกับคุณฝนเจ้าของร้านขายขนม 'My Rain' ต่างหาก คุณฝนติดต่อเรามาเมื่อสองวันก่อน ว่าสนใจอยากจะให้แม่เล็กเอาขนมไปลองฝากขายที่ร้าน มันเหมือนเป็นความสำเร็จขั้นแรกของเราเลยทีเดียว ขอแค่มีโอกาสได้ลองดูแค่นั้นก็เยี่ยมยอดแล้ว

คุณฝนบอกว่าวันนี้จะอยู่ที่ร้านทั้งวัน เราจึงนัดหมายคร่าวๆกับคุณฝนไว้ว่าจะเข้ามาตอนบ่ายๆหลังจากขายขนมหมด โชคดีที่วันนี้ขายขนมหมดตั้งแต่บ่ายสอง พวกเราจึงรีบช่วยกันเก็บร้าน เอาตะกร้าที่ใส่ขนมมากับอุปกรณ์การขายทั้งหลายสอดไว้ใต้โต๊ะ เอาผ้าพลาสติกคลุมแล้วมัดปลาย หลังจากนั้นก็พาแม่เล็กนั่งแท็กซี่มาที่ห้างเซนเตอร์วัน แล้วก็รีบตรงไปที่ชั้นล่างสุดของห้างซึ่งเป็นที่ตั้งของร้านขนมของคุณฝนทันที

"คุณฝนเธอออกไปสูบบุหรี่ค่ะ"

พนักงานที่ร้านบอกเมื่อพวกเราไปถึงและถามหาคุณฝน เราจึงพากันออกมายืนรอกันอยู่ข้างๆทางเข้าตรงหน้าร้าน เรนกับคิวเค้าถือโอกาสขอไปดูร้านการ์ตูนระหว่างรอ เราจึงยืนรออยู่กับแม่เล็กสองคน

"แม่เล็กตื่นเต้นหรือคะ มือเย็นเชียว" เราอดที่จะเอื้อมมือไปสัมผัสมือแม่เล็กไม่ได้ ก็เราสังเกตเห็นท่าทางแม่เล็กดูกระสับกระส่ายมองไปมารอบๆอย่างตื่นๆ

"แม่ไม่ค่อยได้เข้ามาห้างใหญ่ๆแบบนี้ แอร์เย็นจังเลยนะหนูลิสา"

"อ่อ ห้างนี้เค้าชอบเปิดแอร์เย็นอย่างนี้ล่ะค่ะ ข้างนอกก็ร้อนมากนะคะ บางทีเดินเข้าๆออกๆห้าง นี่รู้สึกร้อนๆหนาวๆเหมือนจะเป็นไข้เลยค่ะ" เราผสมโรงกับแม่เล็ก นี่บางทีเวลามาเดินห้างเราถึงกับต้องติดเอาเสื้อกันหนาวมาด้วยเลยนะ ทั้งๆที่ข้างนอกร้อนตับแตก

"ไม่รู้คุณฝนเธอจะเป็นคนยังไงนะ แม่กลัวจัง กลัวคุยกับเค้าไม่รู้เรื่อง ร้านขนมเค้าก็สวยมากด้วย"

"ลิสาอยู่ตรงนี้ แม่เล็กไม่ต้องกลัวนะคะ ลิสาไม่เคยกลัวใครค่ะ" เราให้ความมั่นใจกับแม่เล็กไป ก็เราไม่เคยกลัวใครจริงๆนี่นะ ถ้าเราสงสัยอะไรเราก็ถาม ถามจนกว่าเราจะเข้าใจ

เรายืนรอกันไม่นานก็มีผู้หญิงคนหนึ่งก้าวเดินฉับๆมาจากทางด้านหลังของห้างตรงมาที่พวกเรายืนกันอยู่ เรามั่นใจมากว่าเค้าต้องเป็นคุณฝนแน่ๆ เพราะจากการที่เค้าเดินตัวเปล่ามาคนเดียว ไม่ได้สะพายกระเป๋าสวยๆหรือถือกระเป๋าเงินมาอย่างผู้หญิงคนอื่นๆทั่วไปที่มาเดินห้าง

พอผู้หญิงคนนั้นเดินเข้ามาใกล้ เราจึงยกมือขึ้นสวัสดีทันที

"สวัสดีค่ะคุณฝน หนูชื่อลลิสาค่ะ ที่นัดไว้กับคุณฝนจะมาคุยเรื่องขนมที่จะมาฝากขายค่ะ นี่แม่เล็กเจ้าของขนมค่ะ"

แม้จะขายขนมเหมือนกัน แต่คุณฝนเขาก็มีบุคลิกที่ต่างกับแม่เล็กลิบลับ คุณฝนเป็นผู้หญิงตัวเล็ก ผมดำขลับปล่อยยาวถึงกลางหลัง ผิวขาว คิ้วเข้ม ปากแดงจัด ใส่รองเท้าส้นสูงปรี๊ด แต่งตัวเปรี้ยวเป็นเสื้อสีแดงคอปาดเปิดไหล่ข้างเดียว กางเกงยีนรัดรูป

และที่สำคัญ คุณฝนหน้าดุมาก ไม่ยิ้มเลย

"เอ่อ สวัสดีค่ะ" แม่เล็กยกมือไหว้คุณฝนบ้าง ท่าทางแม่เล็กงกๆเงิ่นๆแลดูเก้อเขิน

"อ๋อ ขนมยี่ห้อแม่เล็กใช่ไหม งั้นเข้ามาคุยกันข้างใน" น้ำเสียงนั้นดังกังวานชัดเจน และดูเฉียบขาด แต่เราไม่หวั่นหรอก คุณยายของเราเวลาพูดก็คล้ายๆกันแบบนี้ล่ะ

"ไปกันค่ะแม่เล็ก" เราหันไปคล้องแขนแม่เล็กด้วยความกระตือรือร้น ถึงเวลาสำคัญแล้วสินะ

"เอ้อ ลิสาจ๊ะ แล้วเรนกับคิวล่ะ เดี๋ยวสองคนนั่นมาแล้วไม่เจอเรานะ เอ้อ คือพอดีมีลูกชายกับเพื่อนมาด้วยน่ะค่ะ" แม่เล็กตะกุกตะกักเป็นห่วงเจ้าสองคนนั่น

"อ้าว จริงด้วย ลิสาลืมเจ้าสองคนนั่นไปเลย งั้นคุณฝนรอซักสองนาทีได้ไหมคะ หนูจะวิ่งไปตามเพื่อน เค้าอยู่ร้านการ์ตูนตรงนี้เองค่ะ"

เราเห็นคุณฝนส่งสายตาดุๆกลับมา แต่เราไม่รอแล้ว รีบวิ่งออกไปทันที

แล้วเราก็ได้แต่ตัวเจ้าคิวกลับมา เพราะคิวอยากมาฟังเรากับแม่เล็กคุยกับคุณฝนด้วย ส่วนเรนเค้าขออยู่เลือกการ์ตูนต่อ เรารู้จักเรนดี ว่าเรนเค้าใช้เวลาอยู่ในร้านการ์ตูนนานมากๆเสมอ เราจึงไม่เซ้าซี้

หลังจากนั้นคุณฝนจึงเดินนำเรากับแม่เล็กและคิวเข้าไปที่ห้องทำงานซึ่งอยู่หลังเค้านท์เตอร์คิดเงินภายในร้าน

อา ตื่นเต้นจังเลย นี่คือการเจรจาทางธุรกิจครั้งแรกในชีวิตของเรา...

พวกเราคุยกับคุณฝนอยู่หนึ่งชั่วโมงเรื่องของคำแนะนำต่างๆและเรื่องของราคาซื้อขาย เราเตรียมตัวอย่างขนมที่จะมาฝากขายมาให้คุณฝนเลือกด้วย การเจรจาสำเร็จลงด้วยดี คุณฝนขอทดลองขายก่อนสองสามชนิดแล้วก็เป็นจำนวนไม่มาก ให้แม่เล็กเอามาให้พรุ่งนี้ทันทีที่ห้างเปิด ดีใจจังเลย...

คนที่ดีใจกว่าเราเห็นจะเป็นแม่เล็กและคิว เราเห็นแม่เล็กบอกขอบคุณคุณฝนยกใหญ่ แม้โดยรวมแล้วราคาที่แม่เล็กจะขายได้ก็ไม่ได้มากไปกว่าการขายที่ตลาดมากนัก แต่อย่างน้อยแม่เล็กก็ไม่ต้องตื่นไปนั่งขายที่ตลาดแต่เช้ามืด การเอาขนมมาฝากคุณฝนขายทำให้แม่เล็กมีเวลาอยู่กับลูกๆมากขึ้น

หลังจากตกลงกันเรียบร้อย คุณฝนจึงพาพวกเราเดินออกมาจากห้องทำงาน ก็พอดีที่เราเห็นเรนกำลังเดินเข้ามาที่ประตูของร้านแล้วสอดสายตามองหาพวกเราอยู่

"เรน ทางนี้" เราเรียกเสียงไม่ดังมากเอาแค่พอที่เรนจะได้ยิน เรนหันมาตามเสียงเรียก แล้วจึงเดินตรงเข้ามาหาพวกเรา

"เรน นี่คุณฝนเจ้าของร้านไง นี่เพื่อนหนูค่ะ ชื่อเรน" เราหันไปทางคุณฝนซึ่งยืนอยู่ข้างๆเมื่อเรนเดินเข้ามาใกล้

"หวัดดีฮะ" เรนยกมือขึ้นไหว้คุณฝนก่อนจะหันไปยิ้มให้กับแม่เล็ก

แปลกจัง ทำไมอยู่ๆคุณฝนก็หน้าตาซีดเผือดขนาดนั้นเมื่อเห็นหน้าของเรนใกล้ๆ เธอจ้องมองเรนตาไม่กะพริ

"เพื่อนของหนู... เอ้อ... ชื่อเรน... หรือ?" เสียงของคุณฝนพึมพำแผ่วๆแบบตะกุกตะกัก

"ฮะ ชื่อเรน" เรนหันมาทางคุณฝนอีกที ทำหน้าเฉยๆ เรนคงงงๆกับสีหน้าของคุณฝนเช่นเดียวกับพวกเรา

"ชื่อเหมือนร้านของคุณฝนเลยนะคะ" เราอดไม่ได้ที่จะพูดออกมา ก็มันช่างบังเอิญจริงๆนี่นา

"เรน..." คุณฝนทวนคำอีกครั้ง สีหน้าดูคล้ายๆตกอยู่ในภวังค์ เหมือนตัวเธอจะเซนิดๆไปเกาะขอบชั้นวางขนมตรงข้างๆด้วย

"พวกหนูอายุเท่าไหร่กัน" เสียงนั้นถามเบาๆลอยๆออกมา ตาดุๆคู่นั้นก็ยังคงจ้องเรนเขม็ง

"หนูอายุสิบห้าค่ะ เรนเค้าเป็นเพื่อนห้องเดียวกับหนู"

"สิบห้า.... อายุสิบห้า..."

นี่อยู่ๆคุณฝนเธอเป็นอะไรกันเนี่ย ทำไมต้องทวนทุกคำตอบของเรา แล้วทำไมต้องทำหน้าตกใจขนาดนั้นด้วย ตอนคุยกันเรื่องขายขนมเธอยังทำหน้าดุอยู่เลย แล้วการมีอายุสิบห้าปีมันพิเศษตรงไหน

"เอ้ย ไม่ใช่ค่ะ เรนไม่ได้อายุสิบห้าแล้ว เรนเพิ่งเกิดไปเมื่อเดือนกุมภานี่นะ เรนก็ต้องอายุสิบหกแล้ว"

"เกิดเดือนกุมภา..."

เอาอีกละ ทวนคำตอบอีกแล้ว

"หนูเป็นคนกรุงเทพหรือเปล่า บ้านอยู่แถวไหน" คราวนี้เหมือนคุณฝนเธอจะเจาะจงถามไปที่เรนคนเดียว

"ฮะ คนกรุงเทพฮะ บ้านก็อยู่แถวทองหล่อนี่เองฮะ" หน้าตาของเรนก็ยังคงดูงงๆกับท่าทีของคุณฝน

"ทองหล่อ... ทองหล่อที่ติดกับย่านสุขุมวิทนี่หรือ"

อะไรของคุณฝนเค้า เค้าไม่รู้จักทองหล่อหรือไง

"คุณฝนคะ โทรศัพท์ค่ะ เห็นว่ามีเรื่องด่วน" อยู่ๆเสียงของพนักงานในร้านก็ดังขึ้นใกล้ๆ พร้อมกับยื่นโทรศัพท์มือถือมาให้คุณฝน

"เอ้อ" คุณฝนเธอรับโทรศัพท์มาท่าทางเงอะงะ

เราว่าเราควรขอตัวกลับกันเลยจะดีกว่า ดูคุณฝนเค้าแปลกๆ หรือจะไม่ค่อยสบาย หรือเค้าอาจจะมีนัดอื่นรออยู่

"งั้นพวกหนูกลับกันก่อนนะคะ เดี๋ยวพรุ่งนี้แม่เล็กจะเอาขนมมาส่งให้ตามที่ตกลงกันนะคะ" แล้วพวกเราก็พากันยกมือสวัสดีคุณฝนอย่างพร้อมเพรียงกัน

อือม์ จู่ๆคุณฝนเค้าก็เป็นอะไรไปเนี่ย ทำท่าทำทางประหลาดพิลึก เราแอบหันไปมองอีกทีตอนที่พวกเรากำลังจะเดินพ้นออกมาจากร้าน ก็พบว่าแม้คุณฝนกำลังคุยโทรศัพท์อยู่

แต่สายตาของคุณฝนก็ยังคงจับจ้องมาที่พวกเรา...

"วันนี้ร้อนมากเลย อยากหาอะไรเย็นๆกิน ลิสาชอบกินบิงซู เราไปกินบิงซูกันไหมคะ ชั้นบนมีร้านอร่อยอยู่ร้านนึง ลิสาเคยมากินกับน้าลินและก็น้าวิสกี้ค่ะ เป็นการฉลองความสำเร็จของการขายขนมในวันนี้ไงคะ"

เรารู้สึกเริงร่ามากที่ปิดจ๊อบได้ หันไปเอ่ยชวนทุกๆคนหลังจากเดินขึ้นบันไดเลื่อนกันมาแล้ว

"เอ้อ..." แม่เล็กกับคิวดูท่าทางลังเล

"ลิสา เรากลับกันเถอะ เราต้องรีบไปหาปู่ และแม่เล็กเค้าจะได้กลับไปเตรียมทำขนม" เรนดึงแขนเราไว้เบาๆ

"อ้าว เหรอ ว้า เสียดายจังเลย" จ๋อยเลย ไม่มีใครว่างกินบิงซูกับเรา

"เอ้อ ใช่จ้ะ แม่กับคิวต้องกลับกันก่อนนะจ๊ะ ต้องรีบกลับไปเตรียมทำขนมอย่างที่เรนว่า"

เมื่อแม่เล็กเอ่ยออกมาอย่างนั้น เราก็จึงจำต้องเอ่ยลาแม่เล็กกับคิวที่หน้าห้างนั่นเอง เฮ้อ...

และเมื่อเรากับเรนเดินแยกออกมาเพื่อตรงไปยังสถานีรถไฟฟ้า เรากลับได้ยินคำถามที่ไม่คาดคิดจากเรน

"ลิสาอยากกินบิงซูใช่ปะ เดี๋ยวเราเดินข้ามไปพารากอนไปหาบิงซูกินกันมั้ย"

"อ้าว เมื่อกี้นายบอกว่าต้องรีบกลับไปหาคุณปู่ไง" อะไรของเค้ากันเนี่ย แล้วเมื่อกี้โกหกแม่เล็กทำไมอะ

"ก็ต้องกลับ แต่ไม่ได้รีบมากขนาดนั้น คือ..." เรนอึกอักไปเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อ "เราแค่ไม่อยากให้เธอชวนแม่เล็กกับคิวกินบิงซูในห้างน่ะ มันแพง เธอก็เห็นว่าแม่เล็กไม่ได้ขายขนมได้เงินเยอะขนาดนั้น พวกเค้าต้องประหยัดกัน"

"อ้าว เหรอ อือม์ ก็จริง แต่ไม่เห็นจะเป็นไรเลย เราเลี้ยงเองก็ได้นี่ เราเลี้ยงได้ อาทิตย์นี้เรายังมีเงินค่าขนมเหลืออีกตั้งเยอะ" เราเต็มใจที่จะเลี้ยงทุกๆคนจริงๆนะ อยากกินบิงซูกับทุกๆคน คงสนุกน่าดู

แล้วเรนก็มองเราด้วยสายตาที่อ่อนโยนอย่างบอกไม่ถูก

"อื้อ เรารู้ว่าเธอมีน้ำใจ แต่คือ... แม่เล็กเค้าเป็นผู้ใหญ่ เค้าจะลำบากใจ ถ้าเราไปเลี้ยงเค้า"

"อ่าว เหรอ" เราหน้าจ๋อยไป แต่นี่เรนเค้าคิดมากไปหรือเปล่านะ หรือเป็นเราเองที่คิดน้อยไป

"ทำไมมันซับซ้อนจัง แล้วนี่เราไปทำให้แม่เล็กเขารู้สึกไม่ดีหรือเปล่าเนี่ย เฮ้อ ความจริงคุณยายกับน้าลินก็บอกเราบ่อยๆนะ ว่าบางทีเราซื่อแล้วก็พูดตรงเกินไป"

เรนถอนหายใจ เอื้อมมือมาขยี้ผมหน้าม้าของเรา

"เอ้อ ความจริงเป็นคนตรงๆแล้วก็จริงใจอย่างเธอก็ดีแล้วนะ แต่บางที กับบางคนบางครั้งก่อนเราจะพูดอะไร เราก็ต้องลองคิดถึงว่าถ้าเราเป็นเค้า เราจะรู้สึกยังไง"

แหม เห็นหน้าตาไม่สนใจโลกขนาดนี้ เรนเค้าเซ้นซิทีฟเหมือนกันนะเนี่ย

เรนที่ดูเหมือนจะเป็นเด็กกวนๆ เด็กดื้อที่ไม่เคยแคร์ใคร แต่เมื่อเราได้สนิทกับเรนมากขึ้น เราจึงเห็นอีกมุมหนึ่งของเรน เราว่าลึกๆแล้วเรนเป็นคนที่ใส่ใจคนที่ใกล้ชิดเค้านะ เท่าที่สังเกตได้เราว่าเรนเค้าแคร์ปู่ แคร์พ่อ แคร์แม่เล็ก แล้วก็แคร์ไอซ์กับคิวมากนะ

"ก็คงจะจริงของนาย เราคงไม่ทันได้คิดจริงๆ เฮ้อ แต่ช่างเถอะ งั้นเราไปกินบิงซูกันที่พารากอนกันสองคนก็แล้วกันนะ" เราคว้าข้อมือเรนออกเดินอย่างรวดเร็ว

วันนี้อากาศร้อนมาก อยากนั่งในห้างแอร์เย็นๆแล้วก็กินบิงซูโมจิถั่วแดงเย็นๆจะแย่อยู่แล้ว ตอนอยู่ในตลาดเรนซื้อโค้กใส่ถุงใส่น้ำแข็งมาแจกทุกคนคนละถุง เราดูดรวดเดียวหมดถุงเลย ในตลาดอากาศร้อนน่าอึดอัดมาก

ความจริงการไปตลาดคลองเตยวันนี้มันก็สนุกดีนะ แต่ให้ไปบ่อยๆคงไม่ไหว ไม่รู้ว่าคนในตลาดเค้าอดทนกันได้ยังไง ร้อนซะขนาดนั้น...

"เออ ลิสา เราคุยกับพ่อแล้วนะ จากนี้ไปเราคงต้องไปช่วยงานที่บริษัทตอนเย็นหลังเลิกเรียน"

เรนเอ่ยขึ้นขณะที่เราสองคนนั่งตากแอร์เย็นฉ่ำกันอยู่ในร้านบิงซูชั้นล่างของห้างพารากอน ฟังจากน้ำเสียงโดยไม่ต้องหันไปมองก็รู้ว่าเรนกำลังขิงอวดเราอยู่ โธ่ เราก็ช่วยงานคุณยายที่ร้านตัดเสื้อของคุณยายบ่อยๆ เราไม่เห็นต้องโอ่เลย

"เราคงไม่ได้แวะไปหาแม่เล็กตอนเย็นๆบ่อยๆอีกแล้วนะ งานที่บริษัทคงจะยุ่งน่ะ"

เหมือนว่าเรนจะทำตัวเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาทันทีภายในวันสองวันหลังจากที่น้าลินคุยกับเรนที่บ้านของคุณปู่เมื่อตอนนั้น เรนคงภูมิใจมากถึงมากที่สุดแหละ ดูออก

"ไม่เป็นไรเราไปหาแม่เล็กคนเดียวก็ได้" ปล่อยเรนเค้าภูมิใจไป นานๆทีเค้าคงมีเรื่องให้ภูมิใจในตัวเอง

"ลิสา คือ.." เรนทำท่าอึกอัก

"ทำไม" เราถามอย่างไม่สนใจเท่าไหร่ เรากำลังเอาช้อนไปขโมยตักโมจิจากบิงซูในถ้วยของเรน เรายังนึกไม่ออกว่าถ้าชีวิตนี้ขาดบิงซูไปเราจะเป็นยังไง

"เราไม่อยากให้เธอไปแถวนั้นคนเดียว แถวนั้นมันต่างจากแถวบ้านของพวกเรา เธอค่อยไปหาแม่เล็กตอนที่เราว่างดีกว่านะ"

"ไม่เอาอะ เราวางแผนไว้ตั้งเยอะแยะ เราต้องไปคุยแม่เล็กนะ เราอยากจะลองทำโน่นทำนี่อีกหลายอย่างเลย" เราดูแลตัวเองได้ดี นี่เรนไม่ไว้ใจเราเรอะ

"ไม่ได้ เธอห้ามไปหาแม่เล็กถ้าไม่มีเราไปด้วย" อยู่ๆเรนก็ขึ้นเสียงจริงจัง ทำให้เราต้องเงยหน้าขึ้นจากถ้วยบิงซูทันที อะไรของเค้า

"อิจฉาเราเหรอ กลัวเราเป็นลูกคนโปรดของแม่เล็กแทนนายเหรอ"

"ลิสา..." ดูเค้า ทำเป็นทำเสียงอ่อนอกอ่อนใจใส่เราอีกแล้ว แหม พอจะได้ไปช่วยงานพ่อ ก็ทำตัวเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาตลอดเวลาเชียว

"ขอร้องล่ะ ซอยบ้านแม่เล็กมันไม่ค่อยปลอดภัย ลิสาอย่าไปคนเดียวเลย คือ... เราเป็นห่วงเธอนะ อย่าทำให้เราไม่สบายใจสิ"

ในที่สุดเราก็ได้ยินสิ่งที่ไม่เคยคิดจะได้ยิน เรนเป็นห่วงเราจริงๆเหรอ แต่คำพูดนั้นก็ดูหนักแน่นและชัดเจน และสีหน้าของเรนก็ดูอ้อนวอนมากเลยนะ

เราควรจะเชื่อเรนดีหรือเปล่า ต่อไปนี้เรนก็จะงานยุ่ง เรากลัวจะไม่ได้ไปหาแม่เล็กอีก

"เรามีแผนการตลาดที่อยากจะช่วยแม่เล็กอีกตั้งเยอะ เรื่องการปรับปรุงการบรรจุหีบห่ออีก แล้วก็เรื่องการโฆษณาให้ขนมของแม่เล็กเป็นที่รู้จักในวงกว้าง"

"ลิสา แค่นี้เธอก็ช่วยเยอะแล้ว คือ... เรามาคิดๆดูแล้วนะลิสา บางทีถ้าเธอช่วยแม่เล็กมากไป มันอาจไม่เป็นผลดีก็ได้นะ"

เรนถอนหายใจอีกครั้ง วันนี้เรนเค้าถอนหายใจหลายครั้งแล้วจริงๆนะ ความจริงเรามาช่วยแม่เล็กก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอ กลับกลายเป็นว่า เรนเอาเรื่องโน้นเรื่องนี้มาคิดเยอะแยะไปหมด

"ไม่ดียังไง เรนก็เห็นแล้วนี่ วันนี้ขนมของแม่เล็กขายดีมาก"

"แต่ถ้าเธอช่วยคิดไปหมดซะทุกอย่างแบบนี้ แล้ววันนึงเกิดเธอไม่อยู่ขึ้นมา แม่เล็กเค้าจะทำยังไง เช่น ถ้าเธอเกิดเบื่อ ถ้าเธอเกิดหมดสนุกกับการขายขนมแล้ว หรือถ้าเธอไปสนุกกับการเรียนร้องเพลงแทน"

"ว้า ทำไมนายคิดมากอย่างนี้เนี่ย เรื่องนั้นไม่เห็นต้องกังวลเลย ก็ถ้าเราไม่อยู่ แม่เล็กกับคิวเค้าก็ทำต่อกันไปได้เองไง เราก็แค่เริ่มทำทุกอย่างเอาไว้ให้ได้เร็วที่สุดแล้วก็มากที่สุด"

"ลิสา... แม่เล็ก กับคิวเค้าไม่ใช่คนหัวเร็วอย่างเธอนะ เค้าต้องค่อยๆทำไปอะ" เรนทำเสียงอ่อนใจ

"เฮ้อ ช่างมันเถอะ นายวิตกมากไปป่าวเนี่ย" เรามองเรนอย่างเบื่อหน่าย จะคิดซ้ำๆไปถึงเรื่องที่ยังมาไม่ถึงทำไม

"เออ เรน เราว่าคุณฝนเค้าดูแปลกๆมากเลยนะ ตอนเค้าเห็นหน้านายอะ" เราเปลี่ยนเรื่องดีกว่า

"เหรอ เราไม่ได้สนใจ" คราวนี้เป็นฝ่ายเรนที่หันไปก้มหน้ากับบิงซูบ้าง

นี่ไง ทีอย่างนี้ล่ะไม่สนใจ คือถ้าไม่ใช่เรื่องของคนใกล้ชิด เรนเค้าไม่สนใจหรอก

"เราเห็นเค้าหน้าซีดไปเลยตอนเจอนาย ที่จริงน่ะคุณฝนเค้าหน้าดุมากเลยนะ ตอนคุยเรื่องขายขนม เค้าก็ดุ๊ดุ ดูน่ากลัวมากเลย แม่เล็กงี้นั่งตัวลีบเลย แต่เราไม่กลัวหรอก คุณยายเราก็คล้ายๆงี้"

"ช่างคุณฝนเค้าเถอะ เธอรีบๆกินบิงซูให้หมดซะ เราจะได้กลับบ้านกัน วันนี้ก็ออกมาแต่เช้า นี่จะสี่โมงเย็นแล้ว เดี๋ยวปู่รอ เย็นนี้พ่อเราเค้าไม่อยู่บ้านด้วย เห็นว่านัดมีกับเพื่อน"

"อื้อ เหมือนกันเลย เย็นนี้น้าลินก็ไม่อยู่บ้าน มีงานเลี้ยงรุ่น เรารีบกลับไปอยู่กับคุณยายดีกว่า"

"อ้อ อีกเรื่อง อย่าลืมนะลิสา เธออย่าเผลอพูดกับที่บ้านของเธอหรือที่บ้านของเราเรื่องมาช่วยขายขนมให้แม่เล็กนะ เรื่องร้านคุณฝนอะไรนี่ด้วย เรายังไม่อยากให้ปู่รู้เรื่องของคิวกับไอซ์"

โอ๊ย เรน นายช่างคิดอะไรซับซ้อนจริงๆ แต่เอาเถอะ สัญญาก็ต้องเป็นสัญญา

"ไม่ลืมหรอก เราสัญญากับนายแล้วไง นี่ปกติเราเล่าให้น้าลินกับคุณยายฟังทุกเรื่องแหละ จะมีก็แต่เรื่องเธอกับเรื่องที่มารู้จักพวกเพื่อนนอกโรงเรียนของเธอเท่านั้นที่เราไม่ได้เล่า"

"ดีแล้ว อย่างวันนี้เธอก็แค่บอกว่าออกมาเจอเพื่อน มาเจอเรา ไปกินบิงซูกัน ไปเดินเที่ยวกัน"

"คือไม่ได้โกหก เพียงแค่บอกไม่หมดใช่ไหม นายไม่ต้องห่วง ปกติน้าลินกะคุณยายเค้าไม่ค่อยซักไซ้เราหรอก เพราะเราเป็นฝ่ายเล่าก่อนมากกว่า จนพวกเค้าขี้เกียจจะฟังแล้ว"

"อื้อ ลิสาต้องเก็บเรื่องนี้เป็นความลับระหว่างเราสองคนนะ ครอบครัวเราจะไม่มีวันรู้เรื่องนี้" เรนย้ำกับเราอีกทีเป็นรอบที่ร้อย

"แต่เรายังสงสัย นายจะปิดคุณปู่เรื่องนี้ไปทำไม คุณปู่นายเค้าก็ใจดีออก เค้าไม่ว่านายหรอก"

"ปู่เคยบอกเราตอนเราเด็กกว่านี้ ว่าปู่ไม่อยากให้เราคบเพื่อนต่างโรงเรียน เราไม่อยากทำให้ปู่เสียใจ" พูดถึงตอนนี้เรนเค้าหน้าสลดไป

"อ้าว ก็ถ้าไม่อยากทำให้คุณปู่เสียใจก็ต้องไม่คบเพื่อนต่างโรงเรียนมั้ยอะ" ตรรกะอะไรของเรนเค้าเนี่ย คิดว่าปิดบังคุณปู่แล้วคุณปู่จะไม่เสียใจเหรอ

"แต่ตอนนั้นเราเป็นเพื่อนกับไอ้คิวไอ้ไอซ์แล้วไง เราชอบพวกมัน เราไม่อยากเลิกคบพวกมัน"

"เอ้อ จริงเนอะ เออ แล้วนายไม่ถามคุณปู่เหรอว่าทำไมถึงห้ามคบเพื่อนนอกโรงเรียน" เรายังสงสัย แล้วปกติถ้าเราสงสัยอะไร เราก็จะถามออกไปเลย เราไม่เก็บไว้ในใจเหมือนเรนหรอก

เรนนิ่งไปอึดใจหนึ่ง ทำท่าอึกอักไม่แน่ใจ แต่ก็มองหน้าเราแล้วพูดเบาๆ

"ปู่คงไม่อยากให้เราเป็นเหมือนพ่อมั้ง"

"แล้วพ่อนาย..." เราชะงักคำพูดไว้ได้ทัน เมื่อกี้เรนเพิ่งบอกเราอยู่หยกๆว่าก่อนจะพูดอะไรให้คิดถึงใจคนอื่นเขาบ้าง

"เอ้อ งั้นช่างมันเถอะนะ..." เราเอื้อมมือไปตบบ่าของเรน เรนเขาอาจจะไม่อยากพูดเรื่องนี้ในตอนนี้

"งั้นก็รอพวกเราโตกว่านี้แล้วค่อยบอกคุณปู่ถึงเรื่องไอซ์กับคิวก็แล้วกัน ถึงตอนนั้นคุณปู่เค้าคงไม่ว่าอะไรอะเนอะ"

เรนมองเราด้วยสายตาที่เราก็บอกไม่ถูก เรารู้สึกว่ามันเหมือนเป็นสายตาที่ผสมๆกันไปของความไว้เนื้อเชื่อใจ ความเป็นเพื่อน และความขอบคุณ

"นี่เรนรู้มั้ย ปกติเราเป็นคนไม่เคยมีความลับนะ แต่นานๆทีมีความลับกับผู้ใหญ่บ้างก็ตื่นเต้นดี" เราพูดกับเรนไปอย่างนั้น

แม้เราจะเชื่อว่าความลับไม่มีในโลก สักวันหนึ่งทุกคนรอบข้างเราก็ต้องรู้เรื่องนี้ แต่ถ้าเรนยังไม่อยากให้เราพูดถึงเรื่องนี้ และเราสัญญากับเรนไว้แล้ว เราก็จะไม่พูดถึง...