webnovel

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

เหมียวอี้ เด็กหนุ่มธรรมดาแต่มีโชคชะตาที่ไม่ธรรมดา! เขาคือเด็กกำพร้าที่ถูกเพื่อนบ้านตราหน้าว่าเป็น 'ตัวหายนะ' เพราะพ่อแม่บุญธรรมที่รับเลี้ยงเขาล้วนมีจุดจบอยู่ในกองเพลิงทั้งสิ้น เขาจึงต้องเติบโตมากับน้องๆ ต่างสายเลือดอีกสองคนตามลำพัง ไร้เงิน ไร้อำนาจ ไร้ความสามารถ ซ้ำยังเป็นตัวซวย โลกนี้มันช่างอยู่ยากเสียจริง! หนทางที่จะลบคำครหาของชาวบ้านและก้าวพ้นชีวิตที่ยากไร้ไปได้ก็คือการสำเร็จเป็นเซียน แม้ความปรารถนาจะอยู่สูงเกินเอื้อม แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่น ถึงจะลำบากและอันตรายเพียงใด ก็ขอทะยานไปให้สุดขอบฟ้า!

เยวี่ยเชียนโฉว · Eastern
Not enough ratings
848 Chs

041 บุญคุณเท่าหยดน้ำ

บทที่ 41 บุญคุณเท่าหยดน้ำ

ศาลเจ้าไม่ใช่สิ่งที่แปลกใหม่สำหรับเขา มันมีอยู่ทุกเมือง เป็นสถานที่เก็บรวบรวมพลังปรารถนาของสาวก

พอเข้าใกล้ศาลเจ้า ก็เห็นว่าข้างๆ มีบ้านหลังหนึ่ง หลังคามุงกระเบื้องทอดยาว ล้อมรอบด้วยกำแพงสูงตระหง่าน ประตูหลักแขวนป้าย 'จวนเฉิงย่วน' อยู่ ประตูใหญ่ปิดสนิท ประตูทางเข้ามีโคมไฟห้อยอยู่ มีเจ้าหน้าที่ของทางการประคองดาบยืนอยู่ตรงประตูใหญ่ด้านซ้ายและขวา

เฮยทั่นแบกเหมียวอี้พุ่งเข้าไปทันที ขี้คร้านจะพูดมาก

เพราะเหมียวอี้รู้ดีว่า 'จวนเฉิงย่วน' เป็นสถานที่แบบไหน คนที่เพิ่งเข้าไปล้วนต้องลำบาก ยิ่งไปกว่านั้นจี้ซิ่วฟางก็เป็นฮูหยินสาวที่หน้าตาสะสวยด้วย ไม่มีใครรู้ว่าเจ้าหน้าที่ที่อยู่ในนั้นจะทำอะไรกับนางบ้าง หากนางอยู่นานกว่านี้เกรงว่าจะยิ่งอันตราย

‘โครม!' เฮยทั่นพุ่งหัวชนประตูใหญ่จนพัง

อย่าว่าแต่ประตูใหญ่เลย ต่อให้เป็นกำแพงเมืองมันก็สามารถชนถล่มลงมาได้ มันแบกเหมียวอี้พุ่งเข้าไปตรงลานบ้านข้างใน เจ้าหน้าที่ตรงประตูทางเข้าก็ตกใจจนหัวซุกหัวซุน

ในขณะเดียวกัน นักพรตสองคตนที่มีเงามายาดอกบัวสีขาวบานสามกลีบตรงหว่างคิ้ว ก็รีบถือทวนออกมา แล้วชี้ไปที่เหมียวอี้

ทั้งสองคือสมุนใต้บังคับบัญชาของฉินเวยเวย และก็เคยสู้กับเหมียวอี้มาก่อนด้วย เพียงแต่ตอนนั้นยังไม่รู้ผลแพ้ชนะ

มองดูประตูใหญ่ที่โดนชนพังยับ หนึ่งในนั้นขมวดคิ้วถาม "เหมียวอี้? เจ้าเองเหรอ! มาทำอะไรที่นี่?"

เหมียวอี้กุมหมัดคารวะแล้วพูดว่า "รบกวนทั้งสองท่านช่วยให้ความสะดวก ให้ข้านำคนในนั้นออกไปด้วย!"

"ได้สิ" นักพรตคตนนั้นยื่นมือออกมาแล้วพูดว่า "แต่ต้องมีคำประกาศิตจากประมุขขุนเขาหรือไม่ก็ประมุขถ้ำ!"

"ไม่มี!" เหมียวอี้ส่ายหน้า แล้วก็พูดว่า "ข้าจึงขอให้ทั้งสองท่านอำนวยความสะดวกให้ไง!"

นักพรตตนคนนั้นปฏิเสธ "เวลาปกติพวกข้าจะเห็นแก่หน้าเจ้า แต่วันนี้ไม่ได้หรอก พวกข้ามาเฝ้าที่นี่ทำไม เจ้าคงรู้ชัดอยู่แล้ว"

เหมียวอี้พูด "ข้ามาแบบรีบร้อน เลยไม่ทันคิด ส่งคนมาให้ข้าก่อน พอกลับไปข้าค่อยรายงานท่านประมุขฉิน ถ้ามีเรื่องอะไรข้าจะรับผิดชอบคนเดียว!"

อีกฝ่ายส่ายหน้าแล้วพูดว่า "เกรงว่าจะไม่ได้!"

"ให้ข้าดูก่อนเถอะว่าเขาเป็นอย่างไรบ้าง" เหมียวอี้พูด

อีกฝ่ายส่ายหน้าอีกครั้ง "เอาคำประกาศิตมาก่อนแล้วค่อยว่ากัน"

แค่ขอดูยังไม่ให้ดู เหมียวอี้สัมผัสได้ถึงความหน้าเนื้อในเสือของอีกฝ่ายที่กลั่นแกล้งตน เขาทำหน้าขรึม ตรงหว่างคิ้วปรากฏเงาแสงดอกบัวขึ้น ทวนในมือชี้ไปทางสองนักพรตนั้นช้าๆ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา "จะไม่ยอมไว้หน้าข้าจริงๆ ใช่มั้ย?"

นักพรตอีกคนเดือดดาลทันที "เจ้าคิดว่าพวกข้ากลัวเจ้าจริงๆ เหรอ!"

ก่อนหน้านี้คนมากมายร่วมมือกันสู้รบกับเหมียวอี้อยู่นานแต่ก็จัดการไม่ได้ พวกเขาจึงกลั้นไฟโกรธเอาไว้ในใจ ถ้าไม่เห็นว่าเหมียวอี้ได้รับความชื่นชมชอบจากหยางชิ่ง สองคนนี้คงไม่เกรงใจเหมียวอี้ขนาดนี้ ตอนนี้เหมียวอี้มาก่อกวนหาเรื่อง ก็เท่ากับเป็นโอกาสที่จะจับเขา

กีบเท้าทั้งสี่ของเฮยทั่นอยู่ไม่สงบ มันรับรู้ได้ถึงความโกรธของเหมียวอี้

จังหวะที่สองฝ่ายกำลังจะเปิดฉากสู้กัน เสียงฉินเวยเวยก็ดังมาจากนอกกำแพงลานบ้าน "หยุดนะ!"

ทั้งสองฝ่ายนิ่งไป เงาแสงดอกบัวตรงหว่างคิ้วของพวกเขาหายไปทันที ได้ยินเสียงฉินเวยเวยดังมาอีกครั้ง "ส่งคนให้เขาไป"

นักพรตสองตนคนนั้นมองตากันแวบหนึ่ง กุมหมัดคารวะไปทางยังทิศทางต้นเสียงอย่างพร้อมเพรียงกันแล้วพูดว่า "รับทราบ!"

หนึ่งในนั้นหันกลับมาถามเหมียวอี้ "ต้องการใครล่ะ?"

เหมียวอี้เปล่งเสียงตอบ "จี้ซิ่วฟาง! คนที่เพิ่งถูกส่งเข้ามา"

นักพรตตนคนนั้นหันไปบอกขุนนางที่ตัวสั่นงก ๆ หลบอยู่ใต้ชายคาบ้าน "นำตัวนางออกมา"

ขุนนางคนนั้นโค้งตัวอย่างนอบน้อมแล้วเดินจากไปทันที สักพักก็นำตัวจี้ซิ่วฟางที่ร้องไห้จนตาแดงก่ำออกมา

ดูจากท่าทางของจี้ซิ่วฟางแล้วน่าจะ ก็ไม่ได้รับความลำบากอะไร

ทีแรกเรื่องมันก็ไม่ได้ดีแบบนี้หรอก เพราะจู่ๆ ก็มีเซียนสองตนคนตนออกมาคุ้มกัน 'จวนเฉิงย่วน' เจ้าหน้าที่ข้างในก็ไม่เข้าใจสถานการณ์แน่ชัด จึงไม่กล้าผลีผลาม ไม่เช่นนั้นคงไม่จบลงด้วยดีแบบนี้แน่

พอเห็นหมียวอี้ จี้ซิ่วฟางก็ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นวิ่งมาคุกเข่าตรงหน้าเฮยทั่นทันที นางร้องไห้จนหมดสภาพพร้อมพูดว่า "ท่านเหมียว ช่วยชีวิตลูกชายข้าด้วย เห็นแก่ท่านอาของข้าเถอะนะ ช่วยลูกข้าที! ข้าขอร้อง..."

เหมียวอี้กระโดดลงจากอาชามังกร สองมือประคองนางขึ้นมา แล้วถามว่า "พวกเขาไม่ได้ทำให้ท่านลำบากใช่มั้ย?"

พอเขาพูดคำนี้ออกมา ทำเอาเจ้าหน้าที่ตรงลานบ้านก็ตกใจจนตัวสั่น กลัวว่าจี้ซิ่วฟางจะพูดอะไรที่ไม่น่าฟังออกมา

จี้ซิ่วฟางร้องไห้พลางส่ายหน้า "ท่านเหมียว ช่วยลูกชายข้าด้วย เขายังเด็กนัก!"

เหมียวอี้หันกลับไปสั่งทันที "นำคนในบ้านนางออกมาให้ข้าให้หมด!"

ไม่ต้องพูดอะไรมาก ทั้งเด็กและคนชราถูกนำส่งออกมาทั้งหมด รวมทั้งพ่อบ้านที่เหมียวอี้รู้จักก็อยู่ในนั้นด้วย

จี้ซิ่วฟางกอดลูกชายแล้วร้องไห้ฟูมฟายอยู่ตรงนั้น นางคุกเข่าก้มหัวตรงหน้าเหมียวอี้

เหมียวอี้ประคองนางขึ้นมา "ไปกันเถอะ ไม่เป็นไรแล้ว กลับบ้านกัน!"

ภายใต้สายตาของมวลชนที่จ้องมอง เขาคุ้มกันส่งคนกลุ่มนี้กลับไปที่ประตูทางเข้าบ้านเดิมของจี้ซิ่วฟางด้วยตัวเอง พอมองเห็นแผ่นคาดกระดาษเฟิงเถียวตรงประตูใหญ่ เขาก็หันกลับไปตะโกน "ไปเรียกเจ้าเมืองออกมา!"

ตอนนี้เหยียนซิวกำลังหลบอยู่ที่มุมมืดแห่งหนึ่งตรงมุมถนน เขามองดูเหตุการณ์การณ์ตรงหน้าอยู่ข้างๆ ฉินเวยเวย

ไม่นานนัก ขุนนางตัวอ้วนหน้ากลมกับผู้ใต้บังคับบัญชางอีกสองสามคนก็ขี่ม้ามาถึงโดยพลัน

เหมียวอี้ไม่ฟังคำพูดเหลวไหลตื่นตระหนกของพวกเขา ชี้ทวนไปที่ประตูใหญ่ "ท่านเจ้าเมือง ต่อไปหากเกิดเรื่องอะไรกับคนในบ้านนี้อีก ข้าจะมาถามเจ้าก่อนเลย ฉีกกระดาษเฟิงเถียวทิ้งซะ เปิดประตู!"

เขาไม่สามารถอยู่ดูแลข้างกายจี้ซิ่วฟางได้ตลอด เฉินเฟยก็ไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย แต่ถ้าไม่มีการแนะนำในตอนแรกจากเฉินเฟย ในตอนแรก ก็ไม่รู้ว่าตอนนี้ตัวเองจะไประเหเร่ร่อนอยู่ที่ไหน เขาออกมาเคลื่อนไหวแบบนี้ก็เพื่อตอบแทนบุญคุณ ที่เขาทำกร่าง ก็เพื่อแสดงท่าทีให้ชัดเจนว่าตนคุ้มครองครอบครัวนี้อยู่ เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้มีคนพุ่งเป้ามารังแกแม่หม้ายกับเด็กกำพร้าคู่นี้

"เชอะ! ทำเป็นกร่าง!" ฉินเวยเวยเบะปากเชิดใส่อย่างเย็นชา

เหยียนซิวยิ้มแห้งอยู่ข้างๆ พักหนึ่ง สายตามองตามเหมียวอี้ที่กำลังส่งคนในครอบครัวจี้ซิ่วฟางเข้าบ้าน

รอจนเหมียวอี้ออกมาอีกครั้ง ก็เห็นเขาพูดกับเจ้าเมืองที่ก้มหน้านอบน้อมอยู่ว่า "สิ่งของในบ้านนี้ที่หายไป รีบนำกลับมาให้ข้าเดี๋ยวนี้ ถ้าขาดตะเกียบไปไม้เดียวข้าจะฆ่าเจ้า!"

"ขอรับ ขอรับ!" เจ้าเมืองรีบรับปาก ยกเอามือลูบเหงื่อที่หัวแล้วเร่งสั่งลูกน้องให้ไปจัดการ

ตรงอีกมุมหนึ่ง พอเฉินเฟยเห็นภาพนี้กับตาก็ถอนหายใจเบาๆ แล้วพึมพำกับตัวเอง "น้องชาย บุญคุณนี้ข้าจะจำไว้ หากมีโอกาส ข้าจะตอบแทนเจ้า!"

มีเหมียวอี้ออกหน้ารับผิดชอบให้ เขาสามารถวางใจจากไปได้แล้ว เขาหันหลังจากไปเงียบๆ ท่ามกลางความมืดบนถนน

เหมียวอี้ที่เพิ่งขี่เฮยทั่นวิ่งออกจากเมืองมาด้วยความเร็วสูง ก็เจอเข้ากับฉินเวยเวยและเหยียนซิวที่เฝ้ารออยู่ข้างนอก เขารีบหยุดแล้วกุมหมัดคารวะ "ขอบคุณที่ท่านประมุขถ้ำช่วยเหลือ!"

ฉินเวยเวยน่ะเหรอจะไปใจดีช่วยเหลือเขา เป็นเพราะหยางชิ่งฟื้นฟูพลังอิทธิฤทธิ์เสร็จออกมาพอดี พอเห็นเหยียนซิวเข้าก็ถามถึงเหมียวอี้ พอได้ฟังสาเหตุแล้ว หยางชิ่งชื่นชมยกใหญ่ กล่าวว่าเหมียวอี้เป็นคนซื่อสัตย์ภักดี คนอื่นมีบุญคุณต่อเขาเท่าหยดน้ำ แต่เขาตอบแทนคืนดั่งน้ำพุที่เอ่อทะลัก หยางชิ่งจึงให้ฉินเวยเวยมาด้วยตัวเอง จะได้ไม่เกิดเหตุอะไรขึ้น

ฉินเวยเวยทำสีหน้าเหน็บแหนม "แม่นางคนนั้นหน้าตาสวยใช้ได้เลยนี่ ข้าก็นึกว่าคืนนี้เจ้าจะนอนค้างบ้านนางซะอีก"

"นางไม่สวยเท่าท่านหรอก..."

เหมียวอี้พูดประจบทันที พอรู้ว่าผู้หญิงคนนี้เป็นลูกบุญธรรมของหยางชิ่ง เขาก็มีท่าทีสุภาพนอบน้อมขึ้นมาก แต่ทว่า พอพูดคำนี้ออกมาก็รู้สึกทันทีว่ามันทะแม่งแปลกๆ เหมือนมีความหมายสองแง่สองง่าม

เหยียนซิวทำแก้มป่องกลั้นขำสุดชีวิต เขารู้สึกว่าคำพูดของเหมียวอี้ทะลึ่งเกินไป ฟังยังไงก็เหมือนกับหมายความว่า นางไม่สวยเท่าท่าน ถ้าจะนอน ขอนอนกับท่านดีกว่า

ขณะเดียวกันเขาก็กังวลใจแทนเหมียวอี้ เหมียวอี้เองก็กระวนกระวายเช่นกัน อยากจะตบปากตัวเองจริงๆ

…………………………