webnovel

บทที่ 51 : อสูรบรรพกาลเทาเที่ย

จางเฟยเงยมองม่านอาคมน้ำที่ครอบคลุมรอบตำหนักปีศาจอันกว้างใหญ่ไพศาล แล้วจึงมองสบสายตาผู้อยู่เบื้องหน้าตนเอง

"หึ...ไม่นึกว่าเรื่องราวในแดนบรรพกาล จะยังเป็นภาระของเจ้าอยู่เหมือนเดิม"

"...พูดมาก เหม็นลมหายใจของเจ้าเสียจริง"

เซี่ยหยางโต้กลับ พร้อมกันนั้นก็โบกฝ่ามือก่ออัคคีพวยพุ่งเข้าล้อมรอบกายของอสูรไว้ จางเฟยเหยียดยิ้มมุมปาก สะบัดพัดก่อกระแสลมดับวงล้อมไฟทิ้งหมดสิ้นเพียงหนเดียว

"อะไรกัน? ง่ายเพียงนี้เชียวหรือ พลังของเทพบรรพกาลอ่อนเกินไปกระมัง"

"อสูรหมอกเช่นเจ้า นอกจากตาบอดแล้ว จมูกยังทื่ออีกต่างหาก อย่างแรก ไม่เห็นหรือว่าข้าเป็นเพียงเซียนเสินคุน อย่างที่สอง เจ้าไม่รู้สึกเลยหรือว่าควันไฟเหล่านั้นมีพิษ เจ้าสูดลมหายใจเข้าไปเต็มเปาเชียว"

ฟังวาจา จางเฟยก็เบิกตาตระหนก เพียงครู่ เขาก็เริ่มหายใจอึดอัด ตื้อตันไปทั้งลำคอ เส้นสายชีพจรปั่นป่วนร้อนรุ่มแปลกประหลาด อสูรจ้องเขม็งใส่เซี่ยหยาง

"เจ้า!..."

"อย่าเดินพลังวิญญาณเชียว พิษของข้าให้ผลมากกว่าพิษของเจ้าเป็นเท่าตัว ยิ่งใช้พลังวิญญาณ พิษจะกำเริบมากขึ้นถึงขั้นสลายวิญญาณหมดสิ้น ไม่เชื่อ ก็ลองทำดู"

แววตาของเซี่ยหยางไม่มีล้อเล่น อสูรจางเฟยจึงหยุดชะงัก กำหมัดแน่นจนสั่นอย่างเจ็บใจ ขณะอดทนกับความอึดอัดตื้อตันในลำคอ ลมหายใจยังเป็นไอร้อนผ่าวด้วยซ้ำ มันครุ่นคิดอยู่ครู่ ก็กล่าววาจาโต้กลับ

"น่าขันนัก ถ้าจะใช้ควันพิษแต่แรก เจ้าให้สหายกางม่านอาคมมหานทีกักขังข้าไว้ด้วยเหตุใด ใช้เรี่ยวแรงเกินจำเป็นเช่นนี้ เป็นวิถีเซียนหรือ"

"บ้องตื้น ถ้าไม่กางอาคม พิษก็ถูกพวกของข้าหมดสิ เรื่องง่ายๆแค่นี้กลับไม่รู้ กลับร่างเดิมเป็นหมอกควันตามชายป่า คงเหมาะกว่ากระมัง"

"เจ้า!...อึก..."

อสูรหมอกรู้สึกแน่นหน้าอกจนประคองสมาธิไม่ไหว ร่างกายทิ้งดิ่งลงสู่พื้นเบื้องล่าง นอนกองกับพื้น เซี่ยหยางร่อนกายตามลงมายืนเบื้องหน้า ใช้ดวงตาสีอ่อนจับจ้องจางเฟยนิ่งเงียบ หากแต่แฝงคำสั่งบางอย่างไว้ อสูรหมอกเชื่อมโยงเหตุผลได้ จึงยิ้มเหยียดหยันออกมา

"ที่แท้ เจ้าต้องการให้ข้าเรียกอสูรเทาเที่ยมาช่วย"

"ข้าให้เวลาเจ้าแค่นับ 1-3 หากไม่...ก็ติดตามหมิงเหวินไปเถิด"

"เจ้ากล้าฆ่าข้าหรือ ยาถอนพิษ...ไม่ต้องการยาถอนพิษแล้วหรอกหรือ"

"พิษของเจ้า มาจากพลังวิญญาณ แค่สลายวิญญาณเจ้า พิษก็หายไปเอง จำเป็นต้องต่อรองสิ่งใดด้วยหรือ"

คำกล่าวแสนแชเชือนไร้น้ำใจ ไม่เพียงทำอสูรหมอกนิ่งอึ้ง หนานเหอผู้อยู่รอบนอกก็นิ่งเงียบไม่ต่างกัน

"...ได้...ข้าจะเรียก...."

"เดี๋ยว...ข้าเปลี่ยนใจแล้ว สลายวิญญาณของเจ้าก่อน เทาเที่ยก็มาเอง"

เซี่ยหยางกล่าวขัดไว้ แล้วจึงผายฝ่ามือตั้งท่าร่ายอาคมไฟใส่อสูรหมอก ผู้ซึ่งหน้าถอดสี ปิดดวงตาแน่น ทันใดนั้น กระแสน้ำมหาศาลดั่งน้ำป่าก็พุ่งเข้าหากะทันหัน ขัดขวางไว้ เซี่ยหยางเหาะทะยานกายหลบหนีขึ้นสู่กลางเวหา คลื่นน้ำเกรี้ยวกราดก็ไล่ตามมาติดๆ ไม่ละเว้น ไม่ว่าเขาจะเหาะหลบไปที่ไหนก็ตาม เซียนหนุ่มยิ้มมุมปากพึงพอใจ ขณะเหาะหลบหลีกว่องไวจนดูราวกับแสงกะพริบไปมา คล้ายกับหยั่งเชิงพละกำลังของตัวเองและคู่ต่อสู้ หนานเหอเห็นเข้าก็ร้องตำหนิใส่

"เซี่ยหยาง อย่ามัวเล่น ยามนี้ข้าเป็นเพียงเซียนเสินคุน จะประคองม่านอาคมไม่อยู่แล้ว รีบปราบมันเสีย!"

แม้ว่าคลื่นน้ำซัดไม่ถูกกายเซี่ยหยาง แต่กระทบม่านอาคมของหนานเหอตลอดเวลา ทำเอาเซียนจวินเจ็บจุกอย่างกับถูกกระบองทุบซ้ำๆไปมา ผู้ถูกเอ็ดจึงตั้งท่าจริงจังขึ้น ผายฝ่ามือทั้งสอง ร่ายอาคม ก่อเปลวเพลิงมหาศาลดุจภูเขาไฟระเบิด มุ่งตรงเข้าหากระแสน้ำเกรี้ยวกราดเข้าอย่างรุนแรง ผลักดันคลื่นนั้นล่าถอยไปกระทบกับบางอย่างซึ่งซ่อนอยู่เบื้องหลัง มันหมุนตัวหลบ ทะยานกายทะลุม่านอาคมมหานทีของหนานเหอ หนีออกไปทันใด

'ซ่าส์!'

"!!"

หนานเหอไม่อาจต้านทานอยู่ ด้วยแรงกระแทกม่านอาคมมหาศาลของสิ่งนั้น ผลักเขากระเด็นออกห่างจากวงอาคม ลอยละลิ่วไปยังกลุ่มของเหล่าเซียน ข้ามศีรษะซีหยางและตงลู่ ไม่มีท่าทีหยุดลงง่ายๆ ซีหยางเห็นก็รีบเหาะทะยานหมายคว้าสหายไว้ ทว่าเขาช้ากว่าใครคนหนึ่ง ผู้ซึ่งคว้าแขนสหายของเขาเอาไว้ทันท่วงที พาร่อนกายลงยืนบนพื้นโดยสวัสดิภาพ

"...ขอบใจ แม่นางฟาง"

หนานเหอหอบหายใจกล่าวต่อฟางเหนียง เขาระบายยิ้มอ่อน นางก็พยักหน้ารับ หากแต่ไม่สบสายตา รีบปล่อยแขนออก หันมองตำหนักปีศาจแทน หนานเหอจึงจำต้องเก็บอาการ เมินหนีไปทางอื่น

ขณะเดียวกัน เมื่อม่านอาคมมหานทีที่ครอบคลุมเขตตำหนักปีศาจอันใหญ่โตสลายลง ไอร้อนจากกระแสเปลวเพลิงจึงแผ่ไปทั่วขอบเขต เปลี่ยนผืนฟ้าครามกลายเป็นสีส้มในฉับพลัน เฉกเช่นม่านอาคมของหมิงเหวิน เหล่าเซียนและปีศาจเงยมองอย่างตื่นตระหนก โดยเฉพาะซีหยาง

"เดิมที อาคมไฟของเซี่ยหยางไม่ส่งไอสังหาร อยู่ในระดับขับไล่ศัตรู มากหน่อยก็เพียงลดทอนพลังวิญญาณ กำราบให้สินฤทธิ์ ยามนี้กลับต่างออกไป ข้าไม่เคยเห็นไอสังหารมากมายเช่นนี้มาก่อน ทั้งยังยืมพลังดวงตะวัน เสริมวิญญาณ จนแผ่ไอร้อนรอบตำหนักปีศาจ ไม่ช้า ที่แห่งนี้คงกลายเป็นทะเลเพลิงแน่...หรือว่าเซียนผู้นั้น...หาใช่เซี่ยหยาง"

ใจของซีหยางเกิดหวาดหวั่นขึ้นมา ถึงแม้เขาชื่นชมมหาเทพหงหยาง ภูมิใจที่มีรากวิญาณของอีกฝ่าย แต่เมื่อคิดว่าจะได้พบจริงๆแล้ว ซ้ำมหาเทพยังดุดัน เกรี้ยวกราดมากกว่าที่เขาคาดเดาไว้ ก็อดหวั่นใจไม่ได้จริงๆ หนานเหอได้ยิน จึงกล่าวตอบ

"หญ้าแยกวิญญาณไม่เพียงแยกจิตมารออกจากเซี่ยหยาง ยังแยกจิตเทพออกจากกายหยาบมนุษย์ จิตเทพในกายของเขา เดิมทีสมบูรณ์ในขั้นเสินคุนจากไอหยินของฉยงฉี แต่ถูกกายหยาบผนึกไว้ เมื่อถูกหญ้าแยกวิญญาณดึงออก ก็เหมือนปลดผนึก แปรกายทิพย์ขึ้นมา บรรลุเสินคุนในระดับ 8 ขั้นเดียวกับเหยียนซวน แต่เหตุที่อาคมมีไอสังหาร เป็นเพราะอาคมมารของเขา"

"...เช่นนั้น บุรุษผู้นั้น คงเป็นมหาเทพหงหยางจริงๆ"

ซีหยางกลืนน้ำลายอึกใหญ่ พาเซียนโดยรอบนึกหวั่นใจ แม้แต่ปีศาจสองสามีภรรยา ต้าป๋อเหม่ยจี ถึงเคยได้ยินเรื่องราวเทพบรรพกาลมาบ้างก็ตาม แต่การพบกับตัวจริงเสียงจริง เหมือนกันเสียที่ไหน

"ไม่นึกว่ามหาเทพดุร้ายยิ่งกว่าหมิงเหวินรวมกันสิบตนเสียอีก ท่านว่าหรือไม่ พี่ใหญ่...พี่ใหญ่?"

ต้าป๋อหันมาเห็นต้ามู่ถงท่าทางเลิกลั่กแปลกประหลาด จึงรีบจับแขนให้หันหากัน แต่ทว่า...

'เปรี้ยง!'

เสียงกัมปนาทดั่งหินระเบิดก็ดังมาจากตำหนักปีศาจเสียก่อน พวกเขาพากันหันมองอย่างตระหนก กลับถูกไอพลังล่องหนกระทบร่าง ผลักกระเด็นลอยละลิ่วไปคนละทิศทาง ในความชุลมุนนั้น ม่านหมอกบางอย่างก็ล่วงเข้าสู่ลมหายใจของต้ามู่ถงทันที

ไป๋อวิ๋นและหนานเหอตั้งหลักได้ทันก่อน พวกเขารีบเหาะทะยานขึ้นกลางเวหา เผยอาวุธเทพรอตั้งรับ ทันใดนั้น ก็ปรากฏก้อนกลมขนาดยักษ์ คล้ายกับก้อนน้ำขนาดมหึมา กลิ้งหลุนๆออกมาจากกระแสเพลิง ไป๋อวิ๋นได้ช่อง จึงสะบัดแส้เหล็กยืดเหยียดออก ฟาดก้อนน้ำเข้าสุดแรง พาให้ก้อนนั้นกลิ้งหมุนไปอีกทาง หนานเหอรีบเหาะไปขวางไว้ เงื้อคมทวนฟาดซ้ำอีกที ก้อนนั้นก็กลิ้งหนี เขาหันมาเห็นกลุ่มเซียนมัวตะลึงค้าง เลยส่งเสียงดังลั่น

"พวกเจ้าดูละครสัตว์อยู่หรือ! ตั้งค่ายกลเร็วเข้า!!"

คำดุของเซียนวารี ทำเอาเหล่าเซียนสะดุ้งสุดตัว ตงลู่ถึงกับบ่นออกมา

"คบเซียนผู้นั้นมาพันปี ไม่นึกว่าจะดุและจู้จี้เพียงนี้"

"นั่นสิ ขืนชักช้า เจอทวนเยว่หยางฟาดแน่"

ซีหยางกล่าวสมทบ แล้วรีบเหาะทะยานออกไปกลางเวหา ล้อมก้อนน้ำกลิ้งหลุนๆไว้ หากแต่เป่ยอวิ๋นลังเล ด้วยตนเองไม่อาจเดินพลังวิญญาณได้ ซ้ำยังไร้อาวุธ นางเงยมองไป๋อวิ๋น ชั่งใจอยู่ครู่จึงกล่าว

"ศิษย์น้อง ข้าฝากเจ้าด้วย"

ไป๋อวิ๋นได้ฟังก็ครุ่นคิดอยู่ครู่ แล้วจึงสะบัดแส้เหล็ก รัดเอวเป่ยอวิ๋นเข้าหา นางผายฝ่ามืดซัดเข้ากลางแผ่นหลังศิษย์พี่ของตัวเอง ส่งพลังวิญญาณสู่ร่างนาง พร้อมกับผลักเป่ยอวิ๋นลอยละลิ่วเข้าหาซีหยาง พวกเขาหน้าตาตื่น ประสานสายตามอง

"เจ้าจะทำอะไร!"

"รับแส้ไป!"

ไป๋อวิ๋นโยนแส้ให้ เป่ยอวิ๋นก็รีบรับมาถือ เพียงแค่ฝ่ามือสัมผัส คลื่นพลังมหาศาลก็เคลื่อนเข้าสู่ชีพจร ปลอบประโลมจิตวิญญาณ และเพิ่มพลังให้สมบูรณ์จนทั่วทั้งร่างเปล่งแสงสีขาวละมุน ปรากฏต่อสายตาเหล่าผู้คุมกฎซึ่งพากันตกตะลึง เป่ยอวิ๋นยิ้มร่า หันมองไป๋อวิ๋น กลับต้องหุบยิ้ม เมื่อศิษย์น้องร่อนกายลงยืนบนพื้น ซ้ำยังกระอักโลหิตออกมา นางทำท่าจะเข้าหา แต่ซีหยางรั้งแขนไว้

"ตั้งค่ายกล"

ซีหยางกล่าว ด้วยเข้าใจเจตนาของไป๋อวิ๋น พวกเขาทั้ง 4 ละทิ้งเรื่องอื่นไว้ก่อน พากันเหาะทะยานไปยัง 4 ทิศทาง ล้อมก้อนน้ำยักษ์ไว้ แต่ก่อนที่จะประสานปลายอาวุธเทพเข้าหากัน ซีหยางก็ถามหนานเหอออกมา

"ท่านจะให้ใช้วิธีใด...มหาเทพหลานเหอ"

คำกล่าวตรงไปตรงมา ทำคนฟังนิ่งขรึม มองสหายแต่ละคน ครู่หนึ่งจึงยอมตอบ

"พลังอาวุธเทพสอดคล้องต่อกัน ทำเหมือนเดิมกับที่พวกเราเคยทำ แต่ต้องเดินพลังอย่างใจเย็น ไม่ว่ามันจะดิ้นแค่ไหน ต้องอดทนไว้"

พวกเขาพยักหน้ารับ แล้วจึงหันปลายอาวุธเข้าหากัน เดินพลังวิญญาณ ก่อรัศมีต่างสีจากปลายอาวุธเทพ ถักทอเป็นตาข่ายขนาดมหึมา ระหว่างนั้น ตงจิ้นทงทำตามแผน ดึงแขนตงเฉิงหยวนเหาะขึ้นกลางเวหากะทันหัน ทำเอาศิษย์สืบทอดหน้าตาตื่นตระหนก

"อาจารย์สาม!"

"ก่อม่านอาคมวารี ทำตามที่ข้าบอก หลับตา ปล่อยจิตใจให้ว่างเปล่า นึกถึงมหาสมุทรตงไห่ เสียงคลื่นทะเล"

ตงเฉิงหยวนไม่มีเวลาโต้เถียง จึงยอมหลับตาทำตาม หากแต่ยามนี้ภายนอกวุ่นวายเกินไป เขารวมสมาธิไม่ได้

"เฉิงหยวน ที่ผ่านมา เจ้าไม่เหนื่อยเลยหรือ?"

ได้ฟังวาจา ตงเฉิงหยวนก็นิ่งอึ้ง เขารู้ว่าอาจารย์สามกำลังชักนำวิธี จึงไม่ลืมตา ไม่โต้ตอบ รับฟังเพียงเงียบๆ

"ข้าเคยคิด หากมีเวลาหนึ่งวัน จะพาตัวเองไปที่หาดทรายสีขาว ใต้ท้องฟ้าสีคราม สัมผัสลมเย็น แดดอบอุ่น ฟังเสียงคลื่นทะเลซัดสาด ครืน...ครืน...เฮ่อ...ทะเลสีฟ้าคราม ประกายระยิบระยับยามต้องแสงอาทิตย์ น่าลงไปแหวกว่ายเสียจริง"

ตงจิ้นทงกอดอกกล่าว ไม่สนใจสายตาของเหล่าผู้คุมกฎเซียนที่มองมาอย่างแปลกใจ ด้วยรู้สึกพิลึกกับวิธีชักนำเช่นนั้น...แม้แต่บางอย่างในก้อนน้ำ ก็รู้สึกพิลึกไม่ต่างกัน เสียงหนึ่งจึงโพล่งออกมา

"ข้าจำเสียงน่ารำคาญนี้ได้...เจ้าคือตงจิ้นทง"

น้ำเสียงทุ้ม ฟังนุ่มนวล ไม่ก้าวร้าวกรรโชกเช่นเถาอู้ ไม่เยือกเย็นชวนขนลุกเหมือนฉยงฉี และไม่ไร้เดียงสาเช่นฮุ่นตุ้น ตรงข้ามกัน แม้ฟังแค่เสียง ก็เดาได้ว่ารูปโฉมคงงดงามน่าดู พาให้เหล่าเซียนเลิกคิ้วแปลกใจ ตงจิ้นทงกลับไม่สนใจ กล่อมตงเฉิงหยวนต่อ

"เจ้าลองคิดดู อากาศร้อนอย่างกับไฟโอบล้อมรอบเช่นนี้ ถ้าหากได้ลงไปแหวกว่ายในมหานทีสีน้ำเงิน สัมผัสน้ำเย็นฉ่ำชื่นใจ จะสดชื่นเพียงไหน ยิ่งว่ายลึกลงไปพบกับฝูงปลา ปะการัง ลึกลงไปเรื่อยๆ...ลึกลงไป....ลึกลงไปอีก..."

"ตาแก่นั่นทำอะไร"

ซีหยางเห็นตงจิ้นทงกล่อมตงเฉิงหยวนอยู่กลางเวหาไม่เลิก ก็อดถามออกมาไม่ได้

"นั่นคือการปลุกมังกร"

หากแต่ผู้กล่าวตอบเขา คือใครคนหนึ่ง ผู้ซึ่งปรากฏกายกลางเวหากะทันหัน แตะฝ่าเท้ายืนอยู่บนตาข่ายอาคมจากอาวุธเทพบรรพกาล อาภรณ์แสนวิจิตรสะกดสายตาของพวกเขาถ้วนหน้า แต่ไม่เท่าแววตานิ่งเฉยแชเชือน แฝงความดุดัน ซีหยางถึงกับตะลึงค้าง รัศมีจากกระบี่เลี่ยงเทียนจึงลดทอนลง เซี่ยหยางจ้องดุใส่

"ตั้งสมาธิไว้!"

ฟังคำเอ็ด ซีหยางก็รีบสำรวมอารมณ์ จดจ่อกับกระบี่เลี่ยงเทียน กระนั้นกลุ่มผู้คุมกฎก็เห็นว่ามือของเขาสั่นเพียงไหน ไม่ไกลกันนัก เป่ยเจียวจูยืนอยู่เบื้องล่าง คุ้มกันไป๋อวิ๋น เมื่อเงยมองเห็นรูปโฉม นางก็ใจหาย รีบจับมือไป๋อวิ๋นไว้ ทว่าไป๋อวิ๋นกลัยนิ่งเฉย ไม่ตระหนกอย่างที่คิด นางขมวดคิ้วแปลกใจ

"ปลุกมังกรหรือ..."

เสียงนุ่มนวลในก้อนน้ำเอ่ยอย่างสนใจ

"จางเฟย...เจ้าอย่าขี้เกียจ ไปเล่นกับมังกรเสียหน่อยเถิด"

เสียงในก้อนน้ำเปล่งกังวานก้อง สร้างความแปลกใจให้ทุกคน โดยเฉพาะหนานเหอ เขามองเซี่ยหยางทันที

"เจ้าเผาอสูรหมอกไปแล้วไม่ใช่หรือ?"

"หมอกโดนเผาได้ด้วยหรือ?"

ได้ฟัง หนานเหอก็แทบจะหันทวนเข้าหาเซี่ยหยางแทน ทว่าอยู่ๆต้ามู่ถงที่ยืนรวมกับกลุ่มปีศาจอย่างเงียบสงบ ก็เหาะขึ้นกลางอากาศ เผยรอยยิ้มมุ่งร้ายต่อเหล่าเซียน ก่อนจะสะบัดแขนเสื้อพากิ่งอวี้หลันพุ่งเข้าใส่ตงเฉิงหยวนและตงจิ้นทง เซี่ยหยางรีบเหาะไปขวางไว้ ส่งปลายเท้าเตะบ่าขวาต้ามู่ถง ผลักร่างนั้นกระเด็นออกห่างไปไกลเกือบหลี่

"ท่านพี่!ทำไม..."

"จางเฟยวางยาพิษในลมปราณต้ามู่ถง เพื่อหาโอกาสเชื่อมวิญญาณเข้าสิงสู่ เพราะเหตุนี้จึงแกล้งสู้แพ้ แม้ต้ามู่ถงชนะ ได้เป็นเจ้าครองแดน อสูรหมอกก็จะคอยเชิดเขาอีกที ไม่เพียงแค่ได้แดนปีศาจ แต่ยังได้เจ้าอีกด้วย"

คำตอบของเซี่ยหยาง พาให้ทุกคนโดยรอบตื่นตระหนก ต้ามู่ถงกลับหัวเราะลั่น และเป็นน้ำเสียงของจางเฟย

"โทษที่เจ้าไม่ลงมือฆ่าข้าแต่แรก หงหยาง"

จางเฟยในร่างต้ามู่ถงกล่าว ก่อนจะเหาะเข้าหาเซี่ยหยาง พร้อมกับสาดกิ่งแหลมของต้นอวี้หลันปลิวเข้าใส่เซียนหนุ่ม ดูราวกับมีดนับร้อยเล่ม เซี่ยหยางสะบัดอาภรณ์ปัดออก แล้วซัดฝ่ามือผลักอสูรออกห่างจากกลุ่มเซียน หลอกล่อออกไปสู้กันนอกค่ายกล

หนานเหอมองก็เข้าใจในรูปการ รีบจดจ่อกับค่ายกลต่อ พร้อมกันนั้น เขาก็ส่งเสียงบอกบางสิ่งในก้อนวารี เมื่อผ่านไปนานพอควร มันกลับไม่ยอมโผล่ออกมาสักที

"เจ้าแพะขี้ขลาด จะหลบอีกนานหรือไม่"

"แพะ?" ผู้คุมกฎประสานเสียงถาม ฝ่ายคู่นสนทนา หัวเราะเสียงน่าขนลุกตอบ

"ข้าร้อน ข้างนอกมีแต่ไฟ อยู่ในนี้เย็นดี อยากจับก็จับไปทั้งแบบนี้สิ"

เทาเที่ยตอบ ผู้คุมกฎทั้ง 4 ก็มองหน้ากัน ตั้งท่าจะลดระดับตาข่าย จับกลับไปทั้งก้อนน้ำ หนานเหอก็ร้องห้ามไว้ รั้งตาข่ายขึ้นมา

"ไม่ได้ ถ้าเข้าไปใกล้อาคม ต้องถูกดูดเข้าไปข้างในแน่"

"หึๆๆๆๆ"

เสียงหัวเราะอันน่าขนลุกดังขึ้นอีกครั้ง ทันใดนั้น เรี่ยวแรงของเหล่าเซียนกลับค่อยๆลดถอยลง หนานเหอรีบเหาะทะยานขึ้นสูง รั้งให้กลุ่มสหายเหาะตามมา เมื่อเดาออกกว่าก้อนน้ำยักษ์อันเป็นอาคมปกป้องของเทาเที่ย กำลังดูดวิญญาณ

"เพราะเจ้าแท้ๆเลย โผล่ออกมาก็เอาแต่เล่น"

หนานเหอหันไปโวยใส่เซี่ยหยาง ผู้ติดพันรับมือกับจางเฟยในร่างต้ามู่ถง คนถูกตำหนิหันจ้องเขม็งใส่

"ข้าเป็นเซียนเสินคุนเช่นท่าน ม่านอาคมของท่านกันมันไม่ได้เช่นใด ไฟของข้าก็เผามันไม่ได้เช่นนั้น โทษข้าผู้เดียวได้อย่างไร"

ขณะตอบ เซี่ยหยางก็หลบหลีกก้านอวี้หลันอันแหลมคมทุกวิถีทาง น่าโมโหก็เพียงเขาทำร้ายต้ามู่ถงโดยตรงไม่ได้ ยิ่งเห็นสายตาของฟางเหนียงจ้องมองอย่างหวั่นใจ เซียนหนุ่มยิ่งต้องระวัง หาจังหวะไล่อสูรหมอกออกจากปีศาจอวี้หลัน พลันนึกบางอย่างได้

"ข้าเบื่อสู้แล้ว"

อยู่ๆเซี่ยหยางก็ร่อนกายลงยืนกับพื้น จางเฟยขมวดคิ้วมุ่น แต่ยังลอยอยู่กลางเวหา ไม่เหาะติดตามไป

"สู้ยังไงก็แพ้...อยากทำอะไรกันก็เชิญ"

"หา?!!"

ไม่เพียงแค่กลุ่มเซียน กลุ่มปีศาจเองก็ตกใจจนตัวชาเช่นกัน วาจานั้นทำตงจิ้นทงและตงเฉิงหยวนประสานสายตามองคนกล่าว โดยเฉพาะตงเฉิงหยวน เขาเกือบจะต่อว่า แต่ตงจิ้นทงยกมือห้ามไว้ก่อน ฝ่ายหนานเหอครุ่นคิดอยู่ครู่ ก็ชักสีหน้าไม่สบอารมณ์

"เจ้าเบื่อผู้เดียวหรือ? ข้าก็เหนื่อยแล้วเช่นกัน จะเป็นยังไงก็ช่างเถิด ไม่สนแล้ว"

หนานเหอถอนทวนเยว่หยางออกจากค่ายกล แล้วจึงหายตัวไปกลางอากาศ เซี่ยหยางก็หายตัวไปเช่นกัน ทิ้งให้เหล่าเซียนตะลึงงันเช่นนั้น

"เป็นบ้าอะไรกัน!"

ซีหยางตะคอกอย่างเหลืออด แต่แล้ว ไป๋อวิ๋นกับเป่ยเจียวจูกลับเหาะเข้าหากะทันหัน ดึงรั้งทั้งสามลงมายืนอยู่เบื้องล่าง รวมกลุ่มกับปีศาจที่กำลังงุนงงไม่ต่างกัน

"ไป๋อวิ๋นปล่อยข้า! พวกนั้นไม่สู้ ข้าสู้เอง!"

"เจ้าสู้ได้หรือซีหยาง"

คราวนี้ไป๋อวิ๋นก็เป็นไปด้วยอีกคน ตงจิ้นทงลูบเคราอยู่ครู่ก็หันมองตงเฉิงหยวน ส่งสายตาให้ทำต่อ ไม่ต้องสนใจเบื้องล่าง ขณะเดียวกัน ซีหยางได้ยินวาจาก็เดือดดาลกว่าเก่า

"ถึงสู้ไม่ได้ ก็ขอตายอยู่ที่นี่!"

"ตามใจเจ้า พวกเจ้าก็ด้วย ใครอยากอยู่ก็เชิญเถิด ศิษย์พี่ เราไปพักกันเถิด"

ไป๋อวิ๋นรั้งแขนศิษย์เป่ยซานทั้งสองเดินหนีไป เหม่ยจีคิดสักครู่ก็รีบดึงฟางเหนียงเดินตาม ต้าป๋อเมื่อเห็นภรรยาเดินหนี เขาก็จำต้องเดินตาม แม้ไม่เข้าใจเท่าไหร่

"พวกเจ้า!"

"ไปกันเถิด"

ตงลู่กลับเป็นไปด้วย รีบรั้งซีหยางเดินออกห่าง กริยาเหล่านั้นทำให้จางเฟยในร่างต้ามู่ถงขมวดคิ้วแปลกใจ หากแต่ผู้ที่แปลกใจกว่ากลับเป็นบางอย่างในก้อนน้ำ มันส่งเสียงเมื่อไอเซียนห่างออกไปเรื่อยๆ

"...พวกเจ้า...หยามข้าเกินไปแล้ว!!"

'ซ่าส์!!'

ฉับพลัน ก้อนน้ำกลมมหึมาก็แตกกระจาย สาดละอองน้ำกระเซ็นโดยรอบ เหล่าเซียนและปีศาจรีบเหาะทะยานขึ้นกลางอากาศ แม้แต่จางเฟยเองก็เช่นกัน

และแล้ว ผู้หลบซ่อนในอาคมลูกแก้ววารีก็เปิดเผยโฉม ตัวใหญ่เทียมยอดไม้ ใบหน้าเป็นคน ร่างกายเป็นแพะ มีดวงตาอยู่ทั้งบนหน้า และใต้รักแร้ทั้งสองข้าง เขี้ยวพยัคฆ์ กรงเล็บมนุษย์ เมื่อรวมกับแววตาสีแดงก่ำโกรธจัดแล้ว พวกเขาก็ตกตะลึงค้างกลางอากาศกันถ้วนหน้า ไม่รู้ว่าควรตื่นตาตื่นใจกับความวิจิตรพิสดาร หรือหวาดหวั่นกับความน่าเกรงขามก่อนกันดี

"หลอกล่อข้าออกมาแท้ๆ กลับพากันเดินหนี!! คิดว่าข้าเป็นตัวอะไรกัน!!!"

อสูรบรรพกาลเทาเที่ย ส่งเสียงดังลั่น สะเทือนฟ้าถึงดิน ท่าทางโกรธจัด อุ้งปากอ้ากว้างหมายไล่กลืนกินเหล่าเซียนให้หมดสิ้น แต่แล้ว เซี่ยหยางกลับปรากฏกายกลางอากาศ เหนือศีรษะของอสูร ในมือมีปลาตัวใหญ่เท่าแขน ย่างกลิ่นหอม เทาเที่ยหยุดชะงัก เงยมองทันที

"หิวจะตายอยู่แล้ว ขอเวลาครึ่งก้านธูป"

เซียนหนุ่มกล่าว ซ้ำยังกินเนื้อปลาย่างอวดต่อหน้า ภาพนั้นทำให้ซีหยางแทบอยากเหาะเข้าไปเงื้อกระบี่สู้สักฉาก ระบายโทสะ ดีที่ตงลู่จับรั้งไว้ก่อน เขาหันมาเห็นไป๋อวิ๋นยิ้มมุมปากคล้ายขบขัน ใจยิ่งเดือดดาลกว่าเก่า

"เจ้าก็เพี้ยนตามไปด้วยหรือ"

"เรื่องของมาร มีเพียงเทพมารเท่านั้นที่รู้วิธีควบคุม เทาเที่ยเป็นสัตว์อสูรจอมตะกละ ไม่มีวันกินอิ่ม ซ้ำยังรู้หลบเป็นปีก รู้หลีกเป็นหาง หากไม่ยั่วโมโหเช่นนี้ พวกเจ้าได้ตั้งค่ายกลรอเก้อเป็นวันแน่"

นางกล่าว พวกเขาจึงเข้าใจโดยถ่องแท้ พากันมองภาพเบื้องหน้า และเตรียมพร้อมจับอสูรอีกครั้ง เว้นเพียงฟางเหนียง นางมองต้ามู่ถงอย่างห่วงใย

"พี่ถง..."

"จอมอสูร ท่านอย่าหลงกลมัน นั่นหาใช่ปลาจริง เป็นเพียงนิมิต...อึก!!"

จางเฟยในร่างต้ามู่ถงกล่าว ทว่าฝ่ามือหนึ่งกลับฉวยโอกาสยามเผลอ ซัดเข้ากลางแผ่นหลังเต็มแรง ส่งพลังวิญญาณรัศมีสีฟ้า ผลักหมอกหนาทึบทะลุออกกลางอกของต้ามู่ถงทันใด

"พี่ถง!"

ฟางเหนียงรีบเหาะออกไปรับร่างอ่อนแรงของต้ามู่ถง ผ่านหน้าหนานเหอ สีหน้าของนางใกล้ร่ำไห้เต็มทน กริยานั้นทำหนานเหอสลดลง แต่ก็ยั้งใจไว้ บอกกล่าวต่อนาง

"รีบพาสามีเจ้าหลบไป"

นางพยักหน้า แล้วพาต้ามู่ถงซึ่งเกือบหมดสติเหาะกลับมารวมกลุ่มเซียน หนานเหอหันมองเซี่ยหยาง ผู้ซึ่งทำทีกินปลา หลอกล่อเทาเที่ย น่าขันกว่านั้นคืออสูรตัวมหึมา น่าเกรงขามไปทุกส่วน กลับเอาแต่เงยมองเนื้อปลาตาใสไร้เดียงสา ไม่สนใจสิ่งอื่น เขาส่ายหน้าระอาใจ

"หลอกง่ายเกินไปกระมัง"

"หงหยาง...เจ้าเทพเห็นแก่ตัว ส่งมาบ้างสิ"

เทาเที่ยส่งเสียงบอก เซี่ยหยางก็ส่ายหน้าตอบ เหาะขึ้นเวหาสูงกว่าเดิม

"ครึ่งก้านธูป ใกล้หมดแล้ว"

"อย่าไปฟังมัน!!"

จางเฟยปรากฏร่างเบื้องหน้าเทาเที่ย กลับถูกอุ้งเท้าสะบัดใส่จนทิ้งดิ่งกระแทกพื้นดังลั่น จางเฟยตะกายลุกขึ้นยืน กำหมัดแน่น ไม่คิดว่าอสูรน่าเกรงขามผู้ที่ตนคาดหวังใช้เป็นเครื่องมือครองแดนปีศาจ กลับตะกละตะกลามน่ารังเกียจเช่นนี้

"เจ้าอสูรหน้าโง่ ไร้สมอง! แค่ปลาเสกยังดูไม่ออกเลยหรือ"

"!!"

ฟังคำต่อว่า เทาเที่ยก็หยุดฝีเท้า หันมองจางเฟยเขม็ง อสูรหมอกถึงกับนิ่งอึ้ง เมื่อแววตานั้นมาดร้ายหมายฉีกเขาออกเป็นชิ้นๆ

"เจ้าพูดใหม่อีกครั้งซิ?"

"..ข้า..ข้า..."

"แพะแก่ หูหนวก เจ้าหมอกควันปลายแถวนั่นบอกว่าเจ้าหน้าโง่ ไร้สมอง ข้าว่าใช่นะ ไม่เช่นนั้นเจ้าคงไม่ผูกสัญญาวิญญาณกับเจ้านั่นกระมัง"

"...ข้าถามเจ้าหรือ..." เทาเที่ยส่งเสียงน่าสะพรึงกลัวถามเซี่ยหยางกลับ

"ข้าต้องรอให้เจ้าถามหรือ จะบอกอะไรให้ เที่ยเที่ย ถ้าข้าเป็นเจ้านั่น ข้าก็จะด่าเจ้าเช่นกัน สนใจทำไม ผูกสัญญาวิญญาณไปแล้ว อย่างไรเสีย เจ้าก็ต้องคุ้มครองเจ้านั่น เจ้าไม่กล้าทำอะไรอสูรหมอกหรอก"

วาจาของเซี่ยหยาง ดูต่างออกไปจากเดิม ทำเหล่าเซียนโดยรอบมองแทบไม่เชื่อสายตา ก่อนจะพากันมองตงจิ้นทงเป็นตาเดียว ผู้อาวุโสสามปั้นหน้าตอบไม่ถูก ทำทีจ้องดุใส่ตงเฉิงหยวน ศิษย์ก็รีบสำรวมสมาธิต่อ ไม่ไกลกันนัก เป่ยอวิ๋นก้มลงกระซิบกับซีหยางและตงลู่

"เหมือนกันไม่มีผิด"

คำกล่าวของนางพาให้สหายทั้งสองกระแอมไล่อาการขบขัน รีบตีหน้าขรึม เฝ้าดูสถานการณ์ต่อ

ขณะเดียวกัน เทาเที่ยได้ฟังวาจาเซี่ยหยาง ก็จ้องเขม็งใส่จางเฟย ดวงตาสีแดงฉานมาดร้ายใส่ อสูรหมอกกลืนน้ำลายอึกใหญ่ เห็นทีจวนตัว จึงรีบแปรเป็นไอหลบหนี เพียงแค่เผลอกะพริบตา เทาเที่ยก็กระโจนร่างไปดักไว้ อ้าปากสูบไอหมอกเหล่านั้นกลืนลงท้องไปทันใด

"!!!"

เหล่าเซียนและปีศาจพากันสะดุ้งน้อยๆ ไม่คิดว่าอสูรตัวใหญ่เทียมฟ้าจะเคลื่อนไหวรวดเร็ว จัดการปีศาจอายุเกือบแสนปีเพียงแค่อ้าปากสูดลมเท่านั้น แม้แต่ตงจิ้นทงยังเผลอจูงตงเฉิงหยวนเหาะสูงขึ้นไปอีก เกือบหายไปในปุยเมฆ ด้วยจดจำได้ดีกับความอำมหิตของมัน

หากแต่เซี่ยหยางกลับยิ้มมุมปาก โบกปลาเสกไปมา ส่งกลิ่นหอมรัญจวนใจ เรียกความสนใจของเทาเที่ยอีกครั้ง กริยาเหล่านั้นไม่คุ้นตาผู้คุมกฏเซียน แต่ไม่ใช่สำหรับหนานเหอ เขากระชับด้ามทวนเอาไว้ทันที ซีหยาง ตงลู่ เป่ยอวิ๋นจึงต้องทำตาม

"กินเสียตั้งแต่แรกก็สิ้นเรื่อง"

"ในสามภพนี้ นอกจากเสียงน่ารำคาญของตงจิ้นทงแล้ว ก็มีวาจายุแหย่ของเจ้าที่ยั่วโทสะข้านัก มหาเทพหงหยาง"

เทาเที่ยหันกลับมาหา ท่าทีดุดัน เซี่ยหยางก็ร่ายอาคมพาปลาหายไป ทว่าวาจาต่อมาของเทาเที่ย ก็เปลี่ยนสีหน้าไม่ยี่หระของเขานิ่งขรึมทันที

"หลงดีใจว่าเจ้าถูกไป๋อวิ๋นสังหาร ดับขันธ์ไปจากสามภพแล้วแท้ๆ ไยจึงหวนกลับมาอีก"

เพียงเท่านั้น ทุกคนก็หันมองไป๋อวิ๋นเป็นตาเดียว ผู้ถูกจับจ้องกำหมัดแน่น ตั้งท่าอ้าปากโต้ตอบ หากแต่เซี่ยหยางกล่าวขึ้นมาเสียก่อน

"....มาเล่นกับเจ้าอย่างไรเล่า..."

ดวงตาสีน้ำตาลสว่างลุกวาบ เปี่ยมด้วยโทสะ แผ่ไอร้อนมหาศาล พาต้นไม้ใบหญ้าโดยรอบลุกโชนด้วยเปลวเพลิง แล้วจึงสาดอาคมไฟผ่านฝ่ามือตรงสู่ร่างของเทาเที่ยทันใด

ทว่า...อาคมที่สาดกลับต่อต้านเพลิงของเซี่ยหยาง ไม่ใช่น้ำอย่างหนแรก แต่เป็นไฟเช่นเดียวกัน เขาเบิกตาตระหนก รีบเหาะถอยหนีเพื่อมองเจ้าของอาคมให้ชัดเจนอีกที

"ไว้ค่อยมาเล่นกันใหม่"

เจ้าของน้ำเสียงคืออสูรตัวอ้วนกลม สีแดงฉาน เจ้าของไฟมารที่ปะทะกัน ไม่ทันได้โต้ตอบสิ่งใด อสูรเถาอู้ก็โผล่ขึ้นมาจากดิน คว้าจับทั้งฮุ่นตุ้นและเทาเที่ยผลุบหายลงไปในดินพร้อมกัน หนานเหอเบิกตากว้าง

"ตงลู่ อย่าให้มันหนีไปได้!"

เขาร้องบอกสหาย ตงลู่ก็รีบร่อนกายลงยืนบนพื้น กระแทกหอกเซินอันลงกับดินเต็มแรง ทันใดนั้น พื้นดินโดยรอบเขาก็แยกออกจากกัน ยาวออกไปไกลเกือบ 3 หลี่ ปรากฏร่างของอสูรทั้งสามกำลังหลบหนีลงชั้นดิน เป่ยอวิ๋นรีบเหาะมากลางเวหา สะบัดแส้หลงกู่ยืดเหยียดแยกออกจากกัน มัดอสูรเถาอู้ไว้ หากแต่เรี่ยวแรงของเซียนเสินคุน ไม่อาจดึงอสูรได้ เถาอู้จับแส้ไว้แน่น กระชากเพียงหนเดียว เป่ยอวิ๋นก็ลอยละลิ่วเข้าหา เทาเที่ยได้จังหวะ หันมาอ้าปาก หมายกลืนร่างนางลงท้อง

"เป่ยอวิ๋น!!"

ตงลู่และซีหยางประสานเสียงร้องลั่น ต่างพากันเหาะเข้าไปหมายจับรั้งเป่ยอวิ๋น กลายเป็นว่าเซียนทั้งสามกำลังจะเข้าปากเทาเที่ยไปพร้อมๆกัน

ท่ามกลางความตระหนกของทุกคน เซี่ยหยางกลับตรงเข้าไปซัดฝ่ามือใส่ทั้งสาม ผลักออกจากอสูร และยื้อแย่งแส้หลงกู่จากเป่ยอวิ๋น โยนเพียงครั้งเดียว กระแทกกับหอกเซินอัน หลุดออกจากมือตงลู่ ดินที่แยกแตกออกจากพลังเทพ จึงรวมกลับเข้าหากันดังเดิม เปิดทางให้อสูรทั้งสามมุดดินหนีหายไปอย่างรวดเร็ว

"!! เจ้าทำอะไร"

หนานเหอร้องลั่น มองเซี่ยหยาง ผู้ซึ่งยืนอยู่บนพื้นดินที่เถาอู้ใช้มุดหนีไป ไม่ให้ผู้ใดติดตาม เหล่าเซียนล้วนเบิกตาตระหนก โดยเฉพาะไป๋อวิ๋น ดวงตาแดงก่ำ สะกดอารมณ์ไว้อย่างยากลำบาก

"เซี่ยหยาง เจ้าปล่อยมันหนีไปทำไม!"

หนานเหอเหาะลงมาหา ตะคอกลั่น เซี่ยหยางจะอ้าปากอธิบาย ไป๋อวิ๋นกลับผายมือเรียกแส้หลงกู่ เหาะตรงเข้ามาหาเขา พร้อมกับสะบัดแส้เหล็กมุ่งตรงเข้าหาทันใด