เขาจำคืนนั้นได้ เขามีสติครบถ้วนสมบูรณ์ดี เพียงแค่ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ ยามที่ได้เข้าใกล้นาง มันทำให้เขาถวิลหาความอิ่มเอมในคืนนั้น แต่เพราะทิฐิของตนทำให้พลาดโอกาสทองนั้นไปแล้ว ไปพูดกับนางตอนนี้ ผลลัพธ์จะแตกต่างออกไปงั้นหรือ
เจิ้นหลินเฟิงจึงทิ้งนางไว้ในตำหนักของตนเช่นนั้นเขาเลือกจะเดินออกมาจากห้องแม้ในใจจะอยากโอบกอดนางเท่าไหร่ แต่ตอนนี้เขาไม่สามารถทำได้ ตั้งแต่ที่รู้ว่าลู่เหิงเทาคือส่วนหนึ่งที่ทำให้มารดาเขาต้องดื่มสุราพิษ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เขาก็มิอาจมองหน้านางและคนตระกูลลู่ได้ดังเช่นเดิม
ที่พวกเขาชุบเลี้ยงตนให้การศึกษาให้อยู่ที่เหมิงจู ไม่ใช่เพราะอยากชดเชยความผิดหรอกหรือ ไม่ใช่ว่าเพราะหากว่าวันใดวันหนึ่งเขารู้ความจริง ก็จะเอาเรื่องนี้มาเป็นข้ออ้างเพื่อลดความผิดของพวกตน
หึ!! ฝันไปเถอะคนตระกูลลู่เขาไม่มีวันให้เกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้นได้หรอก
เมื่อรู้สึกว่าเจิ้นหลินเฟิงน่าจะไปจากไปแล้ว หญิงสาวจึงพยายามหอบร่างของตนออกจากตำหนัก เร้นกายในเงามืด นางไม่ต้องการให้ใครเห็นว่าออกมาจากตำหนักของเขา นางไม่อยากได้ยินคำครหาหลังจากนี้ แค่กลายเป็นหญิงในโรงซักล้างก็น่าอดสูมากพอดู
ระหว่างเดินก้มหน้าหลบซ่อนกายอยู่นั้น รถม้าคันหนึ่งเคลื่อนผ่านนางไป รอบคันหรูหราสวยงามประดับสัญลักษณ์แคว้นเว่ย ลู่ซีจึงรู้ทันทีว่านั่นเป็นรถม้าของซวนผิงอี้ มันกำลังมุ่งตรงไปยังตำหนักของเจิ้นหลินเฟิง นี่มันเวลาเท่าไหร่กันแล้ว รถม้าของหญิงสาวไปที่นั่นจะเป็นอื่นใดไปได้กันล่ะ
ลู่ซีทำแค่เพียงก้มหน้ามองดิน หลบซ่อนสายตาไม่ต้องการให้คนบนรถม้าเห็นว่าเป็นนาง
หวนคิดถึงตอนที่พวกเขายังเด็ก ทำไมจะไม่รู้ว่าพวกเขามีจิตปฏิพัทธ์ต่อกัน ความรักของพวกเขาสามคนพัวพันกันเป็นวงล้อ เมื่อรถม้าเคลื่อนตัวจากไปแล้วลู่ซีได้แต่หัวเราะอย่างขมขื่น
หากเป็นคนอื่นเจอความทุกข์ระทมเช่นนี้คงก้มหน้ากอดเข่าร้องไห้ไปแล้ว แต่หยาดน้ำตาของลู่ซีไม่เคยหลั่งรินมานานแล้ว ตั้งแต่เหตุการณ์ในปีนั้น ยกเว้น!! เสียก็แต่เหตุการณ์ในคืนนั้น ซึ่งจะเรียกว่าร้องไห้ก็ไม่เชิง
เช้าวันรุ่งขึ้น!!
พิธีแต่งงานเชื่อมสัมพันธไมตรีระหว่างแคว้นเว่ยและเหลียงเป็นที่ทราบกันทั้งเมือง ประชาชนต่างก็ยินดี ไม่มีใครไม่รู้ว่า ว่าที่เจ้าบ่าวก็หล่อเหลาสง่างาม เจ้าสาวก็งดงามอันดับหนึ่งไม่เป็นรองใคร นี่สินะที่เขาเรียกกันว่าคู่สร้างคู่สม
เรื่องจากภายนอก ในโรงซักล้างนั้นมีหรือลู่ซีจะไม่รู้เรื่อง เดินไปตรงไหนก็ล้วนได้ยินบทสนทนาเรื่องนี้กันทั้งนั้น ไม่มีใครไม่ซุบซิบนินทา ไม่มีใครไม่พูดถึง
"นี่พวกเจ้ารู้หรือเปล่าองค์ชายรัชทายาทจะแต่งงานเดือนหน้าแล้ว" หญิงสาวในโรงซักล้างผู้หนึ่งวิ่งโร่เข้ามาในโรงซักล้าง นางได้ยินเรื่องพวกนี้มาตอนพวกขันทีเดินผ่านจึงรีบนำมาเล่าต่อเพราะกลัวจะลืม
"เร็วขนาดนั้นเชียวหรือ" อีกคนถาม
"เร็วเรวอะไรกันพวกเขาเป็นเพื่อนเล่นกันตั้งแต่เด็ก ๆ นี่ข้าว่ายังช้าไปด้วยซ้ำ องค์หญิงอายุตั้ง 18 แล้วควรแต่งงานเร็วกว่านี้ด้วยซ้ำ" คนที่เข้ามาส่งข่าวเป็นผู้พูด
"งั้นก็แสดงว่าที่ผ่านมาทั้งคู่ต่างเฝ้ารอกันและกัน ตัวองค์ชายรัชทายาทเองก็สร้างชื่อเสียงสร้างโอกาสเพื่อกลับคืนสู่ฐานะตน"
"ส่วนองค์หญิงก็ไม่ยอมออกเรือนเพื่อรอวันนี้วันที่องค์ชายของเรามีทุกอย่างเพียบพร้อม" พวกบ่าวโรงซักล้างได้แต่ทำหน้าเพ้อฝันลอยไปลอยมา
เรื่องที่พวกเขาพูดลู่ซีเห็นด้วยทุกประการ คืนนั้นระหว่างเขาและนางมันเป็นแค่เรื่องผิดพลาด ผิดที่นางใจดีเกินไป
จนกระทั่งถึงตอนนี้นางก็ยังไม่รู้เหตุผลที่ตนเองต้องมาอยู่ที่นี่ หรือเพราะว่าเขารักซวนผิงอี้มากจนกลัวว่านางจะเอาเรื่องนั้นไปกดดันให้เขารับนางเป็นภรรยางั้นหรือ
ลู่ซีส่ายหน้าเล็กน้อยเพื่อสลัดความคิดวุ่นวายในหัวออกไปและลงมือทำงานต่ออย่างขะมักเขม้น เมื่อเรื่องเป็นเช่นนี้แล้ว ก็เพียงแค่รอวันที่ฟ่านอี้หยวนนัดเอาไว้ก็พอ เจ้าเด็กนั่นสัญญากับนางไว้แล้วว่าจะมารับนางไปอยู่กับครอบครัวที่แคว้นอู่
อีกคนหนึ่งที่ลู่ซีคิดถึงคือพี่เซียวเหอ ไม่รู้ว่าป่านนี้เขาจะเป็นเช่นไร หากมีโอกาสนางจะต้องกลับไปตัดสัมพันธ์ให้ได้ นางเป็นสตรีมีราคีซ้ำยังกลายเป็นชนชั้นต่ำ มีสิทธิ์อะไรไปแต่งงานกับบุรุษเช่นเขากัน...
จนกระทั่งช่วงบ่ายคนของแคว้นเว่ยก็มาตามหาลู่ซี
"มีรับสั่งจากองค์หญิงซวนผิงอี้ เมื่อครั้งอดีตเคยเป็นสหายที่รู้ใจ จึงอยากให้ลู่ซีไปช่วยปรนนิบัติเตรียมตัวก่อนจะถึงวันแต่งงาน"
หญิงสาวก้มหน้ารับคำสั่งอย่างเชื่อฟัง แน่นอนว่าด้วยสถานะเช่นนาง นางจะปฏิเสธพวกเขาได้อย่างไรกันว่าไม่อยากทำ
"รับบัญชา" หญิงสาวค้อมกายรับบัญชาอย่างเชื่อฟัง
คนอื่น ๆ ในโรงซักล้างเห็นแล้วต่างก็อิจฉาที่นางได้ออกไปอยู่ข้างนอกนั่น แต่ใครเลยจะรู้ว่าในใจลู่ซีการได้อยู่ที่นี่ อาจทำให้นางรู้สึกทรมานใจน้อยกว่าก็เป็นได้
บ่ายวันนั้นลู่ซีเก็บของไปยังตำหนักรับรองของซวนผิงอี้ หญิงสาวได้อยู่ห้องเล็ก ๆ ด้านข้างที่ไม่ห่างจากห้องพักส่วนองค์หญิงแคว้นเว่ย
"พี่ซีซี" ซวนผิงอี้ยิ้มสดใสเมื่อเห็นหน้าลู่ซี
ลู่ซีเองก็ยิ้มตอบรับอย่างอ่อนโยนเช่นเคย
"ถวายพระพรองค์หญิง" ลู่ซีทำความเคารพ
ซวนผิงอี้เห็นลู่ซีทำความเคารพตนเองก็รีบเข้าไปรับไว้
"ได้อย่างไรกันเล่าพี่ซีซี ข้าเป็นเด็กท่านเป็นผู้ใหญ่กว่า จะให้คนอายุเยอะกว่าเช่นท่านมาทำความเคารพข้าได้ยังไงกัน"
"ตอนนี้สถานะข้าไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้วเพคะ การทำความเคารพเป็นเรื่องที่ถูกต้อง และเป็นเรื่องที่สมควรทำ บ่าวรับใช้ในวังเช่นข้าไหนเลยจะมาสนใจเรื่องเช่นนี้" ลู่ซีก้มหน้าตอบ
"โธ่" ซวนผิงอี้เห็นแล้วก็รู้สึกเห็นใจ อดีตนางเคยเป็นถึงสตรีสูงศักดิ์ แต่ตอนนี้ถูกปลดเป็นเพียงชนชั้นต่ำเท่านั้น "ไม่ได้แล้วข้าจะไปพูดกับเจิ้นหลินเฟิง ให้เขาลดโทษให้ท่าน อย่างน้อยให้ท่านกลับไปใช้ชีวิตที่เหมิงจูเช่นเดิมก็ได้"
ลู่ซีมองใบหน้าของหญิงสาวที่อ่อนกว่าตนด้วยความซาบซึ้ง พร้อมกับรั้งมือนางเอาไว้
"อย่าลำบากเลยเพคะองค์หญิง หม่อมฉันไม่อยากรบกวนพระองค์ การได้ย้ายจากโรงซักล้างมาอยู่ที่นี่ก็ดีมาก ๆ แล้ว"
ยามเมื่อลู่ซีสัมผัสกับมือนุ่มนิ่มของซวนผิงอี้ หญิงสาวเองต้องตกใจรีบคว้ามือของพี่สาวแสนดีคนนั้นมาพิจารณาดู
"พี่ซีซีเหตุใดมือของท่าน" ใบหน้าสวยงามของซวนผิงอี้น้ำตาริน มือที่เคยสวยงามของลู่ซีเหตุใดจึงหยาบกร้านมีแต่รอยแผลเป็นทั้งเก่าและใหม่ ซ้ำตามร่างกาย ก็มียังรอยฟกช้ำเต็มไปหมด
ช่วงเวลานั้นเจิ้นหลินเฟิงมาที่ตำหนักของซวนผิงอี้พอดี ลู่ซีจึงยังไม่ทันจะได้อธิบายเรื่องใดต่อ
การที่ลู่ซีได้มาอยู่กับซวนผิงอี้เขาเป็นคนอนุญาตนางเองในเรื่องนี้ เขาคิดทบทวนเรื่องการแต่งงานในครั้งนี้มาหลายวันแล้ว การได้แต่งงานกับองค์หญิงแคว้นเว่ย จะช่วยให้สถานะที่ไม่มั่นคงของเขาแข็งแกร่งได้ในภาคหน้า เพราะยังมีกลุ่มคนที่คิดจะล้างแค้นให้กับลู่จวิ้นอ๋องอีกหลายกลุ่ม ไม่รู้ว่าคนพวกนั้นจงรักภักดีอะไรกับชายผู้นั้นนักหนา
ส่วนเรื่องที่ว่าเขารักนางไหม ตอนนี้เขาก็หาคำตอบนั้นไม่ได้เช่นกัน