เจิ้นหลินเฟิงไม่ได้กลับเหมิงจู แต่เปลี่ยนเส้นทางไปเมืองหลวงแทน ระหว่างนั้นผู้ที่เรียกตนว่าเหล่าเซี่ยปรากฏตัวขึ้นทิ้งจดหมายและแผนการไว้ให้เขา หากอยากแก้แค้นลู่จวิ้นอ๋องและกลับคืนสถานะเดิม ให้เขาอ่านและพิจารณาแผนการทั้งหมด
ในนั้นแนะนำให้เขากำจัดลู่จวิ้นอ๋อง ทำเช่นไรก็ได้ให้คนผู้นั้นถูกปลดออกจากตำแหน่งและตกต่ำจนถึงขีดสุด ให้กลายเป็นคนสิ้นไร้ไม้ตอก
เหล่าเซี่ยส่งจดหมายมาพร้อมกับหลักฐานการปล่อยโจรเข้าป่า เรื่องละเลยกฎหมายไม่เอาความคนผิดของลู่จวิ้นอ๋องหนักหนานัก เขาปล่อยพวกมันกลับเข้าป่าโดยไม่ลงโทษที่พวกมันปล้นเสบียงหลวง ซึ่งไม่ใช่แค่คนสองสามคน แต่เป็นกองโจรทั้งกอง พวกมันมีขุมกำลังเฉียดร้อยคน ไม่แน่ว่าอาจเป็นแผนซื้อใจโจรป่า ไว้วางแผนล้มราชบัลลังก์อยู่ลับหลังก็เป็นได้
คนของเหล่าเซี่ยแอบแฝงอยู่ข้างกายองค์จักรพรรดิมาโดยตลอด หลายปีนี้พยายามยุยงให้เจิ้นเฉาเคลือบแคลงสงสัยในตัวน้องชายผู้นี้อยู่เสมอ
นานวันเข้าความแคลงใจก็สุมอก เริ่มเอียงเอนเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
ในการประชุมขุนนางครั้งสำคัญ ลู่จวิ้นอ๋องเกิดขัดพระทัยเรื่องการโยกย้ายกำลังพล องค์จักรพรรดิเริ่มไม่วางใจน้องชายบุญธรรม สั่งยึดตราตั้งกองทัพสามแสนนายคืน
แต่ลู่จวิ้นอ๋องขัดขืน เพราะอดีตองค์จักรพรรดิผู้ล่วงลับกำชับไว้ว่า จะส่งคืนได้ก็ต่อเมื่อเขาตายเท่านั้น
เจิ้นเฉาบีบน้องชายผู้นี้ทุกทางทั้งใช้บุตรสาวบุตรชายมาข่มขู่ สุดท้ายจึงยอมยกให้แต่โดยดี ถูกปลดจากตำแหน่งจวิ้นอ๋องที่พระราชทานโดยอดีตฮ่องเต้ กลายเป็นชนชั้นต่ำในช่วงเวลาไม่นาน
ส่วนตัวเจิ้นหลินเฟิงก็กลับคืนสู่ตำแหน่งรัชทายาท
คนอื่นล้วนถูกส่งไปอยู่คุกหลวง แต่ลู่ซีถูกส่งมาสถานที่หรูหราแห่งหนึ่ง ลู่ซีสวมชุดเก่าเหม็นสาบ นางอยู่ในชุดนี้เกือบเดือนแล้วเห็นจะได้ทั้งเหม็นทั้งชื้น น่าแปลกที่ระดูของนางไม่มาร่วมสองเดือนแล้ว อาจจะเป็นเพราะร่างกายของนางตอนนี้อ่อนแอก็เป็นได้
เนื้อตัวเจ็บระบมเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำ ร่างกายถูกทรมานแผลเก่าแผลใหม่สะสมเต็มร่างไปหมด โชคดีอย่างเดียวคือนางไม่งดงาม ทำให้พวกมันไม่แตะต้องให้มัวหมอง
เมื่อถึงประตูใหญ่ พวกมือปราบโยนนางให้กับทหารองครักษ์และรับเงินสินน้ำใจด้วยท่าทียิ้มแย้มแจ่มใส่ ลู่ซีเห็นแล้วรังเกียจ
ชุดของคนที่ออกมารับตัวนาง ทำให้รู้ว่าที่นี่คือวังหลวง
ทหารองครักษ์ลากนางไปตามทางไม่ปล่อยให้นางได้มีโอกาสพูดอะไรทั้งสิ้น ครู่หนึ่งก็ถูกเตะโด่งเข้าไปในโถงงานเลี้ยง สายตาของหญิงสาวปรับตัวไม่ทัน แสงสว่างจ้าในฉับพลันทำให้นางแสบตาจนต้องยกแขนเสื้อปิดหน้า
ผู้คนที่กำลังส่งเสียงอื้ออึง ตกใจที่จู่ ๆ สตรีตัวเหม็นผู้นี้ถูกโยนเข้ามา
"พี่ซีซี" ซวนผิงอี้ปรี่เข้าไปช่วยเหลือแต่โดนมือแข็งแกร่งของใครบางคนรั้งร่างบอบบางเอาไว้บนตัก
ลู่ซีได้ยินเสียงหวานใสก็จดจำได้ว่าคนที่เรียกชื่อนางเป็นใคร
"ผิงเอ๋อ หรอกหรือ" ลู่ซีเอ่ย
เมื่อทุกอย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง ภาพแรกที่นางเห็นคือซวนผิงอี้อยู่ในอ้อมกอดของเจิ้นหลินเฟิง คืนนี้เขาสวมชุดเครื่องแบบอย่างราชนิกุลผู้สูงศักดิ์ใบหน้าผ่องใส
เขากวาดสายตามองนางตั้งแต่หัวจรดเท้า ด้วยสีหน้าเย็นชาเรียบเฉย หญิงสาวกัดเม้มปากจนสัมผัสได้ถึงกลิ่นคาวเลือดในปาก
ฟ่านอี้หยวนเห็นลู่ซีอยู่ในสภาพซวนเซก็รู้สึกเวทนา จะเข้าไปประคองช่วยเหลือ
"หากเจ้าช่วยเหลือนาง ข้าจะตัดขาดจากเจ้าและตัดสัมพันธ์กับแคว้นอู่" เจิ้นหลินเฟิงใช้ข้ออ้างทางการเมืองข่มขู่ ตอนนี้แคว้นอู่ยังต้องพึ่งพาแคว้นเหลียงจึงมิอาจตัดสัมพันธ์ครั้งนี้ได้ เขาทำได้เพียงหันหลังไม่สามารถทนมองสตรีตรงหน้าได้
"อ้อ ข้าเข้าใจแล้ว" นางฝืนยิ้ม "องค์ชายฟ่านอย่าได้ห่วงกังวลข้าน้อยเลย" นางพูดกับฟ่านอี้หยวน
ฟ่านอี้หยวนหันไปมองนางด้วยแววตาสับสน
ริมฝีปากที่เคยอ่อนนุ่มตอนนี้กลับแตกระแหง ที่มุมปากยังมีสะเก็ดแผลและคราบเลือดที่เช็ดออกไม่หมด ใบหน้าบวมช้ำเป็นรอยมือชัดเจน หัวใจของเจิ้นหลินเฟิงวูบไหว เขาให้คนพานางมาให้ถึงที่นี่ ตั้งใจให้นางเห็นภาพความสำราญของเขา
ไม่ได้คิดว่าจะพบนางในสภาพเช่นนี้
"องค์รัชทายาท มีอะไรกับหม่อมฉันอีกหรือไม่" นางเอ่ยถาม "ถ้าไม่มีก็ส่งหม่อมฉันเข้าคุกหลวงเถิด" ลู่ซีพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเฉียบ
"เสี่ยวเฟิง ปล่อยนางไปเถอะ" ซวนผิงอี้ขอร้องน้ำตานองหน้า นางสงสารลู่ซี อย่างน้อยครั้งหนึ่งลู่ซีก็เคยเป็นพี่สาวที่รักของนาง
ผู้ที่เห็นใบหน้าของซวนผิงอี้ยามร้องไห้ต่างก็รู้สึกสงสารจับใจเมื่อหญิงงามหลั่งน้ำตา
ฝ่ามือเขาสัมผัสโอบล้อมรอบเอวคอดกิ่วของคนตัวเล็กที่นั่งอยู่เหนือตัก ลู่ซีเห็นทุกการกระทำ
"ปล่อยนางไปเหรอ ไม่ง่ายขนาดนั้นหรอกผิงเอ๋อ ถ้าเจ้ายอมแต่งงานเป็นพระชายา....ของข้า" เจิ้นหลินเฟิงเชยคางคนตัวเล็กบนตัก "ไม่แน่อาจจะให้นางมาอยู่ที่เรือนซักล้างเอาบุญดีหรือไม่ ดีกว่าไปถูกขังอยู่ในคุกหลวง"
ซวนผิงอี้ได้ยินคำขอแต่งงานก็เอียงอายหน้าแดงพยักหน้ารับปาก โดยลืมสตรีที่ยืนแผ่นหลังเหยียดตรงอยู่เบื้องล่าง
ลู่ซีคิดไว้แล้วไม่มีผิด ยามที่สามแสบของนางมีความสุขก็มักจะหลงลืมสตรีทึนทึกผู้นี้
"ถ้าท่านทั้งสองตกลงกันได้แล้วก็ส่งข้า..." ยังไม่ทันพูดจบประโยคลู่ซีก็ทรุดกายล้มลงกับพื้น
และเป็นฟ่านอี้หยวนที่พุ่งตัวเข้าช่วยเหลือ "พี่ซีซี" เขาเขย่าตัวนาง แต่คนตัวเล็กกลับสลบไม่ยอมตื่น ฟ่านอี้หยวนจับชีพจรที่ข้อมือและพบว่ามีชีพจรอีกสายหนึ่งแฝงอยู่ในตัวนาง หรือว่า.... เมื่อคิดได้ดังนั้นจึงรีบพานางไปด้วยกันกับตนเองทันที
เจิ้นหลินเฟิงกำมือแน่น เขาเองก็ตั้งใจจะไปช่วยเหลือนาง แต่ดันโดนฟ่านอี้หยวนตัดหน้าไปเสียก่อน
เขาทะยานตามออกไปด้วยความโกรธ ตั้งใจไปทวงนางคืน นางเป็นนักโทษของเขา ใครหน้าไหนก็ไม่มีสิทธิ์เอานางไปทั้งนั้น
ฟ่านอี้หยวนตกใจที่เห็นเจิ้นหลินเฟิงตามมาไม่ห่าง ยิ่งรีบเร่งเท่าไหร่เขาก็ยิ่งตามเร็วขึ้นเท่านั้น จึงหยุดเจรจา
"ส่งนางคืนให้ข้า" รัชทายาทแคว้นเหลียงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา
"แล้วถ้าข้าไม่คืนให้ เจ้าจะทำเช่นไร"
ระหว่างที่พวกเขาสนทนากัน ลู่ซีได้ยินทั้งหมด นางไอออกมาเป็นเลือด หญิงสาวใช้แขนเสื้อของฟ่านอี้หยวนเช็ดปากไม่ให้เจิ้นหลินเฟิงเห็น
"พี่ซีซี" ฟ่านอี้หยวนเห็นรู้สึกสงสารนางจับใจ
"เจิ้นหลินเฟิง นางดีกับเจ้าแค่ไหนเจ้าจำไม่ได้หรืออย่างไร"
"อี้หยวน" ลู่ซีตบแผงอกของชายหนุ่ม "วางข้าลงเถิด อย่าวุ่นวายเพราะข้าเลย"
"แล้วท่านกำลัง...."
ลู่ซีส่ายหน้าไม่ให้เขาพูด เขาจึงจำใจปล่อยนางลง
"องค์ชายรัชทายาท หม่อมฉัน...พร้อมไปกับพระองค์แล้ว ส่วนองค์ชายฟ่านทำไปเพราะขาดสติอย่าได้ถือสาเขาเลย"
"สตรีเช่นเจ้ามีสิทธิ์อะไรไปขอร้องแทนคนอื่น" เจิ้นหลินเฟิงดูถูก
ลู่ซีมองฟ้าถอนหายใจเฮือกใหญ่ มุมปากยกยิ้มอย่างเดียดฉันท์ในโชคชะตา
"งั้นให้ข้าตายด้วยเถอะ อย่าเก็บข้าไว้อีกเลย" ลู่ซีร้องขอความตายจากเขา
"อยู่ก่อนเถอะซีซี ความตายมันสบายเกินไป"