webnovel

ความรู้สึกดีๆ

"ตัวผมนี่น่ามองกว่ารูปภาพพวกนี้อีกหรือครับ"

คนปากแดงละสายตาจากภาพเขียนตรงหน้าแล้วหันมาที่ฉัน เรากำลังอยู่ในมิวเซียมเล็กๆน่ารักที่ชื่อ Rudana

หลังจากที่ออกจากป่าพญาลิง ฉันกับคุณเซนก็พากันมาที่นี่ตามความต้องการของฉัน (อีกเช่นเคย) มิวเซียมแห่งนี้ถูกใจฉันมาก เพราะรวบรวมคอลเล็คชั่นงานศิลปะความคลาสสิกทั้งแบบดั้งเดิมและแบบสมัยใหม่ และที่สำคัญภายนอกของอาคารหลังขนาดกะทัดรัดนี้ยังแวดล้อมไปด้วยความร่มรื่นของทุ่งนาสีเขียวชอุ่มเป็นที่เจริญหูเจริญตาอย่างที่สุด

ยามใดที่ฉันออกท่องเที่ยวไปตามเมืองต่างๆทั่วโลก ฉันมักจะถือโอกาสไปเยี่ยมชมมิวเซียมหรืออาร์ตแกลเลอรีประจำท้องถิ่นนั้นๆเสมอ ทุกครั้งที่ฝังตัวเงียบๆท่ามกลางบรรยากาศความงดงามของศิลปะเช่นนี้ ฉันจะรู้สึกสงบ ตัดขาดจากโลกภายนอก และรื่นรมย์เป็นอย่างมาก

แต่ในวันนี้… ความสงบในใจฉันนั้นกลับถูกดึงออกไปจนเสียสิ้น ตัวการร้ายก็คือกล้ามอกที่โผล่วับแวมทะลุออกมาจากเสื้อสีขาวตัวบางของคนข้างๆนี่

"ตั้งแต่เข้ามาในมิวเซียม ผมเห็นลินจ้องผมมากกว่าจ้องภาพวาดนะ" เจ้าของกล้ามเค้าเปรยมา

"แหม ก็นานๆทีจะเห็นเซนในลุคส์แบบนี้ ก็อดเผลอมองบ่อยๆไม่ได้น่ะสิคะ หล้อหล่อ" ฉันเกาะแขนเขาอย่างประจบ ปากหวานตามเคย แต่เอ จะว่าฉันปากหวานก็ไม่เชิงนะ เพราะฉันพูดความจริงนี่นา

ที่บาหลีนี่คนปากแดงข้างๆฉันเขากลายมาเป็นหนุ่มเจ้าเสน่ห์อย่างเหลือล้น โดยเฉพาะยามยิ้มหวานทั้งตาและปาก เหมือนเขาเป็นอีกคนหนึ่งที่ฉันไม่เคยรู้จักมาก่อน ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมผู้ชายคนนี้มีลูกตั้งแต่ยังอายุน้อย อือม์ ผู้หญิงคนนั้น… แม่ของเจ้าเด็กหัวฟ้านั่นเป็นใครกันนะ เดาเอาว่าในตอนนั้นเธอคงกำลังหลงเสน่ห์ของคุณเซนหัวปักหัวปำเหมือนกับฉันตอนนี้แน่ๆ

"ปากหวานนะเราน่ะ ว่าแต่ผมหล่อขนาดนี้แล้ว งั้นก็ห้ามไปชมผู้ชายคนอื่นอีกแล้วนะครับ" คนพูดเขาทำสายตาแวววาว

"แหมเซนก้อ… ว่าแต่เซนรู้ไหมคะว่าอดีตประธานาธิบดีซูฮาร์โตกับบารัคโอบามาเค้าก็เคยมาเยี่ยมเยียนที่นี่กันแล้วนะคะ" ฉันยิ้มเขิน แล้วก็เปลี่ยนเรื่องอย่างหน้าตาเฉย

"อ้อ ครับ เป็นข้อมูลที่น่าสนใจมาก" คนหล่อพยักหน้ายิ้มน้อยๆ ก่อนจะชี้ไปที่ภาพวาดตรงหน้าซึ่งเป็นภาพผู้หญิงบาหลีหลายคนกำลังร่ายรำอย่างอ่อนช้อย

"นี่ลินดูภาพนี้ครับ คนนี้เหมือนลินที่สุด" นิ้วเรียวนั่นเจาะจงไปที่ผู้หญิงคนซ้ายสุดของภาพ

"อูย เอวคอดขนาดนั้น ยอมค่ะยอม ไม่สู้" ฉันหัวเราะ

"เรื่องเอวอาจสู้ไม่ได้ แต่เรื่องลีลากับเรื่องความสวยนี่สูสีนะครับ" แววตานั่นระยิบระยับเชียว

ต๊าย ปากหวานกะคนแก่นะคะพ่อหนุ่ม ถึงจะวัยป้าแต่เจอชมซึ่งๆหน้าแบบนี้ ป้าก็เขินเป็นนะคะพ่อหนุ่ม

"ว่าแต่เซนรู้ไหมคะ ว่าศิลปะแบบผสมผสานของบาหลีนี่เกิดจากการหล่อหลอมรวมกันของวัฒนธรรมประเพณีอันหลากหลายนะคะ ไม่ว่าจะเป็นจีน พุทธ อินเดีย ฮินดู ชวา และโลกตะวันตก" ฉันดับความเขินด้วยข้อมูลทางศิลปะอันเข้มข้น

"อื้อม มีเสน่ห์มากๆ" คนปากแดงเขาพึมพำ

"ศิลปะบาหลี?"

"ป่าว ลินนั่นแหละ" นัยน์ตาหวานเยิ้มก็มาอีก

"เซนดูนี่สิคะ นี่เป็นภาพวาดสไตล์ดั้งเดิมของบาหลีเลยนะคะ เป็นสมัยช่วงก่อนปี ค.ศ. 1920 น่ะค่ะ เขาเรียกว่าสไตล์ Kamasan หรือ Wayang ส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับมหากาพย์ฮินดูชวา หรือไม่ก็เป็นเรื่องราวของชนพื้นเมือง" อีกครั้งที่ฉันดับความเขินด้วยองค์ความรู้ทางศิลปะบาหลีอันน้อยนิดที่มีอยู่

"อื้อม น่าสนใจค้นหามากๆ" คนปากแดงเขาพึมพำอีก

"ศิลปะบาหลี?"

"ป่าว ลินนั่นแหละ" แล้วนัยน์ตาหวานเยิ้มก็มาอีก

โอว การจีบกันในมิวเซียมนี่มันช่างคลาสสิคดีจริงๆ วันนี้คือวันปากหวานโลกหรืออย่างไร

นัยน์ตาเยิ้มของคุณเซนทำเอาฉันเขินม้วนจนต้องเสทำเป็นมองไปรอบๆอย่างคนที่โคตรจะสนอกสนใจในศิลปะ

แต่แล้วสายตาฉันก็ไปสะดุดกับแผ่นหลังของใครบางคนที่คุ้นเคย

ไม่นะ! ไม่จริงใช่ไหม ไม่ใช่หรอก ไม่ใช่เขาแน่ๆ ไม่มีทางจะเป็นไปได้!

"พี่โป๊ปปปปปปป!!!" ฉันลืมตัวจนเผลออุทานลั่น

"อะไรครับลิน เกิดอะไรขึ้น" คนข้างๆฉันเขาสะดุ้ง หันมามองอย่างตกใจ

"พะ พะ พี่โป๊ปปปปปปป!!!" ฉันยังไม่สามารถคุมสติตัวเองไว้ได้

"โป๊ปไหน โป๊ปพระสันตะปาปาเนี่ยนะ ท่านมาที่นี่หรือ" คุณเซนเริ่มเลิ่กลั่กตาม หันซ้ายหันขวามองหาบุคคลสำคัญที่เขาเอ่ยถึง

"ไม่ใช่ค่ะ ไม่ใช่พระสันตะปาปา เขาคนนั้นคือพี่โป๊ป ธนวรรธน์" ฉันชี้มือไปทางชายหนุ่มตัวสูงขาวซึ่งกำลังยืนชมภาพเขียนอยู่ที่อีกด้านหนึ่งของห้อง

"ใครเหรอครับ คุณธนวรรธน์?"

"ธนวรรธน์ วรรธนะภูติ คุณเซนคงไม่รู้จัก เค้าเล่นละครเรื่องบุพเพสันนิวาสเมื่อสองปีก่อน ดังมากมากเลยค่ะ"

"อ๋อ แล้ว?"

"เราก็ต้องไปขอลายเซ็นกับขอถ่ายรูปกับเค้าสิคะ" ฉันกระซิบกระซาบ เนื่องด้วยกลัวไก่ตื่น พี่โป๊ปดูเหมือนจะมาคนเดียว และแถวนี้เหมือนจะไม่มีใครรู้จักเขา แต่ถึงกระนั้นพี่โป๊ปก็ยังพยายามพลางกายด้วยหมวกแก๊ปปิดหน้าปิดตา

"นี่ลินบ้าดาราด้วยหรือครับเนี่ย"คนข้างๆฉันเขาย่นคิ้วพลางยิ้มเยาะๆ

"ไม่ใช่ลินค่ะ แต่เป็นน้องเยลลี่ค่ะ น้องเยลเป็นแฟนคลับตัวยงของพี่โป๊ป น้องต้องกรีดร้องหนักมากถ้ารู้ว่าลินได้เจอดาราในดวงใจของเขาแบบใกล้ชิด"

ฉันอดที่จะตื่นเต้นแทนน้องเยลไม่ได้จริงๆ ยิ่งการเจอพี่โป๊ปในหอศิลป์แบบนี้ยิ่งคลาสสิค ฉันได้ยินมาจากน้องเยลว่า พี่โป๊ปเขาวาดรูปเก่ง และเป็นอดีตเด็กช่างศิลป์ด้วย

"ผมว่าอย่าไปรบกวนลุงเขาเลยดีกว่ามั้ง เขาอุตส่าห์มาแบบส่วนตัวเงียบๆ" คนขี้เกรงใจเริ่มคัดค้าน

"ไม่ได้ค่ะเซน โอกาสอย่างนี้ไม่ได้หาได้ง่ายๆ น้องเยลเค้าคลั่งไคล้พี่โป๊ปขนาดหนักเลยนะคะ น่า แค่แป๊บเดียวนะคะ ยังไงก็ต้องได้รูปคู่กับพี่โป๊ป" ฉันทำเสียงหนักแน่นเป็นงานเป็นการ

"โอเค งั้นตามสบายครับ ผมยืนรออยู่ตรงนี้นะ" แล้วคนขี้เกรงใจเขาก็ทำท่าจะหันไปสนใจกับภาพเขียนที่ผนังต่อไป

"อ้าว ต้องไปด้วยกันสิคะ" ฉันรีบคล้องแขนคุณเซนเอาไว้แน่น แล้วกึ่งลากกึ่งพาคุณเขาออกเดิน

"ไปด้วยทำไมอะ ก็ลินเซลฟี่เอาก็ได้หนิ" คนปากแดงเขาบ่ายเบี่ยงและพยายามจะขัดขืน

"ก็รูปคู่ที่ลินอยากจะได้ คือรูปของเซนกับพี่โป๊ปน่ะสิคะ" แต่ฉันก็ไม่สนใจ กลับยิ่งล็อกแขนเขาไว้แน่น และเริ่มออกแรงจูงคนตัวสูงอย่างจริงจัง

"เฮ้ย ไม่เอา ไม่เคยถ่ายรูปกับดารา ผมเขิน ทำหน้าไม่ถูก" เขาขืนตัวเอาไว้ และหยุดเดินเอาดื้อๆ

"เซน!" ฉันหันไปทำหน้าตาขึงขัง

"นี่ถือเป็นการเอาใจใส่ต่อพนักงานนะคะ เซนลองคิดดูนะคะ ว่าน้องเยลจะดีใจแค่ไหนถ้าได้เห็นรูปหัวหน้าสุดหล่อที่น้องเค้าแอบปลื้มกับดาราสุดหล่อที่เค้าคลั่งไคล้ยืนถ่ายรูปอยู่เคียงคู่กัน"

"เฮ้ย ไม่เอา เดี๋ยวลุงดาราหน้าจืดนั่นเขาจะเสียความมั่นใจ" แม้จะเป็นประโยคปฏิเสธ แต่ฉันก็จับได้ว่าน้ำเสียงนั้นเริ่มอ่อนลงเมื่อฉันเอาเรื่องของการเป็นหัวหน้ามาอ้าง

"เป็นผู้บริหารก็ควรจะต้องทำทุกอย่างเพื่อพนักงานนะคะ ถึงแม้จะฝืนใจก็ตาม" ฉันทำน้ำเสียงเหี้ยมใส่

"เอ้อ…" ความยอมจำนนนิดๆเริ่มมาแล้ว แต่ความเล่นตัวหน่อยๆก็ยังมีอยู่

"รีบไปกันเถอะค่ะ ก่อนที่พี่โป๊ปจะไหวตัวทันแล้วชิงหนีไปก่อน"

"ไม่..."

แต่ณ จุดจุดนี้ ฉันไม่รอฟังเสียงทัดทานจากหนุ่มปากแดงคนนี้อีกต่อไป เพื่อน้องเยลที่รักยังไงๆวันนี้ฉันก็ต้องได้ถ่ายรูปคุณเซนคู่กับพี่โป๊ปให้ได้!

"เอ เอาใบไหนให้คิตตี้ดีนะ"

ฉันพึมพำขณะยืนเลือกโปสต์การ์ดอยู่ในร้านขายของที่ระลึกในมิวเซียม หลังจากที่ได้รูปถ่ายของคุณเซนกับพี่โป๊ปไปฝากน้องเยลลี่แล้ว ฉันก็อยากจะส่งโปสต์การ์ดไปให้น้องๆในทีมอีก นี่เลือกของสุกรีกับของน้องเอกได้แล้ว ยังเหลือของคิตตี้ แล้วก็ของน้องเยลลี่ ส่วนของลุงราเชนทร์กับเจ้าเด็กหัวฟ้านั่น ฉันบังคับเลือกให้คุณเซนเขาเรียบร้อยแล้ว

"ใบนั้นไหมครับ ผมว่าเหมาะกับคุณกิตติพัทธ์" คนข้างๆเขาชี้มือไปยังใบที่เป็นรูปวาดหน้ากากยักษ์โบราณ

"ว้าย บูลลี่กันหรือเปล่าคะเนี่ย" ฉันหันไปขมวดคิ้วใส่

"เปล๊าาาา" คนเลือกปฏิเสธเสียงหลงทำหน้าตาเหลอหลา

"อือม์ แต่ก็เหมาะดี" ว่าแล้วฉันก็หยิบโปสต์การ์ดใบที่คุณเซนเขาเลือกออกมารวมกับใบอื่นๆที่เลือกไว้แล้ว

"อ้าว!" คนข้างๆหัวเราะเบาๆ

"ยังเหลืออีกใบของน้องเยลลี่ค่ะ เซนช่วยเลือกทีสิคะ เซนเลือกเก่ง" ฉันโยนความรับผิดชอบไปให้เขาพร้อมกับคำเยินยอ

"โอย คุณเยาวลักษณ์เขาได้รูปถ่ายผมกับลุงโป๊ปนั่นไปแล้ว ไม่ต้องเอาแล้วครับโปสต์การ์ดน่ะ"

"ใจร้าย รูปถ่ายนั่นมันแค่ของแถมค่ะ แต่โปสต์การ์ดนี่ต้องได้ทุกคน" ฉันทำเสียงจิ๊จ๊ะ ขืนส่งให้ไม่ครบคน มีหวังได้โวยวายกันยกใหญ่แน่

"อ้าว เห็นผมเป็นของแถมไปซะอีก รู้งี้ไม่ไปถ่ายด้วยหรอก" แล้วน้ำเสียงงอนๆก็ดังแว่วมา

"แหม ทำเป็นขี้น้อยใจ โอ๋ โอ๋" ฉันรีบเอาอกเอาใจคนขี้น้อยใจด้วยการหันไปเขย่งจุ๊บติ่งหูที่มีรูเจาะสามรูพร้อมตุ้มหูนั่นเบาๆ ทำเอาคนปากแดงยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ก่อนจะเลือกหยิบโปสต์การ์ดขึ้นมาอีกสองใบ

"โอเค งั้นใบนี้ของคุณเยาวลักษณ์ก็แล้วกันครับ แล้วก็ใบนี้ของลิน"

"คะ ของลิน?"

"ลินลองเขียนส่งถึงตัวเองดูบ้างสิครับ เขียนถึงความทรงจำดีๆ อย่างเช่น… สวัสดีลิน ตอนนี้ลินอยู่แถวๆเมืองอูบุด อากาศร้อนมาก แดดจ้าทุกวันเลย ส่วนไก่ย่างอูบุดก็ไม่เห็นอร่อยอย่างที่เขาว่า แต่ผู้ชายคนข้างๆนี่แซ่บมาก ลินดูแลตัวเองดีๆนะ จากลิน… ไรแบบนี้"

"…" ฉันถึงกับอึ้งไปกับคำแนะนำอันแปลกประหลาดนั้น

"ว้าว! คูล! เซนได้ไอเดียนี้มาจากไหนคะเนี่ย" แต่เมื่อได้สติ ก็พบว่ามันเป็นคำแนะนำที่เจ๋งเอามากๆ

"แม่ผมเค้าชอบทำเวลาที่เราไปเที่ยวกัน เค้าว่ามันเป็นการบันทึกความรู้สึกของเราที่มีต่อสถานที่นั้นขณะนั้นๆ เพราะถ้าจะรอกลับมาเขียนไดอารี่ อารมณ์มันจะไม่ได้แล้ว"

"โอย คุณโทโมโกะน่ารักอ่า"

ยิ่งได้รู้จักตัวตนของคุณโทโมโกะผ่านคุณเซน ฉันยิ่งปลาบปลื้มผู้หญิงคนนี้เข้าไปใหญ่ จากเดิมที่เคยปลื้มแต่ผลงานออกแบบ แต่ตอนนี้ยังปลื้มตัวตนของคุณโทโมโกะไปอีกด้วย เสียดายจังที่ไม่มีโอกาสได้เจอตัวจริง

เอ๊ะ แต่เดี๋ยวนะ นี่ความแก่ของฉันทำให้คุณเซนเขารู้สึกคิดถึงแม่ขึ้นมาอีกแล้วรึ

ไม่ได้การละ ต้องรีบดึงประเด็นกลับมาที่เรื่องของโปสต์การ์ด

"และยิ่งสมัยนี้นะคะ เราไม่ค่อยจะได้เห็นลายมือเขียนของใครง่ายๆแล้ว โปสต์การ์ดนี่เป็นที่ระลึกอย่างดีเลยค่ะ หยิบขึ้นมาอ่านทีไรก็ซาบซึ้ง" ฉันทำหน้าเคลิ้ม คิดไปถึงบรรดาเจ้าพวกกระดาษแผ่นๆที่เคยได้รับจากเพื่อนฝูงญาติพี่น้อง

"ถ้าลินอยากได้ลายมือของผม เดี๋ยวผมคอยเก็บโพสต์อิทที่ผมแปะๆอยู่ที่โต๊ะทำงานเอาไว้ให้ไหมครับ" คำถามนั้นกึ่งหยอกเย้า

"อย่าพูดเล่นนะคะ ลินเอาจริงนะ นี่ไงโพสต์อิทลายมือของเซนเมื่อตอนเช้า ลินก็เก็บไว้อย่างดีเลยนะคะ"

ฉันหยิบเจ้ากระดาษโน้ตแผ่นเล็กที่ถูกสอดไว้ในสมุดไดอารี่เล่มเล็กจากกระเป๋าสะพายขึ้นมาอวดคนตรงหน้า

'เดี๋ยวผมกลับมา' ฉันอ่านทวนข้อความสั้นๆนั้นเบาๆ

"ประโยคน่าร้ากกกกก ลายมือก็สวย" อดไม่ได้ที่จะเอาเจ้ากระดาษเป็ดน้อยขึ้นมาแนบแก้มอย่างเผลอตัว

มองไปก็เห็นสายตางงๆของเจ้าของลายมือ แต่เมื่อเห็นท่าทางทะนุถนอมของฉันที่มีต่อเจ้าเป็ดน้อย สายตางงๆนั่นก็เปลี่ยนเป็นสายตาอ่อนโยนอย่างลึกซึ้ง และรอยยิ้มบางๆก็ค่อยๆปรากฏขึ้นที่มุมปากแดงๆนั้น

"ลิน…" เขายื่นปลายนิ้วเรียวมาสัมผัสโหนกแก้มของฉันพร้อมทั้งลูบไล้ไปมาเบาๆ

ฮึ คุณเซนจะคิดไงก็ช่าง แต่ฉันเห็นคุณค่าของของทุกชิ้นที่มีคนให้ ฉันเก็บพวกมันไว้อย่างดีแยกไว้เป็นกล่องๆ นี่กล่องของเพื่อนมัธยม กล่องของเพื่อนมหาวิทยาลัย กล่องของญาติๆ กล่องของเพื่อนร่วมงาน และก็แน่นอน… ต้องมีกล่องของแฟนเก่าด้วย

แม้ว่าเวลาจะผ่านไปเนิ่นนานเท่าไหร่ ฉันก็ไม่เคยคิดจะทิ้งของที่ได้รับมา หลายครั้งที่ฉันเหนื่อยล้าจากชีวิต ฉันจะค่อยๆเปิดเจ้ากล่องพวกนี้ หยิบข้าวของเหล่านั้นขึ้นมาดูทีละชิ้น การได้เห็นพวกมันอีกครั้งจะทำให้ฉันตระหนักได้ว่า ครั้งหนึ่งฉันก็เคยมีคนที่เค้านึกถึงฉัน และแม้ว่าวันนี้เราอาจไม่ได้ติดต่อกันอีกแล้ว พวกเขาอาจลืมฉันไปแล้ว แต่แค่นี้ฉันก็พอใจ ฉันไม่ได้คาดหวังว่าทุกสิ่งหรือทุกความสัมพันธ์จะคงอยู่กับฉันตลอดไป

แค่ครั้งหนึ่งที่ฉันเคยได้มีโอกาสสัมผัสกับความรู้สึกดีๆบ้าง แค่นี้ฉันก็ชุ่มชื่นหัวใจแล้ว…