webnovel

ท่วงทำนองในสายฝน (Melody in the rain)

สำหรับ “ท้องฟ้า” สายฝนคืออ้อมกอดอันอบอุ่น ตั้งแต่เล็กจนโตเธอมักหนีออกไปเล่นน้ำฝนอยู่บ่อย ๆ ทุกครั้งที่ฝนตก ท้องฟ้าจะรู้สึกอบอุ่นผ่อนคลาย ราวกับว่า “ใครบางคน” กำลังโอบกอด ปลอบประโลม และช่วยชะล้างความไม่สบายใจทั้งมวลให้หมดสิ้นไป โดยเฉพาะความเศร้าจากฝันร้ายที่หลอกหลอนเธอมาตั้งแต่เด็ก ภาพหญิงสาวในชุดสีแดงสดเปื้อนเลือดยังติดตาเธออยู่เสมอ ท่ามกลางสายฝนในคืนพระจันทร์เต็มดวง เลือดสาดกระจายไปทุกทิศ แต่หญิงสาวในชุดสีแดงก็ยังคงร่ายรำอยู่ท่ามกลางหยาดเลือดอย่างไม่รู้จักจบสิ้น “ระบำสีเลือด” คือคำที่เธอใช้เรียกความฝันนั้น ความรักที่มีให้ต่อสายฝนและความหวั่นกลัวจากฝันร้ายนี้ผูกพันกับเธอมาตลอดตั้งแต่เด็กจนกระทั่งเติบใหญ่ เป็นความผูกพันที่เธอเองก็ไม่อาจหาคำอธิบายได้ กระทั่งวันหนึ่งสายฝนที่เธอรักก็ไม่ได้มาพร้อมกับเสียงสายฟ้าที่คุ้นชิน แต่กลับมีเสียงบรรเลงลอยคลอมาด้วย ท่วงทำนองประหลาดหากแต่ให้ความรู้สึกแสนคุ้นเคย ท้องฟ้าไม่รู้เลยว่านับตั้งแต่วินาทีนั้นชีวิตของเธอจะไม่อาจเหมือนเดิมได้อีก

Aksorn · Fantasy
Not enough ratings
8 Chs

The little frog loves rain II

ภายในชั้นใต้ดินของหอสมุดที่มืดสลัว เสียงฝีเท้าของใครคนหนึ่งค่อย ๆ ดังขึ้นเรื่อย ๆ บ่งบอกว่าแขกประจำของชั้นใต้ดินชั้นนี้ได้มาถึงแล้ว เสียงซุบซิบที่เคยมีพลันจางหายทันทีที่มือเรียวผลักบานประตูขนาดใหญ่เข้ามา

ท้องฟ้ายืนยิ้มอยู่เบื้องหน้าประตูไม้บานใหญ่ที่ตัวเองเพิ่งจะเปิดเข้ามา ในช่วงปีแรก ๆ เธอแทบจะต้องทุ่มน้ำหนักทั้งตัวเพื่อเปิดประตูบานนี้ด้วยซ้ำ ตอนนี้แค่เพียงผลักเบา ๆ ประตูก็เปิดออกอย่างง่ายดายเสียแล้ว ความมหัศจรรย์ของการเข้าฟิตเนสมันเป็นแบบนี้นี่เอง เจ้าตัวกระหยิ่มยิ้มย่องแสยะยิ้มมองประตูเจ้าปัญหาที่เคยต่อสู้ด้วยมาตลอดสี่ปีอย่างคนเหนือกว่า

ชั้นใต้ดินของหอสมุดเป็นพื้นที่ที่แทบจะเรียกได้ว่าถูกทิ้งร้าง ไม่ใช่เพียงแค่ไม่มีคนเข้ามาอ่านหนังสือเท่านั้น แม้แต่บรรณารักษ์ของหอสมุดมหาวิทยาลัยผู้มีความรับผิดชอบเต็มเปี่ยมก็ไม่ค่อยอยากจะลงมาเยือนสักเท่าไหร่ เพราะอุปสรรคมากมายนานัปการ อุปสรรคแรกเลยก็คือเจ้าประตูไม้บานใหญ่นั่นยังไงล่ะ ส่วนอุปสรรคที่สองก็คือ...

แกร๊ก...แกรกกกกกก

ท้องฟ้าเหลือบตามองไปทางต้นเสียงอย่างเอือม ๆ เมื่อเห็นว่าไม่มีวี่แววของความเคลื่อนไหวใดก็ได้แต่ถอนหายใจแล้วเดินตรงไปยังมุมประจำของตนเอง ทำทีไม่หยี่ระต่อเสียงประหลาดที่จู่ ๆ ก็ดังขึ้น

กึก...ครึ่ก...แกร๊กกกกก

ดูเหมือนว่าเสียงประหลาดนั้นจะไม่ยอมเงียบลงโดยง่าย แต่ถึงอย่างนั้นก็หาได้ทำให้เธอสะทกสะท้านไม่ ท้องฟ้าหยิบหูฟังไร้สายขึ้นมาใส่หู ก่อนจะกดโทรศัพท์หาคลิปเสียงฝนตกแบบที่ชอบ แล้วหยิบหนังสือขึ้นมาอ่านเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

แต่แล้วจู่ ๆ เสียงที่น่ารำคาญนั้นก็หยุดชะงักไปกลางคัน ท้องฟ้าเลิกคิ้วอย่างสงสัย เธอถอดหูฟังพลางมองไปรอบ ๆ ตัว ก่อนจะสังเกตเห็นว่าชั้นใต้ดินที่มืดสลัวที่เธอแสนคุ้นเคยนั้นมีบรรยากาศบางอย่างที่เปลี่ยนไป

สายลมเอื่อย ๆ พัดวนไปทั่วทั้งชั้น กลิ่นฝนที่แสนสดชื่นลอยเข้ามากระทบจมูก คละกับกลิ่นหอมของอะไรบางอย่างที่ทำให้เธอนึกถึงแสงแดดยามเช้าตอนที่อยู่ในสวนที่บ้าน แต่ประเด็นก็คือในชั้นใต้ดินของหอสมุดมันควรมีอะไรแบบนี้ด้วยหรือ?

แสงสว่างจ้าเพียงหนึ่งเดียวในชั้นนี้คือแสงจากโคมบนโต๊ะของเธอ แต่บัดนี้แสงที่เคยสว่างจ้ากลับสั่นกระพริบไม่หยุด เหมือนกับฉากในหนังสยองขวัญไม่มีผิด ความที่ดูหนังผีมาเยอะทำให้น้ำลายในลำคอเริ่มเหนียวหนืด จินตนาการในหัวพรั่งพรูไม่หยุด จนเจ้าตัวต้องสะบัดศีรษะไล่ภาพน่ากลัวเหล่านั้น

ด้วยประสบการณ์มากมายที่เธอสั่งสมมาตลอดระยะเวลาที่ใช้งานชั้นใต้ดินของหอสมุดแห่งนี้ ทำให้ท้องฟ้าเลือกที่จะรับมือกลับความผิดปกตินี้ด้วยความนิ่งสงบ ร่างบางก้าวออกจากมุมประจำ เดินตรงไปยังชั้นหนังสือสูงทะมึนที่เรียงรายอยู่ ไล่นิ้วเรียวยาวไปตามสันขอบหนังสือเพื่อหาชื่อหนังสือที่ตัวเองต้องการ ปล่อยให้สายลมที่ไม่ควรมีอยู่ ณ ที่แห่งนี้พัดเอื่อยเฉื่อยไปตามที่มันต้องการ

หนังสือเทพปกรณัมและเทววิทยามากมายจากทั่วทุกมุมโลกที่อัดแน่นอยู่บนชั้นตอบรับความกระหายใคร่รู้ของเธอเป็นอย่างดี ถึงแม้ว่าหนังสือส่วนใหญ่จะหนาและเก่าเกินกว่าที่ควรจะถูกแตะต้อง แต่พวกมันก็ยังคงทำหน้าที่ต่อไปอย่างทรหด ไม่เคยมีแผ่นกระดาษคร่ำคร่าหน้าไหนหลุดติดมือเธอมาสักครั้ง เพราะหญิงสาวเองก็ทะนุถนอมหนังสือโบราณล้ำค่าพวกนี้เป็นอย่างดี

เพราะมัวแต่ทำใจให้จดจ่ออยู่กับหนังสือที่ต้องการ ร่างบางจึงมิทันได้รู้สึกถึงบรรยากาศตึงเครียดที่แผ่กระจายไปทั่วทั้งชั้น ท้องฟ้าเดินวนหาหนังสือที่ตัวเองต้องการอยู่นาน แต่ด้วยแสงที่มีอยู่จำกัดทำให้การหาชื่อหนังสือที่ปกติก็หายากอยู่แล้วท่ามกลางหนังสือมากมายยิ่งยากขึ้นไปอีก ดวงตากลมโตพยายามเพ่งมองตัวอักษรเล็ก ๆ บนสันหนังสืออย่างสุดความสามารถ ขณะที่ในใจพาลโมโหมหาวิทยาลัยที่ไม่ยอมซ่อมบำรุงชั้นนี้เสียที

"หาเล่มนี้อยู่รึเปล่าครับ?"

เสียงทุ้มนุ่มที่ดังขึ้นด้านหลังทำให้หญิงสาวชะงัก ความตกใจแล่นไปทั่วร่างจนเธอรู้สึกชาวาบไปทั้งตัว ท้องฟ้ายืนนิ่งตัวแข็งเพราะทำอะไรไม่ถูก ขณะที่อีกฝ่ายเงียบรอให้เธอหันมา

สติที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดเพราะถูกความตกใจไล่กระเจิงค่อย ๆ กลับมา หญิงสาวสูดลมหายใจลึกก่อนจะหันกลับไปเผชิญหน้ากับเจ้าของเสียงที่เธอไม่เคยรู้สึกถึงการมีอยู่มาก่อน

ชายรูปร่างสูงในชุดกางเกงยีนส์เสื้อยืดและรองเท้าผ้าใบยืนยิ้มรอเธออยู่ก่อนแล้ว ในมือของเขาคือหนังสือเล่มหนาที่เธอเพ่งหาจนตาแทบหลุด ใบหน้าคมคายที่ดูดีไปทุกมุมการันตีถึงสัดส่วนใบหน้าทองคำทำให้เธออดชื่นชมเงียบ ๆ ในใจไม่ได้

"หาเล่มนี้อยู่รึเปล่าครับ?" ชายหนุ่มถามย้ำอีกครั้ง ขณะที่มุมปากยังติดยิ้มละไมอยู่

"ค่ะ ใช่ค่ะ" เธอตอบรับพร้อมกับกล่าวขอบคุณ ก่อนจะหมุนตัวเดินกลับไปนั่งที่โต๊ะประจำของตัวเอง แสงไฟที่เคยกระพริบถี่กลับมาสว่างจ้าเหมือนเดิมแล้ว

ท่าทางที่ดูเป็นปกติของเธอทำให้สายตามากมายที่จ้องมองเหตุการณ์นี้อยู่รู้สึกประหลาดใจไม่น้อย หญิงสาวพลิกคัมภีร์เทวศาสตร์ในมืออย่างระมัดระวัง เรียกรอยยิ้มเอ็นดูจากชายหนุ่มที่ยืนอยู่ได้ไม่น้อย

บรรยากาศที่แปลกประหลาดในตอนแรกหายวับไปเหมือนไม่เคยเกิดขึ้น ทุกอย่างราวกลับเข้าสู่สภาวะปกติ เป็นสภาวะปกติที่ไม่ปกติที่สุดเท่าที่ท้องฟ้าเคยประสบมา

ตั้งแต่ก้าวเข้ามาท้องฟ้ามั่นใจว่าไม่มีใครคนอื่นอยู่ในชั้นใต้ดินแห่งนี้อย่างแน่นอน แต่อยู่ ๆ ชายหนุ่มแปลกหน้าก็ปรากฏตัวขึ้นมาราวกับว่าโผล่มาจากอากาศ อากัปกิริยาท่าทางทั้งการพูดไปจนถึงการแต่งตัวก็ปกติธรรมดา ไม่ได้มีอะไรแปลกประหลาดหรือน่าสงสัย แต่เพราะดูปกติมาก ๆ นี่แหล่ะ เธอถึงได้มั่นใจว่าอีกฝ่ายไม่ปกติแน่ ๆ

ก็จะมีคนปกติที่ไหนถ่อลงมาชั้นใต้ดินของหอสมุดที่ขึ้นชื่อลือชาเรื่องหลอน ๆ อีกอย่างทางลงก็หายากยิ่งกว่าอะไร ต่อให้อยากมาก็เถอะ จะมีสักกี่คนที่หาทางลงมายังชั้นใต้ดินนี้เจอ ขนาดบรรณารักษ์บางคนยังไม่รู้เลย เพราะแบบนั้นเธอถึงได้ถูกคุณหัวหน้าบรรณารักษ์ไหว้วานอยู่บ่อย ๆ ให้ช่วยดูแลตรวจตราความเรียบร้อยของหอสมุดชั้นนี้

แต่นายคนนี้... ยิ่งคิดท้องฟ้าก็ยิ่งหงุดหงิด เมื่อหันไปเห็นอีกฝ่ายยังคงยืนยิ้มให้อยู่ตรงที่เดิม นอกจากจะหาทางลงมาได้แล้ว ยังทำท่าเหมือนคุ้นเคยกับที่นี่อีกต่างหาก ชั้นใต้ดินนี่เป็นอาณาเขตของเธอนะ เธอไม่เคยเจอนักศึกษาที่นี่สักคน ถึงได้ยึดเอาไว้เป็นหลุมหลบภัยจากความวุ่นวายข้างนอกนั่น

"มาที่นี่บ่อยเหรอครับ"

คนนั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดสะดุ้งสุดตัว รู้ตัวอีกทีชายหนุ่มแปลกหน้าก็นั่งอยู่ตรงข้ามเธอเสียแล้ว ท้องฟ้ามองใบหน้าเปื้อนยิ้มของเขาอย่างระมัดระวัง ไม่รู้หรอกว่าเป็นใครมาจากไหน แต่ไม่น่าไว้ใจสุด ๆ แถมตอนนี้ทั้งชั้นก็มีกันอยู่แค่สองคน ระยะห่างที่มีก็เพียงหนึ่งโต๊ะกั้นกับแสงจากโคมไฟที่เธอเป็นคนเอามาเท่านั้นเอง

"ชอบอ่านอะไรแนวนี้เหรอครับ" ชายหนุ่มถือวิสาสะยื่นหน้ามองกองหนังสือที่ตั้งอยู่ข้างตัวเธอ แล้วทำท่าจะคว้าเล่มบนสุดไปดู

ด้วยความตกใจ ท้องฟ้ารีบตะปบหนังสือเล่มนั้นทันที สีหน้าบึ้งตึงกับท่าทางที่เหมือนกับจงอางหวงไข่นั้นทำให้ชายหนุ่มชะงักไป ก่อนจะเอ่ยปากขอโทษขอโพย

"ขอโทษที่เสียมารยาทครับ พอดีผมตื่นเต้นไปหน่อย" เขาพูดเสียงเบาส่งยิ้มเจื่อน ๆ มาให้

เธอเงียบ ไม่รู้ว่าควรจะตอบว่าอะไร

"คือผมไม่คิดว่าจะเจอคนที่ชอบอะไรแบบนี้เหมือนกันน่ะครับ เลยดีใจไปหน่อย ขอโทษจริง ๆ ครับ"

พอเห็นอีกฝ่ายทำหน้าหงอยใส่ ท้องฟ้าก็แอบรู้สึกผิดเล็ก ๆ จึงกระแอมแก้เขินนิดหน่อย แล้วยอมต่อบทสนทนา

"เราไม่เคยเห็นนักศึกษาลงมาที่นี่เลย... เลยแปลกใจนิดหน่อยน่ะ"

เพราะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายอายุเท่าไหร่ เธอเลยเลือกใช้สรรพนามกลาง ๆ ไปก่อน ถ้าหากเขาเป็นนักศึกษาก็คงจะอายุน้อยกว่าเธอ หรือไม่ก็เท่ากัน แต่ถ้าหากไม่ใช่...

"นั่นอะไรน่ะ"

แทนที่จะต่อบทสนทนาที่เธอค้างไว้ เขากลับชี้ไปที่กระเป๋าเธอแทน สายเงินรูปจันทร์เสี้ยวและหยาดฝนโผล่พ้นซิปกระเป๋าเธอออกมา แสงจากโคมไฟทำให้มันส่องแสงเป็นประกายสะดุดตา

"สายห้อยร่มน่ะ" เธอตอบสั้น ๆ ไม่คิดว่าเขาจะถามต่อ

"กลัวฝนเหรอ?"

ไม่...ไม่ได้กลัวสักหน่อย ฉันชอบฝนต่างหาก

ท้องฟ้าเกือบจะโพล่งออกไปด้วยสัญชาตญาน แต่ก็ยั้งตัวเองไว้ทัน เมื่อกลืนประโยคที่ไม่ได้ผ่านการไตร่ตรองของสมองลงคอไปแล้ว เธอถึงค่อย ๆ พูด

"ช่วงนี้ฝนตกบ่อยน่ะ เลยพกไว้"

"ไม่ชอบฝนเหรอ" เสียงเขาดูหงอยอย่างประหลาด

"เปล่า..."

"หรือกลัวไม่สบาย?"

เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังถามไม่หยุด ท้องฟ้าเลยจ้องหน้าหวังให้เจ้าตัวรู้สึกแต่ดูเหมือนว่าจะมิได้นำพา ดวงตาสีน้ำตาลเข้มยังมองมาที่เธออย่างรอคอยคำตอบ

"เราว่า...เราไปดีกว่า"

เพราะไม่อยากสุงสิงกับชายหนุ่มแปลกหน้าสักเท่าไหร่ เธอจึงเลือกเป็นฝ่ายไปเสียเอง มือหนึ่งคว้ากระเป๋าเตรียมลุก อีกมือเอื้อมไปกดปิดไฟโคมส่งผลให้ความมืดสลัวกลับมาปกคลุมไปทั่วทั้งชั้น

ท้องฟ้ารีบก้าวเดินโดยไม่รีรอ อาศัยช่วงจังหวะที่อีกฝ่ายกำลังมึนงงกับการกระทำของเธอพาตัวเองไปถึงหน้าประตูบานใหญ่

"แล้วมาอีกนะ ผมจะรอ"

เขาเอ่ยขึ้นก่อนที่เธอจะพ้นประตูของชั้นใต้ดินแห่งนี้ เสียงทุ้มนุ่มนั้นดูเว้าวอนมีความหวังอย่างประหลาด ทำให้หญิงสาวใจอ่อนลงเกือบครึ่ง แทบจะหันกลับไปนั่งที่เดิมเสียแล้ว นี่มันอะไรกัน จะมาเสียฟอร์มเพราะประโยคเดียวจากคนที่เคยเจอไม่ได้ คิดได้ดังนั้นเธอจึงรีบพาตัวเองออกจากที่นี่อย่างไม่ลังเล ทั้ง ๆ ที่ก็ยังแอบสงสัยอยู่ว่า...

แบบนี้เขาเรียกว่าอ่อยรึเปล่านะ?